หลูเซียงฮั่วเห็นเยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ ก็ไม่กังวลใจอีก
คนทั้งกลุ่มออกเดินทางอย่างรวดเร็ว
……
บนกำแพงเมือง เซี่ยโหวเฉินมองส่งพวกเขาจากไปไกล
ด้านหลังเข้ามีองครักษ์นายหนึ่ง “ท่านอ๋อง แผนการขององค์ชายใหญ่ครั้งนี้ โอกาสสำเร็จมีกี่ส่วน”
“สามส่วน”เซี่ยโหวเฉินตอบอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
องครักษ์นายนั้นตะลึง มองใบหน้าด้านข้างของเซี่ยโหวเฉินด้วยความแปลกใจ “แค่สามส่วนเท่านั้น ท่านยังให้องค์ชายใหญ่ทำ?”
สายตาเซี่ยโหวเฉินยากคาดเดา มองแผ่นหลังเยี่ยเม่ย เสียงขรึมเอ่ย “ข้าให้เป่ยเฉินเสียงลงมือ เป้าหมายเดิมก็แค่อยากรู้ความตื้นลึกหนาบางของสตรีนางนี้ วันนี้นางเป็นพวกเดียวกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่รู้เพราะอะไร ข้ามักรู้สึกว่า เทียบกับเป่ยเฉินอี้แล้ว การดำรงอยู่ของนางยังอันตรายกับข้ามากกว่า”
“อี้อ๋อง?” องครักษ์มองเซี่ยโหวเฉินด้วยความแปลกใจ “ถึงเขาจะเหนือกว่าท่าน ได้รับขนานนามว่าเป็นปราชญ์อันดับหนึ่งของแผ่นดิน ตั้งแต่จงเจิ้งซีตายจากไป ก็ล้มไม่เป็นท่า ไฉนท่านถึงรับรู้ถึงความคุกคามของเขาอีก”
ท่านอ๋องเป็นปราชญ์อันดับหนึ่งแห่งราชสำนักเป่ยเฉิน ส่วนอี้อ๋องเป่ยเฉินอี้ได้รับการยกย่องให้เป็นปราญช์อันดับหนึ่งของแผ่นดินมานานแล้ว
แต่คนผู้นั้น…
กลายเป็นคนพิการไปนานแล้วมิใช่หรือ
เซี่ยโหวเฉินชะงักไปชั่วครู่ พลันแค่นเสียงออกมา “สัญชาตญาณ”
เพราะเขาเห็นความไม่ยินยอมและความเจ็บแค้นในสายตาของเป่ยเฉินอี้ สัญชาตญาณบอกเขาว่า เป่ยเฉินอี้เป็นคนที่อยากเป็นฮ่องเต้มากที่สุดในบรรดาทุกคน
องครักษ์ได้ยินเขา เลิกถกเรื่องเป่ยเฉินอี้ กลับถามว่า “แต่แม่นางผู้นี้ หาใช่คนของตระกูลอ๋อง ไม่เป็นแม้แต่ชนชั้นสูง ท่านจะใส่ใจทำไม”
“บางทีนางอาจช่วยเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแย่งชิงบัลลังก์” สีหน้าเซี่ยโหวเฉิน พลันหนักอึ้งลง “นี่ถึงเป็นเรื่องที่ข้ากังวลใจ”
สตรีนางนี้ปรากฎตัวไม่กี่วัน ก็ล่วงเกินคนไปไม่น้อย คนของเป่ยเฉินกับต้ามั่วต่างถูกนางล่วงเกินไปทั่ว
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนให้ความสำคัญและใส่ใจนางเช่นนี้ ยากรับประกันว่าเขาจะไม่ชิงอำนาจเพื่อปกป้องนาง
คิดถึงตรงนี้ เซี่ยโหวเฉินยื่นมือออกไป นวดเรียวคิ้วที่ปวดตุบ “ข้าพบว่าไม่มีเรื่องเป็นไปดั่งใจเลยสักเรื่อง เป่ยเฉินเสียงไม่รู้จักเก็บอารมณ์ ยังมีเป่ยเฉินอี้คอยดูอยู่ข้างๆ ตอนนี้ยังมีสตรีผู้นี้โผล่ออกมา…”
องครักษ์กดเสียงต่ำ “แต่อย่างนี้องค์ชายใหญ่ยังเชื่อใจท่าน เขาเป็นคนออกหน้าที่ไม่เลว ช่วยพวกเราป้องกันอันตรายได้มาก”
