มันเป็นอุบัติเหตุ เธอไม่ตั้งใจจะกระโจนใส่เขาแบบนั้น
และในฐานะสุภาพบุรุษ เขาควรจะเข้ามารับเธอไว้ไม่ใช่หรือ?
ก่อนที่จะมาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ เธอก็คิดอยากจะใกล้ชิดกับเขามาโดยตลอด เนื่องด้วยเหตุนี้เอง เธอจึงแอบเตรียมการเอาไว้
แต่คาดไม่ถึงว่าเมื่อเดินเข้าไปถึงในห้องรับรอง ด้วยความโง่เง่าของตัวเธอเองทำให้เขารู้สึกโมโห เธอจึงไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้แม้แต่นิดเดียว
และก็คาดไม่ถึงอีกเช่นกันว่าสวรรค์จะเมตตาเข้าข้างเธอสร้างโอกาสนี้ให้กับเธอ
นั่นหมายความว่าแม้แต่เบื้องบนก็ต้องการให้ทั้งสองอยู่เป็นคู่ครองกันใช่หรือไม่?
ดังนั้นการเตรียมการในตอนแรกของเธอ ก็สามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
เมื่อคิดได้ดังนั้น เรด้าก็รีบเก็บความตื่นเต้นบนใบหน้าของเธอไป แล้วเปลี่ยนกลับมาเป็นความตื่นตระหนก เพื่อป้องกันไม่ให้เขาจับได้ ไม่อย่างนั้นคงจะผิดแผนและล้มเหลว
“ประธานเปปเปอร์คะ ช่วยฉันด้วย!” เรด้ามองไปทางเปปเปอร์แล้วตะโกนขึ้น น้ำเสียงของเธอดูสั่นคลอนราวกับว่ากำลังหวาดกลัว
แต่เปปเปอร์ฟังไม่ออกถึงความหวาดกลัวใดทั้งสิ้น ในทางกลับกันรู้สึกว่าน้ำเสียงของเธอกระตุ้นแก้วหูเหลือเกิน
กระตุ้นให้เขารีบเข้ามารับเธอเอาไว้
แววตาของเปปเปอร์แฝงความรังเกียจและเบื่อหน่ายก่อนจะก้าวขาเดินตรงออกไปทันที
เรด้าเข้าใจความคิดของเขา เธอจึงเบิกตากว้างแสดงสีหน้าออกมาอย่างเหลือเชื่อ
เธอไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าเขาจะเยือกเย็นได้ถึงเพียงนี้ เห็นคนตกทุกข์ได้ยากก็ไม่คิดช่วย เขาไม่สงสารสุภาพสตรีบ้างหรือไง!
เขา…… เขาเป็นผู้ชายหรือเปล่า?
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นเรด้าก็ไม่คิดจะปล่อยเปปเปอร์ไป
เธอจำเป็นจะต้องจับเขาเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเธอคงจะล้มลงไปที่พื้น
สิ่งที่รอรับเธอก็คือพื้นอันเยือกเย็น
หากว่าเธอล้มลงไปแบบนี้ ซิลิโคนในจมูกของเธอไม่ทะลุออกมาก็คงจะแปลก อีกทั้งซิลิโคนที่หน้าอกของเธอก็อาจแตกได้
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ใบหน้าของเรด้าก็ซีดเผือดทันใด เธอไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงและความเร็วมาจากที่ไหนวินาทีที่เปปเปอร์กำลังจะหลีกเธอ เธอก็รีบเข้าไปคว้าแขนของเขาไว้และเอนเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“แชะ!”
ขณะเดียวกัน บริเวณหลังพุ่มไม้ในสวนดอกไม้ที่ไม่ไกลออกไปนัก มีปาปารัสซี่คนหนึ่งกดปุ่มชัตเตอร์ถ่ายภาพเมื่อครูเอาไว้ จากนั้น ชายหนุ่มก็มองดูภาพถ่ายในโทรศัพท์มือถือแล้วยิ้มออกมาจนเห็นฟันสีเหลือง ดวงตาหรี่เล็กเสียจนเป็นเส้นเดียวกัน ก่อนจะเก็บ กล้องถ่ายรูปลงไปในกระเป๋าแล้วย่องเดินจากไป
ดูเหมือนว่าโทรศัพท์มือถือในมือของเธอจะสั่น เรด้า เหลือบมองไปทางพุ่มไม้ เธอปล่อยมือออกก่อนที่เปปเปอร์จะโมโหแล้วสะบัดมือเธอทิ้ง จากนั้นเธอก็ถอยออกไปสองเก้า ยืนนิ่งทำท่าทางเหมือนตกอกตกใจดวงตาแดงเรื่อ รีบโค้งขอโทษเปปเปอร์ไม่หยุด “ขอโทษค่ะประธานเปปเปอร์ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจ……”
เปปเปอร์ไม่ได้พูดอะไรออกมาเขาเพียงแค่หรี่ตาลงแล้วจองที่เธอด้วยความเย็นชา
เรด้า รู้สึกได้ถึงแววตาอันเย็นชาที่อยู่เหนือศีรษะเธอ ตอนนี้แม้แต่หนังศีรษะของเธอก็เย็นวูบวาบ หัวใจหดเกร็ง
ประธานเปปเปอร์……คงจะไม่ลงมือทำร้ายใครหรอกใช่ไหม?
