“แล้วเจ้ามีคนอื่นที่รู้จักไหม ที่เราสามารถไปปรึกษาเขาได้” พระชายาฉีถามด้วยความร้อนใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดคิดไปชั่วขณะ ยิ้มและกล่าวว่า “มีอยู่คนหนึ่งเจ้าค่ะ แต่ว่า…”
“ใคร ไปเชิญเขามาสิ” น้ำเสียงของพระชายาฉียิ่งร้อนใจมากขึ้นไปอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา “คนเดียวที่ข้ารู้จักก็คือฮูหยินเหวิน แต่นางเป็นพี่สาวของซูเอ๋อร์ เราไปถามนางคงจะไม่เหมาะสมนะเจ้าคะ”
พระชายาฉีหยุดชะงักไปแล้วหัวเราะตามออกมา “นี่มันจริงๆ เลย” ยังไม่ทันกล่าวจบ ก็เปลี่ยนคำพูด “เช่นนี้ก็ดี ชื่อเสียงของร้านยาเต๋อเหรินก็ดังไม่น้อยในเมืองหลวง เมื่อครั้งที่จวนเหวินตงให้สินสอดกับนางก็ไม่เป็นสองรองใครเหมือนกัน เราลองสอบถามกับนาง เราจะได้มั่นใจมากขึ้น”
“งั้นข้าไปเชิญนางมานะเพคะ ท่านสอบถามนางด้วยตัวเองได้เลย” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
พระชายาฉีพยักหน้า “ก็ดี จะได้รวดถามว่าขนบธรรมเนียมประเพณีพื้นบ้านมีอะไรบ้าง เราควรระมัดระวังเรื่องใดบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวออกจากจวนให้กัวเฟยขี่รถม้ามาถึงร้านยาเต๋อเหริน ไม่ให้พนักงานมารายงาน เดินตรงไปชั้นสอง ผลักประตูออก
เหวินซื่อนั่งวางขาไว้บนโต๊ะทำงาน แกว่งขาด้วยความสบายใจ เห็นประตูเปิดออก เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา ก็ตกใจรีบเอาขาลง ลุกขึ้นยืนแล้วถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก”
ไม่แปลกที่เหวินซื่อจะถามเช่นนี้ เพราะทุกครั้งที่เมิ่งเชี่ยนโยวมาแบบนี้จะมีเรื่องเกิดขึ้นตลอด
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเขา “หุบปากเสียๆ ของเจ้าซะ ไม่มีเรื่องข้าจะมาไม่ได้หรือ”
ไม่มีเรื่องก็ดีแล้ว เหวินซื่อโล่งอก แล้วกลับไปนั่งที่เก้าอี้
กลับไปทำตัวสบายเหมือนเดิมแล้วถามว่า “ไม่มีอะไร แล้วเจ้ามาทำไม”
“ข้ามีเรื่องจะปรึกษาซ้อ ไม่สะดวกไปที่จวนเจ้า เลยมาที่นี่ เจ้าให้คนกลับไปรับซ้อมาที่นี่หน่อย”
เหวินซื่อมองนางด้วยความสงสัย “มีเรื่องอะไร เจ้าบอกข้าก่อน”
“เรื่องระหว่างผู้หญิงพูดกับเจ้าไม่ได้ เร็วๆ สิ”
ถ้าหากเป็นเรื่องระหว่างผู้หญิงตนก็ไม่สามารถเข้าร่วมได้ เหวินซื่อไม่ได้ถามต่อสั่งพนักงานกลับจวนไปเรียกเฝิงจิ้งเหวินมา
เมิ่งเชี่ยนโยวทนเห็นเขาทำตัวสบายแบบนี้ไม่ได้ กล่าวว่า “ท่านแท่ทัพฉู่จะแต่งงานแล้ว เจ้าเป็นเพื่อนพี่น้องที่สนิทควรจะไปช่วยงานมิใช่หรือ เหตุใดจนป่านนี้เจ้ายังไม่ไป หมายความว่าอย่างไร”
