ตอนที่ 148 ปกป้องลูกสะใภ้อย่างดุเดือด

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

แต่พระชายาฉีเพ่งมองดูเครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยพวกนั้นอย่างละเอียด แล้วก้มหน้าก้มตาเลือกดูชิ้นอื่นต่อ

 

 

พนักงานเห็นว่าใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็ขายเครื่องประดับได้หลายชิ้นแล้ว ยิ่งกระตือรือร้นในการขายมากขึ้นกว่าเดิม พระชายาฉีเลือกดูเสร็จแล้ว ก็รีบนำอีกชุดมาเปลี่ยนทันที แต่ละชุดงานยิ่งประณีตมากขึ้นทุกชุด คุณภาพก็ยิ่งดีมากขึ้น

 

 

พระชายาฉีเลือกเครื่องประดับออกมาหลายชิ้น แยกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นสินสอดที่ให้กับเฝิงจิ้งซู อีกส่วนหนึ่งเลือกตามความชอบของเมิ่งเชี่ยนโยว เลือกเป็นของขวัญให้นาง

 

 

เห็นพระชายาฉีใช้จ่ายมากมายเพียงนี้ เฝิงจิ้งเหวินตกใจไม่กล้าพูดอะไรเริ่มแรกเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังมีความรู้สึกเกรงใจ แต่หลังๆ ก็แล้วแต่นาง นี่เป็นน้ำพระทัยของพระชายาฉี ตนก็ยากที่จะปฏิเสธ

 

 

พระชายาฉีป่วยติดต่อกันเป็นเวลานานหลายปี นอกจากงานเฉลิมฉลองปีละครั้งในวังแล้ว แทบจะไม่เคยออกจากจวนเลย แน่นอนว่าต้องไม่เคยไปร้านเครื่องประดับเลย วันนี้ดีใจเลือกเครื่องประดับออกมาสิบกว่าชิ้น ไม่ว่าชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ ตรัสสั่งพนักงาน “ใส่ลงกล่องที่ประณีตทั้งหมด ข้าจะส่งเป็นของขวัญให้ผู้อื่น”

 

 

พนักงานไม่เคยพบลูกค้าที่ร่ำรวยขนาดนี้มาก่อน ดีใจจนสับสนงงงวย กลัวว่าจะเป็นแค่ความฝันของตัวเอง เลยฉวยโอกาสที่ผู้อื่นไม่ทันสังเกต แอบหยิกขาของตัวเอง เมื่อรู้สึกได้ถึงความเจ็บ จึงได้รู้ว่าเป็นเรื่องจริง ดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้ เมื่อฟังคำสั่งของพระชายาฉีแล้ว ก็รับคำสั่งด้วยความดีใจ แยกเครื่องประดับที่นางเลือกไว้สองส่วนวางบนสองข้างของถาดวาง ยกออกไปรายงานเจ้าของร้าน เครื่องประดับทั้งหมดนี้ลูกค้าในห้องเอาหมดเลยขอรับ เจ้าของร้านก็ดีใจจนทนไม่ไหว หลังจากคิดเงินเสร็จแล้ว ก็ทำตามความต้องการของพระชายาฉีโดยการนำเครื่องประดับทั้งหมดใส่ลงในกล่องที่ประณีตงดงาม แล้วสั่งให้พนักงานถือถาดเดินเข้าไปวางเข้างใน

 

 

พนักงานวางถาดไว้บนโต๊ะ เปิดกล่องเครื่องประดับออกทั้งหมด ให้ทุกคนสามารถมองเห็นเครื่องประดับอย่างชัดเจน

 

 

พนักงานกล่าวด้วยความเคารพว่า “นายหญิง เครื่องประดับที่ท่านเลือกทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้วขอรับ ทั้งหมดห้าหมื่นตำลึงขอรับ

 

 

พระชายาฉีพยักหน้า นำเครื่องประดับที่เลือกให้เมิ่งเชี่ยนโยวแยกมาวางข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว กล่าวกับพนักงานว่า “เจ้าคิดราคาพวกนี้แยกต่างหาก แล้วไปรับเงินที่จวนอ๋องฉี” แล้วกล่าวต่อว่า “ส่วนที่เหลือพวกนี้ ข้าจะจ่ายเป็นตั๋วเงินให้เจ้า”

