ตอนที่ 242 กลืนวิญญาณ / ตอนที่ 243 แอบได้ยินความลับ

จอมใจจ้าวพิษ

ตอนที่ 242 กลืนวิญญาณ 

 

 

 

 

 

“ถ้าจะใช้วิธีนี้ต้องให้ท่านอ๋องยินยอม แต่ท่านอ๋องคงไม่ยอมแน่ แน่ล่ะข้าเองก็ไม่ยอม” 

 

 

เถิงอวิ๋นโบกมือพลางพูดว่า 

 

 

“พวกเจ้าคิดง่ายเกินไป ถังเวยนั้นช่างเถอะ อย่างไรนางยังมีสองวิญญาณ น่าจะมีชีวิตต่อไปได้ ในสภาพที่เซ่อซ่า แต่วิญญาณซูซินเหลียนเวลานี้กำลังถูกเบียดขับ ซูซินเหิมเกริมมาก อย่างไรเสียก็ต้องฆ่านางแน่ ถ้าตอนนี้เอาวิญญาณซูซินเหลียนหนึ่งหรือสองดวงวางไว้ในร่างถังเวย บางทีนางยังจะอยู่ต่อไปได้ หรือถือว่ามีชีวิตอยู่ได้” 

 

 

ถังเฉียนคิดไม่ถึงว่าสภาพของซูซินเหลียนตกอยู่ในอันตรายขนาดนี้  นางเคยได้ยินเถิงเฟิงบอกว่าคนเรามีสามวิญญาณ หนึ่งในนั้นคือวิญญาณฟ้า ทำหน้าที่ควบคุมสติปัญญา ตอนเป็นเด็กได้ยินคนพูดเสมอว่าตกใจกลัวจนขวัญกระเจิง ก็คือวิญญาณฟ้าตกใจจนลอยออกไป ชาวเผ่าพีส่ามีวิธีเรียกวิญญาณ วางวิญญาณฟ้าคืนสู่ตำแหน่งเดิมได้ 

 

 

แต่วิญญาณถังเวยถูกคนล่ามไว้ ไม่สามารถเรียกคืนมา ดังนั้นถังเวยจึงมีอาการป้ำๆ เป๋อๆ ถ้านานเข้าร่างกายจะอ่อนแอลง สภาพจิตใจย่ำแย่ สุดท้ายจะตายเพราะโรคต่างๆ ถังเฉียนยิ่งรู้ผลร้ายที่จะเกิดขึ้นก็ยิ่งหวาดวิตกเพิ่มขึ้น 

 

 

ลำบากมากกว่าจะเจอน้องสาว สูญเสียแล้วได้คืนมา ทำให้ยิ่งกลัวว่าจะสูญเสียอีก 

 

 

“ถ้าเป็นอย่างนี้ เราก็ลองดูได้ แต่มีโอกาสสำเร็จมากน้อยแค่ไหน” 

 

 

ถังเฉียนเชื่อในความรู้ด้านวิชาชีพของเถิงอวิ๋นมาก นางได้ยินมาว่าศาสตร์ลับชนิดนี้เรียกว่าการกลืนวิญญาณ เป็นชื่อที่ฟังแล้วน่าสยดสยอง แม้ว่าถังเฉียนจะตกลงแล้ว แต่นางต้องไปถามความเห็นของถังเวย เพราะนางเป็นผู้รับ แม้ว่าเถิงอวิ๋นจะยืนยันหนักแน่นว่าต่อให้ล้มเหลวถังเวยก็จะไม่เสียหายแต่อย่างไร แต่นางก็ต้องเคารพความเห็นถังเวย 

 

 

ที่เถิงอวิ๋นเลือกเขตหวงห้ามเพราะในการใช้วิชากลืนวิญญาณต้องการของพิเศษอย่างหนึ่ง นั่นคือเมล็ดของบุปผากินคน ถังเฉียนฟังอยู่นานจึงรู้ว่าหลังจากบุปผากินคนตายแล้วจะทิ้งของที่เป็นเหมือนแก้วผลึกสีม่วงเม็ดหนึ่ง 

 

 

นางคลำเมล็ดบุปผากินคนในอกเสื้อตัวเองแต่ไม่ได้บอกเขาทันทีว่านางมีสิ่งนี้แล้ว เพียงแต่รับปากว่าจะไปหามาให้ 

 

 