เหวินซื่อถอนหายใจแรงๆ หนึ่งครั้ง กล่าวว่า “ข้าไม่ปิดบังเจ้า ข้าไม่กล้าไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว ถามว่า “เพราะเหตุใดเล่า”
“เพราะข้ากลัวโดนตีไงล่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นหน้าเข้าไปใกล้หน้าเขาแล้วกัดฟัน กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาน่ากลัวว่า “หากเจ้าไม่อยากโดนตีตอนนี้ก็พูดมาให้จบในประโยคเดียว”
ด้วยความเคยชินเหวินซื่อขยับถอยหลัง กล่าวด้วยความระมัดระวังว่า “เจ้าตัวแสบ เจ้าจะดุเช่นนี้ไปทำไม ระวังแต่งออกเรือนมิได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวกัดฟัดดัง กรอดๆ
เหวินซื่อรีบกล่าวว่า “ข้าพูดแล้ว ข้าพูดแล้วก็ได้”
พูดจบ คิดอะไรขึ้นได้ หัวเราะหึๆ หัวเราะจนพอใจแล้วกล่าวว่า “เจ้าคิดดู เมื่อก่อนเป็นท่านพี่จู ต่อไปจะกลายเป็นน้องเขยแล้ว แค่ข้านึกถึงท่าทางที่เขาเรียกข้าว่าพี่เขย ข้าก็ดีใจจนนอนไม่หลับแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาเสมือนว่ามองคนโง่เขลา
เหวินซื่อไม่เข้าใจ ถามด้วยความซื่อบื้อว่า “เจ้ามองข้าเยี่ยงนี้ทำไม ข้าพูดอะไรผิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแทรก ทำลายจินตนาการของเหวินซื่อไปหมด “ท่านแม่ทัพมีฐานะเป็นแม่ทัพ นอกเสียจากพวกเจ้าพบเจอกันเป็นการส่วนตัว ไม่ต้องระวังตัวเรื่องมารยาท ถือเป็นพี่น้องกัน หากเป็นสถานการณ์ที่ทางการ เจ้าก็ต้องคุกเข่าทำความเคารพอยู่ดี เจ้าเอาสมองส่วนไหนคิดว่าต่อไปท่านแท่ทัพฉู่เจอหน้าเจ้าต้องเรียกเจ้าว่าพี่เขย”
สีหน้าแห่งความสุขของเหวินซื่อได้หายไป อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยากเสียเวลาเสวนากับเขาอีก ส่ายหัวไปมา นั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ
ปัง! เหวินซื่อใช้ฝ่ามือตบโต๊ะ เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเขา “เจ้าเป็นบ้าอะไร”
เหวินซื่อโมโห กล่าวว่า “เรื่องดีๆ ที่ข้าคิดไว้หลายวันมันจบแล้ว จะไม่ให้ข้าเป็นบ้าได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะด่าว่าเขา เสียงฝีเท้าคนเดินขึ้นชั้นบนดังขึ้น คิดว่าคงเป็นเฝิงจิ้งเหวินมาแล้ว เมิ่งเชี่ยนลุกขึ้น เปิดประตูห้อง เฝิงจิ้งเหวินเดินถึงหน้าประตูห้องพอดี เห็นนาง ยิ้มกล่าวว่า “ท่านข้านึกว่าท่านพี่ตามหาข้ามีเรื่องอะไร ที่แท้น้องโยวเอ๋อร์มานี่เอง”
“ซ้อ” เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกนาง ไม่ได้ให้นางเข้ามา ก็จับมือนางออกไปข้างนอกทันที “ข้ามีเรื่องหนึ่งต้องการให้เจ้าช่วย”