อย่างเช่นเรื่องลงมือกับข้าวสาร ก็เป็นสิ่งที่องค์ชายใหญ่กระทำ ต่อให้เกิดเรื่อง ความรับผิดชอบก็เป็นขององค์ชายใหญ่
เซี่ยโหวเฉินแค่นเสียงเบาๆ “เรื่องราวหาได้ง่ายดายเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียงไม่รู้ว่าข้าหลอกใช้เขา แต่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอาจรู้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่แน่ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะปล่อยข้า เจ้ากลับไปเก็บของซะ หากสถานการณ์ไม่ดี พวกเราก็จากไป”
องครักษ์ฟังแล้วรีบพยักหน้า “ขอรับ”
ในช่วงเวลาสำคัญ ยังใช้สามสิบหกกลยุทธ์ หนีก่อนเป็นต่อ
……
เนินเขาดินแดนต้ามั่ว
เซียวชินพาคนมารออยู่ก่อนแล้ว
ใบหน้าของเซียวชินสวมหน้ากาก สายตาคมกริบราวมีด ไม่ไกลออกไป คือลู่หวานหว่านที่ถูกคุมตัว
ดวงตาของนางคลอน้ำตา มองเซียวชิน ถามเสียงอ่อนโยน “จั่วอี้อ๋อง ท่านมั่นใจว่าหวานหว่านจะปลอดภัยไร้เรื่องราวหรือไม่”
ขณะที่เอ่ย นางจงใจโน้มกาย เผยหน้าอกของตนให้เซียวชิน ใช้ความงามเข้าหลอกล่อเพื่อให้เซียวชินสงสารและเห็นความสำคัญของนาง
ช่วงที่เซียวชินหันหน้ากลับ ก็เห็นการกระทำเย้ายวนของนาง
เขาขมวดคิ้วแน่น ขณะนั้นเข้าใจว่าสตรีนางนี้ต้องการยั่วยวนเขา น้ำเสียงเขาเย็นเยียบ “แต่งตัวให้ดี ลูกไม้ต่ำทราม ไม่เหมาะมาแสดงกับข้า”
เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ เหล่าทหารด้านข้างพลันหัวเราะเป็นเสียงเดียว
ความจริงคนทั้งหมดเห็นกิริยาพราวเสน่ห์เมื่อครู่ ในใจไม่ใช่ไม่หวั่นไหว สมองยังคิดว่าจั่วอี้อ๋องช่างมีวาสนานัก เช้าตรู่ก็ได้เห็นภาพสวยงามแบบนี้ อย่างไรเสียร่างกายของลู่หวานหว่านก็ไม่เลวร้ายจริงๆ
ทว่าคิดไม่ถึง…
จั่วอี้อ๋องตรงไปตรงมาถึงขั้นนี้
สีหน้าลู่หวานหว่านบัดเดี๋ยวขาวบัดเดี๋ยวเขียว คำพูดเดิมของเซียวชินก็มากพอให้ทำให้นางละอายเสียหน้า คิดไม่ถึงว่าพวกทหารทั้งหมดยังหัวเราะออกมา
มือของนางกำแน่น แต่ยังปิดบังความแค้นเคืองในสายตาไว้ นางจนปัญญาเอ่ยวาจาต่อไปอีก
นางแอบสาบานอยู่ในใจ หากตนเองผ่านเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปได้ ภายหน้าอยู่เคียงข้างราชาต้ามั่ว นางไม่มีทางปล่อยเซียวชินไปแน่ มีสักวันที่เขาต้องตายอย่างไร้ที่ฝัง
ในขณะที่นางกำลังใช้ความคิด เยี่ยเม่ยพาคนมาถึงแล้ว
เซียวชินลุกขึ้น มองเยี่ยเม่ยที่อยู่ไม่ไกลออกไป
เยี่ยเม่ยสองมือกอดอก เดินสีหน้าเย็นชาเข้ามา ดวงเนตรกวาดมองไปที่เซียวชิน บุรุษท่วงท่าสูงสง่า มีอำนาจกดดัน ใบหน้าสวมหน้ากาก ทำให้คนไม่อาจเห็นรูปโฉมที่แท้จริง
