บทที่ 494 จุดประสงค์ของดารามาย

รักหวานอมเปรี้ยว

“ผมสืบได้ความมาแล้วครับ คุณผู้หญิงที่ชื่อดารามายเดินทางมาถึงเมืองเดอะซีเมื่อวันก่อน จากนั้นก็เข้าพักที่โรงแรมมารีน่า หล่อนอยู่ในโรงแรมถึงหนึ่งวันเต็มโดยไม่ได้ออกไปไหน จนกระทั่งเมื่อวานตอนเช้าจึงได้เดินทางออกจากโรงแรมมุ่งหน้าไปที่เทนเดอร์กรุ๊ป จากนั้นเดินเล่นไปมาบริเวณเขตนิวเทาน์ริเวอร์ก่อนจะกลับไปที่โรงแรมอีกครั้งหนึ่ง แล้วไม่ได้ออกมาอีก” นักสืบรายงานผลการสืบของเขาออกมาอย่างละเอียด

มายมิ้นท์ได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน “อยู่ในโรงแรมไม่ได้ออกมาอีกอย่างนั้นเหรอ?”

“ใช่ครับ” นักสืบพยักหน้าตอบ

มายมิ้นท์ก้มหน้าลงเล็กน้อยดูเหมือนว่าเธอกำลังครุ่นคิด

ไม่สิ นี่มันไม่เหมือนนิสัยของดารามายเลย

นิสัยของดารามายนั้นจะพูดให้น่าฟังก็คือค่อนข้างกระตือรือร้นมีชีวิตชีวา แต่หากพูดอย่างไม่น่าฟังก็คือ ชอบหาเรื่องและสร้างปัญหาไม่อาจอยู่บ้านเฉยๆ ได้

ดังนั้นจากที่มายมิ้นท์รู้จักดารามาย เธอไม่น่าจะอดทนอยู่ในโรงแรมได้ตลอดอีกทั้งไม่ออกไปไหนเป็นระยะเวลานานอย่างว่าง่ายเช่นนี้

นอกจากนั้นแล้วยังมีสถานที่ ที่เมื่อวานนี้ดารามายเดินทางไปมีเพียงแค่เทนเดอร์กรุ๊ปและคฤหาสน์ตระกูลกิตติภัคโสภณ

การที่ดารามายเดินทางกลับมาเมืองเดอะซีและเดินทางไปเพียงแค่สองแห่งนี้มันเป็นไปไม่ได้เลย

เมื่อคิดได้ดังนั้นมายมิ้นท์ก็หรี่ตาลงแล้วเอ่ยถามว่า “คุณสามารถตรวจสอบได้หรือไม่ว่าเธอทำอะไรตอนอยู่ในโรงแรม?”

“เรื่องนี้คาดว่าคงจะไม่ได้ครับ การจัดการความเป็นส่วนตัวของโรงแรมมารีน่าไม่เลวเลย หากว่าเธอไม่ออกมาจากห้องผมก็คงไม่สามารถรู้ได้ว่าเธอทำอะไรอยู่” นักสืบตอบกลับแล้วส่ายหน้า

มายมิ้นท์ไม่ได้รู้สึกผิดหวังกับคำตอบนี้เพราะเธอก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว

เธอเพียงแค่เอ่ยถามไปเผื่อจะโชคดีเท่านั้น หากว่าเขาทำได้ล่ะ?

แต่ถ้าทำไม่ได้ เธอก็ไม่ได้สูญเสียอะไร

“ถึงจะไม่รู้ว่าเธอทำอะไรอยู่ แต่เอกสารการเข้าพักของเธอคุณน่าจะสืบได้ใช่ไหม?” มายมิ้นท์ถาม นักสืบพยักหน้าตอบว่า “ไม่มีปัญหาครับ”

“งั้นก็ดีค่ะ ฉันอยากจะรู้ว่าเธอเข้าพักคนเดียวหรือสองคน”

“คนเดียวครับ ผมเคยตรวจประวัติการเช็คอินของเธอแล้ว เธอเข้าพักคนเดียว สองวันมานี้นอกจากพนักงานในโรงแรมแล้วไม่มีใครเข้าออกห้องเธออีกเลย” นักสืบตอบ

ความประหลาดใจแวบเข้ามาในแววตาของเธอ

เป็นไปได้ยังไง ลำดวนไม่ได้กลับมาด้วยกันหรือ?

ในขณะที่มายมิ้นท์กำลังรู้สึกสับสนอยู่นั้น นักสืบก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “อีกอย่างคุณมายมิ้นท์ครับ ผมพบว่าเช้าวันนี้ คุณดารามายวานให้พนักงานในโรงแรมเดินทางไปสนามบินเพื่อซื้อตั๋วให้กับเธอ”

“ซื้อตั๋ว?” มายมิ้นท์เอนกายไปข้างหน้า “เธอกำลังจะเดินทางออกไปจากเมืองเดอร์ซี?”