เฝิงจิ้งเหวินไม่ได้ถามว่าเรื่องอะไร หันหลังเดินลงชั้นล่างตามนางมาทันที
เหวินซื่อทนไม่ได้ วิ่งตามมาถึงหน้าประตู กล่าวถามว่า “พวกเจ้าจะไปไหน กลับมาเมื่อไหร่ ต้องการให้ข้าไปรับไหม”
สองคนเดินใกล้จะถึงชั้นล่างแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเลยกล่าวตอบไปว่า “ข้าจะพาซ้อกลับมาส่งเอง เจ้าไม่ต้องยุ่ง”
เหวินซื่อไม่ได้ถามต่อ กลับไปนั่งที่ของตน ขมวดคิ้วครุ่นคิด ยิ่งคิดยิ่งไม่พอใจ บ่นออกมาว่า “ทั้งๆ ที่เขาเป็นน้องเขยของข้า เพราะเหตุใดข้าถึงเรียกเขาไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวจูงมือเฝิงจิ้งเหวินขึ้นบนรถม้าของตน สั่งคนขับรถม้าให้ไปจวนแม่ทัพ เฝิงจิ้งเหวินได้ยิน แสดงสีหน้าตกใจออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวกับนางว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร เฝิงจิ้งเหวินตกใจมากขึ้นไปอีก “น้องโยวเอ๋อร์ แบบนี้ไม่ดีหรือเปล่า ซูเอ๋อร์เป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้า คงไม่ดีหากให้ข้าออกความคิดเห็นให้พระชายาฉี”
เมิ่งเชี่ยนโยงยิ้มโบกมือไปมา “ไม่เป็นไร ท่านพี่สามารถใช้โอกาสนี้ขอเพิ่มสินสอดให้น้องซูเอ๋อร์ อย่างไรก็ตามของดีในจวนแม่ทัพมีเยอะอยู่แล้ว ไม่เอาก็เสียดายเปล่าๆ ”
เฝิงจิ้งเหวินหลุดยิ้มออกมา กล่าวจากใจว่า “น้องโยวเอ๋อร์ เรื่องของซูเอ๋อร์ต้องขอบใจเจ้ามากจริงๆ”
“ซ้อทำแบบนี้เท่ากับตบหน้าข้าอยู่นะ เป็นเพราะข้าไม่ได้ดูแลน้องซูเอ๋อร์ดีๆ จึงทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับนาง”
เฝิงจิ้งเหวินส่ายหัวไปมา “น้องโยวเอ๋อร์ไม่รู้ จริงๆ แล้วซูเอ๋อร์เลื่อมใสท่านแม่ทัพมาก และเคยเป็นเหมือนกับหญิงสาวส่วนใหญ่ในเมืองหลวงที่ใฝ่ฝันอยากเป็นภรรยาของท่านแม่ทัพ ไม่คิดว่าครั้งนี้จะเป็นจริงขึ้นมา นางขอบคุณเจ้ามากจริงๆ ยังมีท่านพ่อท่านแม่ของข้าอีก กลัวมาตลอดว่านิสัยไม่คิดอะไรนี้ของซูเอ๋อร์หากแต่งเข้าไปในครอบครัวใหญ่ที่มีฐานะ จะไม่ได้รับความเอาอกเอาใจจากแม่สามี จะเจอความลำบาก ตอนนี้ก็ตรงใจท่านทั้งสองแล้ว นายแม่ทัพใหญ่และนายหญิงก็ได้จากไปแล้ว ต่อไปซูเอ๋อร์แต่งเข้าไปก็เพียงแค่ดูแลรับใช้ท่านแม่ทัพก็พอ”
ทั้งสองพูดคุยกันตลอดทางจนถึงจวนแม่ทัพ ลงจากรถม้า เดินเข้าห้องโถงด้านหน้า
พระชายาฉียังคงนั่งรออยู่ที่นั่น ทั้งสองเดินเข้าประตู เฝิงจิ้งเหวินก็ได้ทำความเคารพพระชายาฉีก่อนเป็นมารยาท