เมื่อคิดได้ดังนั้น เรด้าก็รีบยืดตัวตรงแล้วถอยกลับไปสองเก้าโดยไม่รู้ตัว เธอกล่าวกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างระมัดระวังว่า “ประธานเปปเปอร์คะ……”
“คุณกลับไปบอกกับชนศักดิ์นะว่าไม่จำเป็นต้องร่วมมือกันอีกต่อไป ให้เขาเดินทางมาบริษัทตระกูลนวบดินทร์ในวันพรุ่งนี้เพื่อเซ็นหนังสือผิดสัญญา” เปปเปอร์มองไปทางแขนเสื้อของตนที่มีรอยยับยู่ยี่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก
ตอนนี้ถ้าไม่ใช่เพราะแขนข้างซ้ายของเขายังคงใส่เฝือกอยู่ คาดว่าเขาคงจะโยนเสื้อทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
ช่างน่าขยะแขยงเหลือเกิน
อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ เมื่อสักครู่เขาตั้งใจจะหลบเธอขนาดนั้น แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ยังคงเข้ามาคว้าแขนเขาเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าเธอจงใจ
เขาไม่สามารถทำอะไรกับผู้หญิงตัวเล็กๆ ได้ แต่สำหรับชนศักดิ์เขาไม่จำเป็นจะต้องไปคิดมาก
เมื่อได้ยินเปปเปอร์บอกว่าสิ้นสุดความร่วมมือ เรด้าก็ทำสีหน้าซีดเผือด
ตอนนี้เธอรู้ว่าต่อให้เธออ้อนวอนแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์
เพราะเขาได้พูดออกมาถึงการลงนามผิดสัญญาแล้ว นั่นก็หมายความว่าทุกสิ่งอย่างไม่มีโอกาสที่จะดีขึ้นได้เลย
เธอทำเรื่องผิดพลาดขึ้นอีกแล้ว
บางทีเมื่อครู่หากเธอเข้าไปอ้อนวอนดีๆ เขาอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้
แต่เมื่อครู่ที่เธอเข้าไปดึงเขาเอาไว้ ทำให้ความน่าจะเป็นนั้นถูกยุติลง และตัดขาดความร่วมมือระหว่างตระกูลจักรีศานส์ และตระกูลนวบดินทร์ ถ้าหากว่าพ่อของเธอรู้เข้า คงจะเอาเธอตายแน่
เมื่อนึกถึงพ่อของเธอที่โหดร้ายไม่ต่างกับมาเฟีย เรด้าก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
แต่ในไม่ช้าดูเหมือนเธอคิดอะไรขึ้นมาได้ แววตาเธอเป็นประกายวาบก่อนจะสงบลง
เธอมองไปทางเปปเปอร์แล้วตอบอย่างหวาดกลัวว่า “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
เปปเปอร์ไม่ได้สนใจเธออีก เขาเพียงเหลือบไปมองดูแขนเสื้อที่ยับย่นแล้วขมวดคิ้วเข้าหากันเดินไปทางรถ Maybach ที่จอดอยู่ข้างทาง
ตอนที่เรด้าเดินทางมานั้น เธอเดินทางมาพร้อมกับเขา แต่ตอนนี้เธอไม่กล้าจะกลับไปพร้อมเขา
เกรงว่าต่อให้เธอเดินตรงเข้าไปก็คงจะถูกเขาขับไล่ลงจากรถอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้เองเรด้ารู้ตัวดี จึงยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับเขยื้อนและมองดูเขาขับรถจากไป
หลังจากที่ Maybach คันนั้นขับออกไปแล้ว เธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดโทรออก
อีกฝ่ายหนึ่งของโทรศัพท์ เสียงผู้ชายวัยกลางคนอันหยาบกร้านดังขึ้น “ด้างานเลี้ยงกับประธานเปปเปอร์เป็นอย่างไรบ้าง?”