 

 

ได้ยินคำว่าจวนอ๋องฉี พนักงานยืนอึ้งทันที เหงื่อเริ่มออกมาจากหน้าผาก

 

 

พระชายาฉีเห็นเขาไม่ขยับเขยื้อน เริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวถามว่า “เป็นอะไร ไม่ได้หรือ”

 

 

พนักงานคืนสติ ก้มตัวพยักหน้า แล้วกล่าวว่า “ได้ขอรับ ได้ขอรับ ข้าน้อยจะทำเดี๋ยวนี้เลยขอรับ” พูดจบ ก็ลากขาสั่นๆ ของตนเดินออกไปอย่างมึนงง แล้วไปรายงานเจ้าของร้าน

 

 

แม้ว่าเจ้าของร้านจะรู้สึกว่านางแต่งกายหรูหรา มีสง่าราศี แต่ก็คิดไม่ถึงว่า นางจะเป็นพระชายาฉีที่เขาลือกันว่าป่วยหนัก ไม่เคยก้าวออกจากจวนเลย ฟังคำรายงานของพนักงานแล้ว รีบเดินออกไปนอกห้อง ดูรถม้าที่จอดอยู่หน้าร้าน เป็นสัญลักษณ์ของจวนอ๋องฉีจริงๆ รีบคิดเงินให้เรียบร้อย หลังจากนั้นค่อยเข้ามาในห้อง รีบคุกเข่าทำความเคารพพระชายาฉี “ข้าน้อยไม่ทราบว่าเป็นพระชายาฉีมาเยือนที่ร้าน หากมีที่ใดที่ดูแลไม่ทั่วถึงก็ขอทรงประทานอภัยด้วยขอรับ”

 

 

พระชายาฉียิ้ม แล้วกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด วันนี้ข้าแค่มาเลือกเครื่องประดับไม่กี่ชิ้น เถ้าแก่ไม่ต้องเกรงใจเยี่ยงนี้”

 

 

เจ้าของร้านลุกขึ้น นำจำนวนเงินที่คิดเรียบร้อยแล้วให้พระชายาฉีดู “ในส่วนที่วางข้างหน้าคุณผู้หญิงท่านนี้ ทั้งหมดสองหมื่นตำลึง ที่เหลือคือสามหมื่นตำลึง ท่านมาเยือนที่ร้านเป็นครั้งแรก ลดให้ท่านเป็นพิเศษ ท่านจ่ายเพียงร้อยละเก้าสิบก็พอขอรับ

 

 

ถ้าคิดเป็นร้อยละเก้าสิบ เครื่องประดับที่อยู่ข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งหมดคือหนึ่งหมื่นแปดพันตำลึง

 

 

พระชายาฉียังคงยิ้มแล้วกล่าวว่า “วันนี้ข้ารีบออกมา ไม่ได้นำตั๋วเงินออกมา พวกเรานำเครื่องประดับไปก่อน ส่วนตั๋วเงินเจ้าก็ไปเอากับพ่อบ้านที่จวนอ๋องฉี”

 

 

เจ้าของร้านรับคำสั่ง

 

 

พระชายาฉีมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวรับทราบ นำเงินออกมาจากกระเป๋าแขนเสื้อ นับออกมาสองหมื่นเจ็ดพันตำลึงยื่นให้เจ้าของร้าน “เจ้านับดู”

 

 

เรื่องเงินไม่รอบคอบไม่ได้ เจ้าของร้านรับมา นับต่อหน้าทุกคน กล่าวว่า “พอดีขอรับ”

 

 

พระชายาฉีพยักหน้า ลุกขึ้น กล่าวกับเมิ่งเชี่ยนโยวและเฝิงจิ้งเหวินว่า “เราไปกันเถิด”

 

 

ทั้งสองลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามออกไปข้างนอก พนักงานและเจ้าของร้านถือถาดวางเครื่องประดับแล้วตามข้างหลัง