พระชายาฉีลุกขึ้นเดินก้าวเข้าไปข้างหน้า พยุงนาง “ต่อไปนี้พวกเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เวลาที่ไม่มีผู้อื่นการทำความเคารพแบบนี้ก็ข้ามไปเถอะ”
เฝิงจิ้งเหวินกล่าวขอบคุณด้วยความดีใจ
พระชายาฉีให้นางทั้งสองนั่งลง แล้วกล่าวตรงเข้าประเด็นว่า “โยวเอ๋อร์คงได้บอกเจ้าแล้วข้าอยากถามเจ้าว่าเมื่อครั้งที่จวนเหวินตงได้ให้สินสอดกับเจ้า ได้จัดเตรียมสินสอดอะไรบ้าง”
“แค่ซูเอ๋อร์ได้แต่งกับท่านแม่ทัพก็เป็นเกียรติอย่างสูงกับเราแล้ว สินสอดท่านให้แค่ไม่กี่ลังก็พอแล้วเพคะ”
พระชายาฉียิ้มโบกมือไปมา “ซูเอ๋อร์เป็นภรรยาท่านแม่ทัพที่ถูกสู่ขออย่างถูกต้องตามประเพณี สินสอดจะถูๆ ไถๆ มิได้ หากดูแย่เกินไปก็จะทำให้พวกฮูหยินของขุนนางทั้งหลายดูถูกดูแคลนเราได้ ต่อไปก็อาจก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ได้ เราไม่หวังให้สูงกว่าคนอื่น แต่ก็อย่าให้ตกเป็นขี้ปากคนอื่นเขาเด็ดขาด เชิญฮูหยินเหวินบอกสินสอดที่จวนเหวินตงได้ให้เจ้าในครั้งนั้นว่ามีอะไรบ้าง พวกเราทำตามนั้นแล้วเพิ่มเข้าไปอีกสองสามลังก็พอแล้ว”
ฟังนางให้ความสำคัญกับเฝิงจิ้งซูเยี่ยงนี้ เฝิงจิ้งเหวินก็มีความสุขใจแล้ว ยิ้มกล่าวว่า “ครั้งนั้นที่ให้สินสอดข้ามีสี่สิบแปดลัง ทุกลังล้วนเป็นสิ่งของที่ใช้การได้จริง ภาพวาดโบราณ ผ้าไหม เครื่องประดับเงินทอง อัญมณีทุกชนิด ยังมีสิ่งของหายากที่เขาไปกว้านหามาจากทุกที่ จริงๆ แล้วมีอะไรข้าก็จำไม่ค่อยได้แล้ว ส่วนใหญ่ก็จะเป็นของพวกนี้เจ้าค่ะ”
ฟังนางพูดถึงเครื่องประดับเงินทอง พระชายาฉีถึงนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่นางรู้สึกมาโดยตลอดว่าขาดอะไรสักอย่างคือสิ่งใด สิ่งนั้นคือเครื่องประดับ จวนแม่ทัพไม่มีนายหญิง แม้แต่ของพระราชทานจากฮ่องเต้ก็ไม่มีสิ่งของพวกนี้ ฉะนั้นครั้งก่อนที่ไปสู่ขอ ก็รู้สึกว่าสินสอดนั้นขาดอะไรสักอย่าง ตอนนั้นยังต้องจัดการปัญหาของพระชายารอง ยังต้องรีบเตรียมของสู่ขอ ฉะนั้นพระชายาฉีจึงไม่ได้คิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าขาดสิ่งของอะไรไป ตอนนี้ฟังเฝิงจิ้งเหวินกล่าวออกมา ถึงคิดขึ้นได้ กล่าวว่า “ข้าก็รู้สึกว่าขาดอะไรบ้างอย่าง ที่แท้ก็ขาดเครื่องประดับนี่เอง” พูดจบ ก็ลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “ไปกันเถอะ เราไปซื้อเครื่องประดับกันตอนนี้เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวกับเฝิงจิ้งเหวินได้สบตากัน และลุกขึ้นยืนตาม
ทั้งสามเดินออกไปข้างนอก ลุงฝูก็ได้นำรายการที่ตรวจละเอียดแล้วในห้องเก็บของมาพอดี พระชายาฉีพูดสั่งเขา “ลุงฝู นำตั๋วเงินส่วนหนึ่งมาให้ข้า ข้าจะไปซื้อเครื่องประดับให้นายหญิงของแม่ทัพพวกเจ้า”