ถังเฉียนเดินลึกเข้าไปในเขตหวงห้ามเพื่อไม่ให้เถิงอวิ๋นสงสัยนาง แสงจันทร์สลัว แม้จะเข้าสู่สารทฤดูแล้ว แต่อาจเพราะปีนี้ฝนชุก บนท้องฟ้ามีเมฆหนาปกคลุม ดวงจันทร์ซ่อนอยู่หลังเมฆสลัว รอบๆ มืดมิดลงมากเป็นพิเศษ 

 

 

เถิงอวิ๋นบอกว่าเขาจะกลับไปตระเตรียม ให้ถังเฉียนไปหาเมล็ดบุปผากินคนแล้วค่อยมาพบเขา ถังเฉียนไม่ได้นึกสงสัย นางถือมีดสั้นแล้วเดินช้าๆ ตามเครือเถาที่สั่นไหวเล็กน้อยลึกเข้าไปในป่า 

 

 

ถังเฉียนมาถึงบริเวณนี้เมื่อตอนกลางวันแล้ว นางจำได้ว่าได้ยินเสียงชายสองคนพูดคุยกันที่นี่ ครั้งนี้นางเดินเข้ามาตามลำพัง มาถึงที่นี่อย่างไม่รู้ตัว 

 

 

เหนือขึ้นไปข้างบนเป็นชิงช้าขนาดมหึมา ได้ยินว่าถ้าจะแกว่งชิงช้าต้องให้อินทรีเงินสองตัวของเผ่าอินทรีเงินมาช่วยจึงจะโยกได้ นางมองดูชิงช้าที่ใหญ่โต จู่ๆ ก็นึกอยากขึ้นไปนั่ง วันหน้านางคงไม่มาที่นี่อีกแล้ว แต่ที่นี่นางก็ยังมาแล้วมาอีก บางทีอาจเพราะยังไม่บรรลุความปรารถนาบางอย่างในใจ 

 

 

ถังเฉียนมองซ้ายมองขวา จู่ๆ ก็นึกอยากนั่งชิงช้าจนอดใจไม่อยู่ นางไต่กำแพงขึ้นไป คว้ากิ่งไม้ไว้ ไม่คิดจะไต่ขึ้นไปจากด้านข้าง แต่ปีนขึ้นตามกำแพงด้านล่างของชิงช้าโดยตรง 

 

 

ยังดีที่ระยะนี้นางฝึกวิชากับฉู่จิ่งเหยา ไม่เช่นนั้นคงไม่ง่ายที่จะปีนขึ้นที่สูงขนาดนี้ได้ ถังเฉียนใช้ทั้งมือและเท้า ไม่นานก็เข้าใกล้ชิงช้าแล้ว นางยื่นมือออกไป คว้าชิงช้าไว้ได้ แล้วดีดตัวกระโดดขึ้นไป บริเวณนี้ใบไม้หนาทึบ สภาพต่างจากเมื่อก่อน หากอยากจะแกว่งชิงช้าก็คงยาก 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 243 แอบได้ยินความลับ 

 

 

 

 

 

ถังเฉียนหมอบอยู่บนชิงช้า หาจุดที่สบายแล้วนั่งลง คิดไม่ถึงว่าจะมีแสงไฟที่ด้านล่าง จากนั้นก็มีเสียงคนคุยกัน 

 

 

“ข้าทำตามที่เจ้าสั่งเสร็จแล้ว แล้วของที่ข้าต้องการเล่า” 

 

 

ถังเฉียนรู้สึกว่าเสียงนี้คุ้นหู นางหมอบอยู่บนชิงช้า ไม่กล้าขยับเขยื้อน เพียงแต่คืบคลานเข้าไปใกล้แสงริบหรี่ที่ด้านล่างของกำแพงหิน ที่นั้นมีปากปล่องขนาดเท่าใบหน้าที่เล็กของนาง ถ้าไม่ใช่เพราะในนั้นจุดไฟ นางคงมองไม่ออกว่าข้างล่างมีปากปล่อง 

 

 

“วันนี้เด็กสาวคนนั้นแอบฟังเราพูด ถ้านางเผยความลับออกไปแม้แต่น้อย เราสองคนตายแน่ ปกติข้าเป็นคนรอบคอบ อาหรูน่าคนนี้ต้องตายเท่านั้นข้าจึงจะวางใจ” 

 

 