 

 

เพิ่งก้าวออกจากประตูห้องที่เลือกเครื่องประดับ ก็มีเสียงต้อนรับจากพนักงานดังขึ้นอีกรอบ

 

 

ทั้งสามไม่ได้ใส่ใจ ยังคงเดินออกไปข้างนอก

 

 

ระหว่างสวนทางพบเจอกับคนที่เดินเข้ามานั้น หญิงสาวตรงข้ามออกเสียง ตะโกนเรียกว่า “เมิ่งเชี่ยนโยว!”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดเดิน ยิ้มเล็กน้อย ทักทายกับนาง “คุณหนูฮั้ว บังเอิญยิ่งนัก เจ้าก็มาซื้อเครื่องประดับเหมือนกันหรือ”

 

 

เป็นเวลาเกือบเดือนที่ไม่ได้พบเจอกัน ฮั้วเซียงหลิงซูบผอมลงไปไม่น้อย เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูตัวใหญ่ คนก็ไม่สดใสเหมือนเมื่อก่อน ทั้งตัวเสมือนคนป่วยไม่มีแรง ดูท่าแล้วหลังจากกลับไปนายท่านฮั้วจะจัดการนางจริงๆ

 

 

ได้ยินคำถามจากเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ฮั้วเซียงหลิงขยับมุมปากไปชั่วขณะ รอยยิ้มที่ไม่จริงใจ ผู้อื่นไม่ทันสังเกตเห็นออกมาชั่วพริบตาเดียว ก็หายไปเลย กล่าวตอบไปด้วยน้ำเสียงของแหบๆ ว่า “นั่นสิ ข้าถูกท่านพ่อขังไว้ในบ้าน ไม่ได้ออกจากบ้านนานหลายวัน วันนี้ถึงจะได้เป็นอิสระ ออกมาซื้อเครื่องประดับสองชิ้น ผ่อนคลายอารมณ์ของตน ไม่เหมือนเมิ่งเชี่ยนโยว เติบโตอยู่บ้านนอก ปกติไม่มีคนสั่งสอน สามารถไปไหนมาไหนได้ทั่วทุกที่”

 

 

หากเป็นเมื่อก่อน ฮั้วเซียงหลิงจะไม่พูดออกมาต่อหน้าคนอื่นเด็ดขาดว่านางถูกนายท่านฮั้วขังไว้ในบ้าน เรื่องที่ไม่ให้ออกจากบ้าน แต่เวลาเผชิญหน้ากับเมิ่งเชี่ยนโยวนางจะเกิดความเคียดแค้นออกมาโดยไม่รู้ตัว คำพูดที่พูดออกมาก็เชือดเฉือนขึ้นเยอะ ดูหมิ่นดูแคลนว่านางเป็นหญิงสาวบ้านนอกที่ไร้มารยาท

 

 

ฟังคำพูดของนางแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีท่าทีโกรธแสดงออกมาแม้แต่เล็กน้อยแต่กลับตอกกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “คุณหนูฮั้วพูดถูกแล้ว ท่านพ่อท่านแม่รู้อยู่แล้วว่าไม่ว่าข้าจะทำอะไรข้าจะรู้ขอบเขตดี ไม่เคยคิดอยากได้สิ่งของที่ไม่ใช่ของตนเอง ฉะนั้นจึงวางใจให้ข้าออกมาข้างนอกมาทำในสิ่งที่ข้าชอบ”

 

 

คำพูดประชดประชันนี้ของเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นแรงกว่า คนอื่นอาจไม่รู้ แต่ฮั้วเซียงหลิงรู้ว่านางหมายถึงอะไร หลังจากสีหน้าเริ่มเปลี่ยน โมโหจนตะโกนเรียกชื่อเต็มของนางตอบมา “เมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าอย่าเหิมเกริมให้มากนัก ที่นี่คือเมืองหลวงไม่ใช่บ้านนอก ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะสามารถทำอะไรก็ได้ ทำลายเรื่องดีดีของคนอื่นไปมาก ระวังออกบ้านกลางดึกเจอผี ตกใจจนเสียชีวิต”