ลุงฝูเป็นทั้งพ่อบ้านในจวนแล้วยังเป็นผู้ดูแลบัญชี เวลาที่จูเหวินเจี๋ยไม่อยู่ ก็ได้นำเงินในจวนและร้านค้า ที่ดินให้เขาดูแลจัดการ เงินที่ได้รับก็ต้องเป็นเขาที่ดูแลอยู่แล้ว ลุงฝูรับคำสั่ง ไปห้องเก็บเงิน นำตั๋วเงินหลายหมื่นตำลึงออกมาให้พระชายาฉี
พระชายาฉีรับมาแล้วให้เมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้าถือไว้ ถึงเวลาเจ้าก็จ่ายเงิน”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ปฏิเสธ รับมาอย่างปกติ หลังจากนับเสร็จแล้ว ก็ใส่เข้าไปในกระเป๋าแขนเสื้อตน
ลุงฝูหัวเราะดีใจหึๆ เมื่อมองเรื่องราวตรงหน้าทั้งหมดนี้
พระชายาฉีตรัสสั่งลุงฝู “รายการสินสอดเดี๋ยวข้ากลับมาดูต่อ”
ลุงฝูรับคำสั่ง ส่งทั้งสามออกจากจวนแม่ทัพอย่างเคารพ
ทั้งสามเดินขึ้นรถม้าของพระชายาฉี หลังจากนั่งลงแล้ว พระชายาฉีกล่าวถามว่า “ฮูหยินเหวิน ร้านเครื่องประดับในเมืองหลวงร้านไหนดีที่สุด เราตรงไปดูเลยเถอะ”
“เครื่องประดับในร้านหลิงหลังที่ตงเฉิงมีชื่อเสียงในเมืองหลวง แต่ราคาก็สูงกว่าเล็กน้อยเพคะ”
“ไม่เป็นไร ตรงไปร้านหลิงหลังเลย” พระชายาฉีตัดสินใจ และสั่งคนขับรถม้า
คนขับรถม้าขับรถม้าตรงมาถึงร้านหลิงหลัง ทั้งสามลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าไปด้านในร้าน ชิงหลวนและจูหลีเดินตามหลังทั้งสาม
ร้านหลิงหลังสมกับเป็นร้านเครื่องประดับที่มีชื่อเสียง ไม่เพียงแต่ตกแต่งหรูหรากว่าร้านประดับทั่วไป แม้แต่ท่าทางของพนักงานต้อนรับก็ไม่เหมือนกัน พนักงานหลายคนแต่งกายเรียบร้อยยืนเรียงแถวกันที่หน้าประตู เห็นทั้งสามเดินเข้ามาทางร้าน ทุกคนก้มหัวทำความเคารพ ยื่นมือทำสัญญาณมือเชิญที่เหมือนกัน พูดพร้อมกันแล้วกล่าวว่า “คุณนาย คุณผู้หญิง เชิญข้างในเจ้าค่ะ”
คนพวกนี้ก็เปรียบเสมือนพนักงานสาวต้อนรับในปัจจุบัน เมิ่งเชี่ยนโยวชื่นชมในใจ เจ้าของร้านหลิงหลังนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงคิดวิธีแบบนี้ขึ้นมาได้
ทั้งสามเดินเข้าไปในร้านหลิงหลัง วิธีการต้อนรับแขกในร้านก็ไม่เหมือนกัน เริ่มจากพนักงานกระตือรือร้นในการเชิญนางทั้งสามคนเข้าไปในห้องที่ตกแต่งอย่างสวยหรูแล้ว ยกน้ำชามาให้ทั้งสาม ถึงกล่าวถามออกมาด้วยความเคารพว่า “ไม่ทราบว่าพวกท่านอยากซื้อเครื่องประดับแบบไหนขอรับ”
พระชายาฉีก็ไม่ถือตัว กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “พวกเราไม่ได้วางแผนซื้ออะไร แค่เห็นชอบสิ่งใดก็ซื้อสิ่งนั้น เจ้าช่วยนำเครื่องประดับทั้งหมดในร้านมาให้พวกข้าดูได้หรือไม่”