“ใช่ครับ” นักสืบตอบรับ “ตอนที่พนักงานโรงแรมคนนั้นกลับมาผมได้เข้าไปสืบดูแล้วพบว่า ดารามายสั่งให้เขาซื้อตั๋วเครื่องบินไปประเทศบิวตี้วันนี้สี่โมงเย็น”

“ประเทศบิวตี้……” ริมฝีปากแดงเรื่อของมายมิ้นท์เม้มเข้าหากันแล้วเอ่ยชื่อประเทศนั้นออกมา ต่อจากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ต้องรบกวนคุณด้วยนะคะ อีกประเดี๋ยวฉันจะชำระค่าจ้างวานที่เหลือให้กับคุณ”

“ครับคุณมายมิ้นท์”

เมื่อจบการสนทนา มายมิ้นท์ก็วางโทรศัพท์ลงแล้วโยนมันไว้ที่โต๊ะ ก่อนจะเอนกายไปพิงเก้าอี้ด้านหลัง เปลือกตาของเธอปิดลงเล็กน้อยดูเหมือนกำลังคิดเรื่องใดอยู่

เธอกำลังคิดว่าดารามายทำเช่นนี้เพื่ออะไร?

จู่ๆ ก็กลับมาที่เมืองเดอะซี แล้วอยู่ในโรงแรมถึงสามวัน ระหว่างนั้นเดินทางออกไปจากห้องแค่ครั้งเดียว แต่ก็เพียงอยู่บริเวณรอบๆ เทนเดอร์กรุ๊ป จากนั้นก็ไปที่คฤหาสน์ตระกูลกิตติภัคโสภณ

ดารามายไม่มีกุญแจเข้าคฤหาสน์ ดังนั้นเธอคงไม่ได้เข้าไปข้างใน อย่างมากก็ทำได้เพียงเดินวนดูอยู่รอบๆ จากนั้นก็จากไป เธอกลับไปที่โรงแรมและเตรียมตัวจะเดินทางออกจากเมืองเดอะซีไปยังต่างประเทศ

ฟังดูแล้วเหมือนว่าดารามายคงจะเพียงแค่คิดถึงบ้านและคิดถึงบ้านเกิดจึงได้เดินทางกลับมา แต่เธอรู้ดีว่าดารามายไม่ใช่คนแบบนั้น

เพราะฉะนั้นการที่ดารามายเดินทางกลับมาจะต้องมีวัตถุประสงค์อื่น

แต่ว่าวัตถุประสงค์นี้ดารามายไม่ได้แสดงออก เธอจึงเดาไม่ได้เลย

ไม่ว่าด้วยวัตถุประสงค์อะไร ทางที่ดีไม่ควรจะปล่อยวางเรื่องนี้ลง

เมื่อคิดได้ดังนั้นมายมิ้นท์มีหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้งแล้วส่งข้อความไปหาลาเต้ว่า “เอาล่ะค่ะ ฉันเข้าใจแล้วคุณไม่ต้องส่งข้อความเกี่ยวกับเปปเปอร์มาให้ฉันแล้วค่ะ ฉันไม่อยากรู้เรื่องของเขา เท่านี้นะคะฉันขอทำธุระต่อก่อน”

ภายในห้องรับรอง ลาเต้เห็นข้อความที่มายมิ้นท์ตอบกลับมาเช่นนั้นก็เผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยแล้วตอบกลับไปว่า “ครับๆ ผมไม่ส่งไปให้คุณแล้ว คุณจัดการธุระต่อเถอะ”

เมื่อเขาพิมพ์เสร็จก็กดปุ่มส่งออก

หลังจากที่ส่งข้อความออกไปแล้วเขาก็เก็บโทรศัพท์แล้วเงยหน้ามองดูทุกคนที่สนทนากันอย่างสนุกสนานภายในห้อง

เมื่อเห็นท่าทางของเปปเปอร์ที่เจรจากับบรรดาแขกทั้งหลายอย่างมีความสุข เขาก็ได้แต่ทำหน้าบึ้ง

แม้เขาจะไม่ชอบคนคนนี้เอาเสียเลย แต่เขาก็จำเป็นต้องยอมรับว่าเปปเปอร์เป็นคนที่ยอดเยี่ยม เป็นผู้ที่พวกเขาไกลเกินจะเอื้อม

คนในแวดวงรุ่นเดียวกัน ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องภูมิหลัง เพียงแค่ความสามารถของเขาเปปเปอร์ก็อยู่บนยอดพีระมิดแล้ว

พูดได้ว่าบุคคลเหล่านี้ตั้งแต่เล็กจนโต ล้วนถูกเลี้ยงมาเพราะถูกเปปเปอร์กระตุ้น

เนื่องจากเปปเปอร์เก่งกาจเหลือเกิน พวกเขามักจะถูกผู้ใหญ่ในบ้านยกไปตำหนิและเปรียบเทียบกับเปปเปอร์เสมอ ทุกครั้งที่พวกเขาถูกนำไปเปรียบเทียบกับเปปเปอร์ก็จะดูพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง ไร้ซึ่งความสดชื่นชีวิตชีวา