 

 

คำพูดนี้คือคำขู่ชัดๆ เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ทันกล่าวอะไร พระชายาฉีไม่ยอมทนแล้ว กล่าวถามว่า “คุณหนูฮั้วใช่หรือไม่ รู้หรือไม่ว่าโยวเอ๋อร์คือใคร”

 

 

ฮั้วเซียงหลิงเพึ่งจะหันมองไปนาง ดูนางมีสง่าราศี ดูไม่ธรรมดา ตากระพริบไปมา กล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ก็เป็นเพียงแค่คนๆ หนึ่งที่เอาแต่พึ่งครอบครัวตนว่าเคยช่วยชีวิตซื่อจื่อของอ๋องฉี จับซื่อจื่อไม่ยอมปล่อย หญิงสาวบ้านนอกคนหนึ่งที่หน้าด้านตามมาถึงเมืองหลวง”

 

 

สายตาของเมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มเย็นลง

 

 

เจ้าของร้านและพนักงานในร้านหลิงหลังได้ยินคำพูดที่กล้าหาญของนางแล้ว ในใจก็เกิดความรู้สึกเหงื่อตกแทนนาง ดูท่าแล้ววันนี้คุณหนูฮั้วท่านนี้จะโชคร้ายแล้วจริงๆ ด้วย พวกเขายังคิดไม่ทันจบ น้ำเสียงเย็นชาของพระชายาฉีก็ดังขึ้นมาว่า “ดูท่าแล้ว คุณหนูฮั้วจะถูกขังเป็นเวลานาน ไม่เพียงแต่สติจะเสียแล้ว แม้แต่ข่าวคราวก็ไม่ได้รับฟัง คนในจวนของเจ้าไม่มีคนบอกเจ้าเลยหรือ ว่าโยวเอ๋อร์เป็นพระชายาซื่อจื่อของเซวียนเอ๋อร์”

 

 

หากเป็นเมื่อก่อน ตามความฉลาดของฮั้วเซียงหลิงแล้ว คำพูดนี้ของพระชายาฉี นางก็จะสามารถคาดเดาได้ถึงฐานะของพระชายาฉี แต่ตั้งแต่กลับไปวันนั้น นายท่านฮั้วได้สั่งคนขังนางไว้ในเรือนของตน ไม่มีคำสั่งของเขาห้ามนางออกมาเด็ดขาด และสั่งไม่ให้คนใช้ในจวนนำเรื่องราวข้างนอก โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวกับเหวินเปียวห้ามเล่าให้นางฟังแม้แต่นิดเดียว ไม่งั้นจะถูกขายทิ้ง ทำให้คนใช้ที่จวนไม่กล้าเอ่ยปากแม้นิดเดียว ฉะนั้นฮั้วเซียงหลิงไม่รู้จริงๆ ว่าหวงฝู่อี้เซวียนได้ถอนหมั้นไปแล้ว บวกกับช่วงนี้ที่นายท่านฮั้วได้ฝากคนช่วยนางหาคู่ครอง วันนี้ที่ปล่อยนางออกมาเพราะให้นางออกมาซื้อเครื่องประดับชิ้นสองชิ้น สวมใส่ในวันหมั้น.

 

 

ฮั้วเซียงหลิงโทษทุกอย่างลงที่เมิ่งเชี่ยนโยว เห็นนาง จึงโกรธจนขาดสติ พูดไม่คิด จึงทำให้ฟังไม่ออกถึงความหมายที่แอบแฝงอยู่ในคำพูดของพระชายาฉี ออกเสียง หึๆ ออกมา กล่าวว่า “คนอย่างนางน่ะหรือ ไก่ป่าอยากกลายเป็นหงส์ ฝันกลางวันจริงๆ”

 

 

