แดนนิรมิตเทพ บทที่ 919
ศาสตราจารย์เสิ่นชักชวนเฉินโม่ แต่เมื่อเห็นเฉินโม่ไม่ยอมไป จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ แล้วพาพวกหวางเฉิงทั้งหกคนไปยังโรงอาหารมหาวิทยาลัยชิงหัว

เฉินโม่เตรียมจะเดินจากไปคนเดียว แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็มองเห็นอานเข่อเยว่และชายคนนั้น ยืนอยู่ใต้ร่มเงาทางที่เฉินโม่จำเป็นต้องเดินผ่าน แล้วจ้องมองเฉินโม่อย่างเย็นชา

เฉินโม่เหลือบมอง แล้วทำเป็นพวกเขาไม่มีตัวตน เดินตรงไปด้วยสีหน้านิ่งเฉย ในขณะที่เดินผ่านพวกเขา เฉินโม่ไม่เหลือบมองอานเข่อเยว่เลยแม้แต่นิด

อานเข่อเยว่รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก ในแววตามีความขุ่นเคืองปรากฏ

“หยุด!” อานเข่อเยว่ตะคอก

เฉินโม่ไม่สนใจ ไม่หยุดฝีเท้าสักนิด แล้วเดินไปข้างหน้าต่อไป

บนใบหน้าที่สวยงามของอานเข่อเยว่มีความไม่พอใจ วิ่งเข้าไปขวางตรงหน้าของอานเข่อเยว่

“ตอนนี้นายไม่กล้าแม้แต่จะคุยกับฉันแล้วงั้นหรอ? หรือเห็นว่าตอนนี้ฉันมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม แลวนายอิจฉา?” อานเข่อเยว่มองเฉินโม่ด้วยสีหน้าเยาะเย้ย

ไม่รู้ว่าทำไม อานเข่อเยว่จึงรู้สึกว่ายิ่งเฉินโม่ไม่พูดอะไร ภายในใจของเธอก็ยิ่งรู้สึกโมโหมากขึ้น หากเฉินโม่ด่าว่าเธอ เช่นนั้นเธอจะยังรู้สึกดีซะยิ่งกว่า

เฉินโม่มองดูอานเข่อเยว่ที่เดิมทีมีใบหน้าสวยงามแต่ตอนนี้กลับบูดเบี้ยวน่าเกลียด แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดอย่างเย็นชาว่า “หลีกไป”

อานเข่อเยว่รู้สึกบ้าคลั่ง เหมือนกับว่าไม่ว่าเธอจะพูดอะไร เฉินโม่เพียงแค่เห็นเธอเป็นอากาศเท่านั้น และมองข้ามไป

ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้อานเข่อเยว่รู้สึกบ้าคลั่งทุกครั้ง รู้สึกอยากจะอาละวาด!

ความใจเย็นและเฉลียวฉลาดของอานเข่อเยว่ ในเวลานี้ ได้หายไปจนหมด ภายในใจของเธอตอนนี้มีเพียงความคิดเดียว นั่นก็คือคิดหาทุกวิถีทางมาโจมตีเฉินโม่ เพียงแค่สามารถทำให้เฉินโม่เกิดความรู้สึกอย่างอื่นได้ เธอก็รู้สึกพอใจแล้ว

แม้เฉินโม่ฆ่าเธอทิ้ง อย่างน้อยก็ไม่ใช่การมองข้ามที่ทำให้เธอรู้สึกบ้าคลั่ง

อานเข่อเยว่พยายามเก็บกดความโมโห แล้วพูดเยาะเย้ยว่า “ฉันได้ยินมาว่านายพนันกับหานทงจากมหาวิทยาลัยตงหมิง? นายยังอวดดีเหมือนเคยจริงๆ หานทงเป็นนักศึกษาปีสี่ ส่วนนายก็แค่นักศึกษาปีหนึ่ง ศิลปะการต่อสู้ของนายไม่มีประโยชน์ใดๆในสถานที่แห่งนี้ แข่งทักษะความรู้ นายมันรนหาเรื่องอับอาย!”

“พูดจบแล้ว? อย่างนั้นก็หลีกไปซะ” เฉินโม่ยังมีท่าทางเฉยชาเหมือนเดิม แล้วเดินผ่านอานเข่อเยว่ด้วยสีหน้านิ่งเฉย

อานเข่อเยว่กำหมัดแน่น เล็กจิกเข้าในฝ่ามือ ตะโกนเสียงดังวา “เฉินโม่ ฉันรอดูนายคุกเข่าคำนับขอโทษหานทง!”

เสียงของเฉินโม่มีความล่องลอย เหมือนว่าดังลงมาจากสวรรค์ “นั่นมันก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับเธอ!”

ในเวลานี้ ชายคนนั้นที่ยืนอยู่ข้างๆ อดที่จะเอ่ยปากพูดออกมาไม่ได้

น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ มีความดึงดูด “ในเมื่อนายยอมรับคำท้าจากหานทง แล้วกล้ารับคำท้าจากฉันด้วยไหม?”

อานเข่อเยว่นิ่งอึ้ง แล้วหันมองไปที่หมิงเจ๋อเสวียน

เฉินโม่หยุดฝีเท้า หันไปมองหมิงเจ๋อเสวียนที่มีสีหน้ายิ้มแย้ม เขารู้ว่าคนผู้นี้ก็คือคุณชายใหญ่ตระกูลหมิงที่อานเข่อเยว่พูดถึง

“ทำไมฉันต้องรับคำท้าของนายด้วย?” เฉินโม่ถามด้วยสีหน้าเฉยชา

หมิงเจ๋อเสวียนเดินเข้าไปใกล้ ยืนข้างอานเข่อเยว่ แล้วกอดไหล่อานเข่อเยว่ไว้ เชิดหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “ตอนนี้นายยังจะถามว่าทำไมอีกมั้ย?”

อานเข่อเยว่มองเฉินโม่ ฉีกยิ้มได้ใจออกมา แล้วจงใจซบหน้าอกของหมิงเจ๋อเสวียน เหมือนว่ากำลังแสดงอำนาจให้เฉินโม่ได้เห็น

การแสดงออกของหมิงเจ๋อเสวียน ลูกผู้ชายอย่างมาก อย่างน้อยชายหญิงรอบข้างที่มองดูอยู่ต่างก็คิดเช่นนั้น