และด้วยเหตุนี้เองพวกเขาเหล่านั้นนอกจากทามทอยและการันต์แล้ว ใครก็ไม่อยากเจอเปปเปอร์

แม้จะไม่อยากเจอแต่ก็ต้องยอมรับว่าเปปเปอร์ยอดเยี่ยมจริงๆ รวมถึงเขาด้วย

ดังนั้น เมื่อหกปีก่อนตอนที่รู้ว่ามายมิ้นท์จะแต่งงานกับเปปเปอร์ แม้ว่าเขาจะเจ็บปวดใจแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะยอมรับไม่ได้ เพราะเขารักเธอและหวังว่าเธอจะมีความสุข

ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงรู้สึกว่าเปปเปอร์ที่เก่งกาจกว่าเขา เหมาะสมกว่าเธอมากกว่าเขา

แล้วเป็นอย่างไรล่ะ? เปปเปอร์! ไอ้บ้านั่นไม่เพียงแต่จะทำลายความหวังของเขาลงในเรื่องของความรัก ทำไมถึงเป็นเหมือนคนตาบอดแยกแยะความดีเลวไม่ออก ทำร้ายที่รักของเขามาถึงหกปี!

ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เขาอดไม่ได้ที่จะจองไปทางเปปเปอร์ด้วยความโกรธ

เปปเปอร์ดูเหมือนจะสัมผัสได้เขาจึงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วหันไปทางลาเต้

ลาเต้เหล่มองเขา “มองอะไร!”

เปปเปอร์ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นกว่าเดิม ก่อนจะละสายตาไปอย่างเฉยเมย แล้วมองไปยังชาวต่างชาติที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพูดว่า “เชิญพูดต่อ”

เมื่อฝ่ายตรงข้ามได้รับสัญญาณการอนุญาตจากเขาจึงพูดต่อไปจากเมื่อครู่

ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดงานเลี้ยงก็เสร็จสิ้น เปปเปอร์และชาวต่างชาติเหล่านั้นเจรจาถึงความร่วมมือในโครงการและการลงทุนโดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างพออกพอใจ แล้วเปิดไวน์เพื่อดื่มฉลอง

หลังจากรับประทานและดื่มด่ำกันอย่างอิ่มหนำสำราญก็เป็นเวลากลางคืนพอดี

แขกชาวต่างชาติเหล่านั้น อาศัยอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้ ด้วยเหตุนี้เองผู้ที่ต้องเดินทางจากไปจึงมีเพียงเปปเปอร์และลาเต้ทั้งสี่คน

เปปเปอร์ไม่สนใจเรด้าเขาก้าวขาตรงออกจากโรงแรมไปทันที

ลาเต้และเลขาซินดี้ที่เดินตามหลังมาเห็นภาพนี้เขาก็ได้แต่แลบลิ้นแล้วพูดว่า “เปปเปอร์เยือกเย็นกับคู่ควงของเขาจริงๆ ในเมื่อไม่ต้องการจะให้เรด้ามาเป็นคู่ควงออกงาน แล้วทำไมถึงต้องชวนเธอมา?”

“ไม่รู้สิคะ” เลขาซินดี้ส่ายหน้าแล้วตอบ

เรด้าได้ยินประโยคของทั้งสองคนก็กัดริมฝีปากด้วยความโมโห เธอถือกระเป๋าแล้วเดินตามเปปเปอร์ไปด้วยรองเท้าส้นแหลม “ประธานเปปเปอร์คะ รอดิฉันด้วย”

แต่ดูเหมือนเปปเปอร์จะไม่ได้ยิน เขาเดินหน้าไปโดยไม่หยุดฝีเท้า

กระทั่งเดินมาถึงประตูหมุนของโรงแรมจึงได้หยุดฝีเท้าลงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาตั้งใจจะโทรหาผู้ช่วยเหมันตร์ให้ขับรถมารับ

เรด้าวิ่งตามมา เมื่อเห็นเขาหยุดฝีเท้าลงไม่ได้ก้าวต่อก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะหยุดยืนห่างจากเขาประมาณสองเมตรแล้วจัดแจงผมเผ้าอันยุ่งเหยิงของตนให้เรียบร้อย เดินเข้าไปสนทนากับเขาด้วยรูปลักษณ์ที่ดีที่สุดของเธอในตอนนั้น เพื่อต้องการให้เขาเปลี่ยนใจไม่ยกเลิกสัญญาความร่วมมือ

ทันใดนั้นเองประตูหมุนบานใหญ่ก็หมุนออก เนื่องจากเรด้ายืนใกล้กับเปปเปอร์มาก ประตูนั้นจึงได้กระแทกเข้าที่หลังของเธอ

เรด้าถูกกระแทกเสียจนพุ่งไปข้างหน้า ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

แต่ต่อจากนั้นเมื่อพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือเปปเปอร์ ความตื่นตระหนกบนใบหน้าของเธอก็จางหายไปแทนที่ด้วยความตื่นเต้นและความหวัง