สีหน้าของพระชายาฉียิ่งน่ากลัวมากขึ้น สีหน้าไม่ดี คนที่เข้าใจก็จะดูออกในทันที แต่วันนี้ฮั้วเซียงหลิงโดนกระตุ้นจากการถูกนายท่านฮั้วบังคับให้ดูเรื่องแต่งงาน ในใจเต็มไปด้วยความแค้น ความฉลาดในเวลาปกติไม่เหลือแม้แต่นิดเดียว ทำให้มองอะไรไม่ออก

 

 

ยังคงใช้น้ำเสียงไม่ดีกล่าวว่า “คุณนายคงไม่รู้ ว่ากันว่าเมิ่งเชี่ยนโยวและเจ้าของร้านยาเต๋อเหรินไปมาหาสู่กันอย่างสนิทสนมตอนอยู่บ้านนอก ผู้หญิงหลายใจแบบนี้จะคู่ควรกับซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีได้อย่างไร”

 

 

จบคำพูดนาง ไม่เพียงแค่พระชายาฉีแม้แต่เฝิงจิ้งเหวินก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คุณหนูฮั้ว เจ้าเป็นกุลสตรีท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียง ไม่ใช่สุนัขบ้าที่กัดผู้อื่นไปทั่ว ช่วยระวังคำพูดของเจ้าด้วย”

 

 

“เจ้า…” ฮั้วเซียงหลิงพูดอะไรไม่ออก

 

 

แต่พระชายาฉีไม่ได้พูดง่ายขนาดนั้น กล่าวถามด้วยเสียงเย็นชาว่า “คุณหนูฮั้ว ใช้คำพูดที่ไม่ให้เกียรติแบบนี้มาโจมตีว่าที่พระชายาซื่อจื่อ ข้าสั่งคนสังหารเจ้าตอนนี้ก็ยังได้”

 

 

สีหน้าของฮั้วเซียงหลิงซีดลงทันที มองไปทางนางด้วยความกลัว สมองที่โดนครอบงำด้วยความแค้นได้ตื่นขึ้นมาในทันที ตอนนี้ถึงได้เริ่มเดาฐานะของพระชายาฉีออก สาวใช้ฮั้วเซียงผิงยิ่งตกใจจนขาทั้งสองข้างหยุดสั่นไม่ได้

 

 

พระชายาฉีกล่าวต่อไปว่า “แต่ว่า ช่วงนี้มีงานที่น่ายินดีเกิดขึ้นในจวนข้าจะยังไม่อยากเอาชีวิตของเจ้า”

 

 

ฮั้วเซียงหลิงเพิ่งจะเริ่มโล่งใจได้เล็กน้อย พระชายาฉีได้ตรัสสั่งข้างนอก “ชิงหลวน จูหลี พวกเจ้าไปส่งคุณหนูฮั้ว บอกกับนายท่านฮั้วต่อไปหากยังกล้าปล่อยคุณหนูฮั้วออกมาพูดจาไร้สติอีก ตระกูลฮั้วก็จะหายไปจากเมืองหลวง”

 

 

ในร้านเต็มไปด้วยเสียงกลั้นหายใจ

 

 

ฮั้วเซียงหลิงหน้าซีดจนไม่เหลือเลือดฝากแล้วจริงๆ ร่างกายก็เอนไปมา

 

 

ชิงหลวงและจูหลีรับคำสั่ง เดินเข้ามา ยื่นมือออกมาด้านหน้าฮั้วเซียงหลิงด้วยความเกรงใจ ผายมือเชิญ “คุณหนูฮั้ว เชิญเจ้าค่ะ”

 

 

ขาฮั้วเซียงหลิงไร้เรี่ยวแรง ร่างกายเอนไปมาอย่างรุนแรง แทบจะยืนไม่ได้ จะให้ก้าวขาได้อย่างไร ชิงหลวนและจูหลีมองดู ไม่กล่าวอะไร เดินหน้าจับตัวฮั้วเซียงหลิงแล้วเดินออกไปข้างนอก สาวใช้ฮั้วเซียงผิงไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา เดินตามหลังด้วยสีหน้าซีดเผือด

 

 