เรด้าพยายามต่อต้านความหวาดกลัวในใจแล้วกัดฟันตอบกลับว่า “พ่อคะ หนู ทำให้ความร่วมมือของบริษัทเรากับบริษัทตระกูลนวบดินทร์ล้มเหลว ประธานเปปเปอร์บอกว่าวันพรุ่งนี้ให้พ่อเดินทางไปที่บริษัทนวบดินทร์เพื่อลงนามการผิดสัญญา……”
“อะไรนะ?!” เสียงจากปลายสายดังขึ้นทันใด ทั้งแหลมคมและดูดุร้าย “เรด้า เจ้าตัวซวย แกกล้าทำให้ความร่วมมือที่กว่าฉันจะได้รับมาจบเห่ แกเชื่อไหมว่าฉันจะถลกหนังแกออกเดี๋ยวนี้!”
สีหน้าของเรด้าซีดเผือด ในใจของเธอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา แต่เพื่อจุดประสงค์ของเธอในต่อไปนี้ เธอจึงได้พยายามสูดลมหายใจเข้า อดทนต่อความหวาดกลัวพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า “พ่อคะ หนูรู้ว่าหนูผิดไปแล้วแต่หนูก็มีวิธีชดเชย”
“แกมีวิธีอะไร?” เห็นได้ชัดว่าปลายสายดูไม่เชื่อเธอเท่าไรนัก
เรด้ากำมือแน่นแล้วพูดว่า “หนูให้คนถ่ายรูปของหนูและประธานเปปเปอร์ตอนที่ใกล้ชิดกันเอาไว้ พวกเราสามารถนำภาพนี้เผยแพร่ไปทางอินเทอร์เน็ต และใช้โอกาสนี้ในการโฆษณาออกไป บางทีหนูกับประธานเปปเปอร์อาจจะได้แต่งงานกันจริงๆ ก็ได้”
ชนศักดิ์ได้ยินดังนั้นดวงตาก็เป็นประกาย ความหงุดหงิดซึ่งลุกเป็นไฟเมื่อครู่ของเขาหายไปทันที เปลี่ยนกลับมาเป็นพ่อที่อ่อนโยนอีกครั้ง “ด้า วิธีนี้ยอดเยี่ยมทีเดียว ด้าทำได้ดีมากนะ”
เมื่อเรด้ารู้ว่าเขาไม่เอาผิดเรื่องที่ตนทำให้ความร่วมมือต้องจบสิ้นแล้ว เธอจึงได้วางใจลง หัวใจที่ตุ้มๆ ต่อมๆ เมื่อครู่ในที่สุดก็สงบลง ตอนนี้เธอกลับมาสู่สภาวะเดิมแล้วพูดว่า “ขอบคุณค่ะพ่อ”
“เอาล่ะตอนนี้อยู่ที่ไหน รีบกลับมาเจรจากันถึงวิธีว่าจะทำยังไงกันต่อ”
“ค่ะ”
เรด้าวางโทรศัพท์มือถือของเธอลงแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะก้าวขาลงบันไดเดินไปที่ถนน
เช้าวันที่สอง เมื่อเดินทางมาถึงบริษัท
เมื่อเดินออกมาจากลิฟต์ ก็พบว่าที่ห้องของเลขามีหลายคนกำลังยืนอยู่ที่โต๊ะ แต่ละคนยืนถือโทรศัพท์มือถือเอาไว้เหมือนกำลังสนทนาอะไรที่ค่อนข้างครึกครื้น
มายมิ้นท์เหมือนได้ยินคำบางอย่างซึ่งค่อนข้างคลุมเครือว่าประธานเปปเปอร์และงานหมั้นอะไรทำนองนี้
คำพูดเหล่านี้ทำให้มายมิ้นท์รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันใด เธอรีบเร่งฝีเท้าตรงเข้าไปแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “นี่เวลาทำงาน พวกคุณมายืนอยู่แถวนี้ทำไม ทำไมถึงไม่กลับไปที่โต๊ะของตัวเอง?”
คนเหล่านั้นล้วนเป็นเลขาของเธอ หรือไม่ก็เป็นผู้ช่วยเลขา
ห้องทำงานของพวกเขาอยู่ข้างห้องทำงานของเธอ เป็นห้องทำงานขนาดใหญ่ และซินดี้คือหัวหน้าของทุกคน
เมื่อพวกเขาทั้งหลายได้ยินเสียงของมายมิ้นท์ก็หน้าเปลี่ยนสี รีบเก็บโทรศัพท์มือถือลง จากนั้นเข้าแถวเรียงกันทักทายมายมิ้นท์ด้วยท่าทางประหม่า “ประธานมายมิ้นท์คะ พวกเราจะไปทำงานเดี๋ยวนี้”
เมื่อพูดจบทุกคนก็แยกย้ายกัน บางคนรีบวิ่งเหยาะๆ กลับไปห้องทำงานของตนเอง
มายมิ้นท์พบว่าทุกคนจากไปแล้วจึงได้เอื้อมมือไปดึงผู้ช่วยคนหนึ่งเอาไว้แล้วถามว่า “เมื่อสักครู่พวกเธอคุยเรื่องอะไรกันอยู่?”