แต่แค่มองแวบเดียว นางก็สรุปได้ว่า คนผู้นี้หาใช่คนที่รับมือได้ง่าย มีความสามารถมากกว่าโย่วอี้อ๋องแห่งต้ามั่วที่นางเคยพบมากนัก
คนของทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน เซียวชินอยู่ห่างจากเยี่ยเม่ยไม่เกินสามเมตร
“ในที่สุดก็มาแล้ว” แม่ทัพนายหนึ่งของต้ามั่วเอ่ย ยามนี้ชักดาบเหล็กออกมากำแน่น ท่าทางดุร้ายชี้เยี่ยเม่ย
เขาเพิ่งแสดงท่าทางดุร้ายข่มขวัญ จิ่วหุนขยับร่าง พริบตาก็ปรากฎเบื้องหน้าเขา
สายลมในที่นั้นพัดเส้นผมดำของจิ่วหุนไสว แผ่นหลังของบุรุษหนุ่มน่ามองเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา เยี่ยเม่ยมองไปก็รู้สึกเหนือความคาดหมาย
ภายใต้แผ่นหลังนี้ ไอสังหารของจิ่วหุนกลับแผ่พุ่ง เอ่ยเสียงต่ำกับแม่ทัพผู้นั้น “เจ้าชักดาบต่อหน้านาง เป็นกระทำที่โง่เขลานัก ข้าขอให้เจ้าเก็บมัน”
เวลานี้แม่ทัพผู้นั้นนิ่งอึ้ง ยังมองไม่ชัดว่าอีกฝ่ายมาปรากฎตัวตรงหน้าเขาได้อย่างไร ไอสังหารก็พุ่งปะทะใบหน้าแล้ว
เซียวชินก็มองแม่ทัพผู้นั้น “เก็บดาบก่อน”
“ขอรับ” แม่ทัพตัดสินใจเด็ดขาด รีบเก็บดาบลงทันที เข้าใจว่าหากตนยังชักช้าอีกก้าวเดียว ศีรษะของเขาอาจถูกบุรุษหนุ่มเบื้องหน้าบั่นลงมาได้
เยี่ยเม่ยปรายตาให้จิ่วหุน หัวเราะออกมา เสียงเย็นชาเอ่ยว่า “เจ้าหนูจิ่ว พวกเราอย่าทำให้พวกเขาตกใจ เจ้ากลับมาก่อน”
เจ้าหนูจิ่ว?
คำเรียกขานเช่นนี้ ใบหน้าของจิ่วหุนแดงเรื่อ ทว่าก็หายไปอย่างรวดเร็ว
ร่างเขาไหววูบทีหนึ่ง มายืนอยู่ด้านหลังเยี่ยเม่ย สายตากลับมีแววตักเตือนมองไปที่คนทั้งหมด สีหน้าแสดงออกว่า ‘ใครกล้าชักดาบต่อหน้าเยี่ยเม่ย คนผู้นั้นสมควรตาย’
ซินเยว่เยี่ยนกลับมองจิ่วหุนทีหนึ่ง อดมองเยี่ยเม่ยอีกทีหนึ่งไม่ได้ ยอดฝีมือเช่นนี้ยินยอมรับใช้เยี่ยเม่ย เกรงว่าสตรีนางนี้คงไม่ธรรมดาจริงๆ
เซียวชินมองเยี่ยเม่ยทีหนึ่ง จากนั้นก็มองรถเสบียงหลายคันด้านหลังนาง เห็นได้ชัดว่าบรรจุเสบียงอาหารทั้งหมด รวมไปถึงทหารกล้ารอบข้างพวกเขา
เซียวชินหันกลับมองลู่หวานหว่านทีหนึ่ง เอ่ยกับเยี่ยเม่ยอย่างเย็นชาว่า “นี่คือคนที่เจ้าต้องการ พวกเราทำการแลกเปลี่ยนกันตอนนี้เลยหรือไม่”
เยี่ยเม่ยมองเขา เอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ย่อมต้องแลกเปลี่ยนกันตอนนี้ ทำไมกัน หรือเจ้าทำใจยกนางให้ข้าไม่ได้ หรือเห็นรูปโฉมของข้าแล้ว คิดอยากสนทนาด้วยอีกสักหลายประโยค”
ยามที่ลู่หวานหว่านเห็นเยี่ยเม่ยก็เกิดโทสะ ตอนนี้ส่งเสียงก่นด่าเยี่ยเม่ย “เจ้ามันนางสารเลว ข้าล่วงเกินเจ้าเมื่อไหร่กัน เจ้าต้องไม่ได้ตายดี…”