พระชายาฉีก็ไม่กล่าวอะไร ใช้สีหน้าเยือกเย็นกวาดสายตามองไปรอบๆ ผู้คนในร้านหลิงหลัง แล้วเดินออกไป มิ่งเชี่ยนโยวและเฝิงจิ้งเหวินเดินตามหลัง

 

 

เจ้าของร้านหลิงหลังเป็นคนฉลาด เข้าใจความหมายในสายตานั้นของพระชายาฉีทันที ตามออกไปนอกร้าน หลังจากก้มหัวทำความเคารพแล้วมองดูรถม้าของพระชายาฉีออกไปแล้ว กลับเข้าไปในร้านแล้วสั่งพนักงาน “เรื่องวันนี้ให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อไปห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีกแม้แต่คำเดียว ระวังหัวจะหลุดออกจากบ่า”

 

 

พนักงานทุกคนรับคำสั่งพร้อมกัน

 

 

ทั้งสามขึ้นรถม้า ความโกรธของพระชายาฉียังไม่หมดไป สีหน้าของเฝิงจิ้งเหวินก็ดูไม่ดีเช่นกัน แต่สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวกลับดูปกติ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “พระชายา ซ้อ พวกท่านจะไปโกรธคนแบบนี้ทำไมเพคะ”

 

 

พระชายาฉีไม่ได้กล่าวอะไร เฝิงจิ้งเหวินกล่าวถามออกมาประโยคหนึ่งว่า “คุณหนูฮั้วคนนี้ใช่คุณหนูตระกูลฮั้วที่ขายเครื่องประทินโฉมที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงใช่หรือไม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า

 

 

เฝิงจิ้งเหวินแปลกใจเล็กน้อย กล่าวถามว่า “ในเมืองหลวงตระกูลฮั้วถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ไม่เป็นสองรองใครในวงการค้า ทำไมถึงสอนบุตรสาวให้ออกมาไร้มารยาทเช่นนี้”

 

 

“เรื่องนี้พูดแล้วยาว เกี่ยวกับคนใช้คนหนึ่งที่ข้าช่วยไว้ เดี๋ยวข้าจะค่อยๆ เล่าเรื่องให้พระชายาและซ้อฟัง” พูดจบ ยิ้มและกล่าวกับพระชายาฉีว่า “พระชายา เราอย่าพึ่งกลับจวนแม่ทัพ ไปดูร้านผ้าไหมของข้าก่อน เลือกผ้าไหมชั้นดีบางส่วนให้เป็นสินสอดของน้องซูเอ๋อร์ ทั้งถูกแล้วยังดูดีอีกต่างหาก”

 

 

เดิมทีพระชายาฉีก็ตั้งใจไว้แบบนี้ แต่ถูกความโกรธจากฮั้วเซียงหลิงจนลืมไปเลย ฟังคำของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วถึงนึกขึ้นได้ จึงพยักหน้า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวบอกสถานที่กับคนรถผ่านผ้าม่านรถม้า คนรถหันรถม้ากลับ ตรงไปทางสาขาร้านผ้าไหมอวิ๋นเซียง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้นำเรื่องที่เหวินเปียวช่วยฮั้วเซียงหลิงไว้ ฮั้วเซียงหลิงรู้สึกประทับใจ เล่าเรื่องที่เขาไม่แต่งกับนางออกมา

 

 

หลังจากพระชายาฉีฟังแล้วรู้สึกเหลือเชื่อมาก สมองของคุณหนูฮั้วคนนี้ขึ้นสนิมแล้วหรือ อย่าพูดถึงเรื่องที่เหวินเปียวมีฐานะเป็นทาสขุนนาง แม้ว่าเขาจะเป็นประชาชนที่มีฐานะยากจนคนหนึ่ง เขาไม่ตกลง ยังตื้อจนจะเป็นจะตายแบบนี้อีก

 

 

ส่วนเฝิงจิ้งเหวินนั้นตกใจจนอ้าปากค้างไป ผ่านไปซักพักถึงกล่าวออกมาว่า “คุณหนูฮั้วคนนี้นั้น จริงๆ เลย” นางหาคำที่เหมาะสมออกมาบรรยายไม่ได้แล้วจริงๆ