ทุกครั้งที่แขกพูดแบบนี้ส่วนใหญ่จะซื้อเครื่องประดับอะไรไม่ได้เลย พนักงานมั่นใจมาก แต่ท่าทางที่แสดงออกมาไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่เล็กน้อย กล่าวตอบว่า “ได้เลยขอรับ ท่านทั้งหลายรอสักครู่ ข้าจะไปนำมาให้พวกท่านเป็นบางส่วนก่อนเดี๋ยวนี้”
พูดจบ ก็ถอยออกไป ไม่นานก็นำถาดมาวาง ที่วางเครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ประณีตถือเดินเข้ามา “ทุกท่านดูก่อน ในนี้มีที่ชิ้นไหนน่าสนใจหรือไม่ หากไม่มีข้าจะไปเปลี่ยนอีกชุดหนึ่งให้”
พระชายาฉีก้มหน้าก้มตาตั้งใจเลือกดูอย่างละเอียด เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกว่าเครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยนี้งานประณีตมาก ก็หยิบขึ้นมาหลายชิ้นวางไว้บนมือแล้วดู พระชายาฉีไม่ได้เงยหน้าขึ้นแต่อย่างใด กล่าวกับพนักงานว่า “พวกนั้นข้าเอา”
พนักงานหยุดชะงักไป หลังจากนั้นก็ดีใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็หยุดชะงักไปเหมือนกัน รีบนำเครื่องประดับบนมือวางกลับไปที่ถาดวาง
พระชายาฉีนำเครื่องประดับพวกนั้นมาวางบนโต๊ะ กล่าวว่า “ถ้าหากชอบก็ซื้อเถอะ ถือว่าเป็นของขวัญที่ข้าให้เจ้า”
เครื่องประดับทุกชิ้นในร้านหลิงหลังงานประณีตมาก แต่ราคาก็ไม่ธรรมดา อย่ามองว่าเป็นแค่เครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อย ตั๋วเงินที่ต้องจ่ายก็น่าจะเกือบพันตำลึงเหมือนกัน พระชายาฉีกล่าวว่าจะให้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่เล็กน้อย หลังจากเฝิงจิ้งเหวินตกใจแล้วก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ชอบเครื่องประดับ ปกติแล้วนอกจากเครื่องประดับที่จำเป็นต้องสวมไม่กี่ชิ้น ที่เหลือแม้แต่มองนางยังไม่มองเลย ใส่ไว้ในกล่องตะกร้าทั้งหมด วันนี้แค่รู้สึกว่าเครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยพวกนี้งานประณีตมาก เลยหยิบขึ้นมาดูอย่างละเอียดชั่วครู่ แต่ไม่ได้หมายความว่าอยากได้ พระชายาฉีกล่าวจบ หลังจากนางหยุดชะงักไปชั่วขณะนึง ยิ้มกล่าวว่า “ปกติแล้วน้อยครั้งที่ข้าจะสวมเครื่องประดับพวกนี้ซื้อไปก็ได้แต่วางไว้ อย่าใช้เงินเปล่าประโยชน์นั้นเลยเพคะ”
“ซื้อเถอะ แม้จะไม่ยอมสวมใส่ ซื้อกลับไปก็หยิบขึ้นว่ามองดูเป็นครั้งคราว ก็สบายตาสบายใจเช่นกัน” พระชายาฉีกล่าว
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ปฏิเสธอีก แต่ก็ไม่กล้าหยิบเครื่องประดับขึ้นมาดูเล่นอีกเลย