ถังเฉียนได้ยินชื่อนี้ถึงกับสะดุ้งเฮือก แม้ตัวนางจะไม่ยอมรับชื่อนี้ แต่รู้ดีว่าคนที่พวกเขาต้องการฆ่าคือตนเอง พอได้ยินเช่นนี้ทำให้นางหายใจถี่ขึ้น นางหมอบอยู่บนกระดานชิงช้า กำสองมือแน่น ตั้งแต่เริ่มนางก็อยู่นิ่งๆ เพียงแต่กำหมัดแน่น แล้วเงี่ยหูฟังว่าพวกเขาเตรียมจะจัดการตนอย่างไร 

 

 

“วันนี้ข้าเห็นนางแล้ว ข้าคิดว่านางคงจะไม่ได้ยินอะไรหรอก ถ้านางรู้ว่าเราจะลอบฆ่าจินซิวอ๋อง นางคงไปหาเขาแต่เช้าแล้ว แต่กลับยังไว้ใจข้าขนาดนี้ วันนี้ข้ายังลองหยั่งถามนางดู ไม่มีปัญหาหรอก” 

 

 

พอถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็รู้ทันทีว่าคนผู้นี้เป็นใคร เสียงที่ใสราวกับน้ำพุ เป็นเขาคนเดียวเท่านั้น เถิงอวิ๋น แต่พวกเขาต้องการสังหารฉู่จิ่งเหยา เพราะอะไร เหตุใดต้องฆ่าเขาด้วย 

 

 

“ไม่ได้ ก็แค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ต้องฆ่านาง นางไม่ใช่เมียเจ้า เหตุใดต้องลังเล เราคิดทำการใหญ่ เพราะผู้หญิงคนเดียวอย่าทำให้ที่ลงแรงมาสูญเปล่า” 

 

 

ดูเหมือนเถิงอวิ๋นมีท่าทีนอบน้อมต่อชายคนนี้มาก ได้ยินเสียงพูดอย่างอ่อนโยน ไม่เหมือนเสียงที่วางอำนาจเมื่อพูดกับนาง 

 

 

“อาจารย์ เด็กสาวคนนี้ไม่เหมือนคนอื่น นางมีโลหิตแห่งราชาโอสถ บางทีสักวันนางอาจเป็นผู้ช่วยของเรา ข้าสืบดูชาติกำเนิดของนางแล้ว คิดว่านางน่าจะเคียดแค้นเซวียนอ๋องยิ่งกว่าเรา เพราะเซวียนอ๋องประหารครอบครัวนางจนหมด” 

 

 

“จริงหรือ” 

 

 

ถังเฉียนได้ฟังเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกสับสน เซวียนอ๋อง คือฮ่องเต้ของพวกเขาไม่ใช่หรือ แต่ถึงทั้งครอบครัวนางจะถูกเนรเทศ ต้องพลักพรากจากกัน แต่สักวันทุกคนจะได้กลับมาอยู่ร่วมกัน บางทีถึงตอนนั้นทุกอย่างคงไม่เหมือนเดิมแล้ว คนเราขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีความหวัง 

 

 

เดิมถังเฉียนคิดเพียงแค่ปีนขึ้นมาบนชิงช้า หรืออาจพูดได้ว่าปีนขึ้นมาดูว่าชิงช้าตัวนี้มีหน้าตาอย่างไร นี่คือความคิดในใจเถิงเฟิง ในใจเขาคิดเช่นนี้จึงแสดงออกมา ถังเฉียนจับเชือกแน่น พอขยับเพียงเล็กน้อยก็เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด ยังดีที่เสียงไม่ดัง แต่นางไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ 

 

 

สองคนข้างล่างพูดคุยเรื่องที่ชวนให้อกสั่นขวัญแขวน ทั้งที่พวกเขาเตรียมจะดึงตัวถังเฉียนมาเป็นพวกอย่างไร วางแผนกำจัดฉู่จิ่งเหยาอย่างไร คงเพราะที่นี่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าปลอดภัยพอ ถึงกับพูดทุกอย่างออกมาจนหมด แต่กลับทำให้ถังเฉียนรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ราวกับอยู่ในความฝัน 

 

 

ถังเฉียนนอนหมอบอยู่ นางลืมไปว่าที่นี่ถูกจัดเป็นเขตหวงห้ามเพราะมีต้นไม้ที่น่ากลัว บุปผากินคน เถาของบุปผากินคนไต่ช้าๆ ขึ้นมาตามกำแพง ขอเพียงได้กลิ่นคาวเลือด พวกมันก็จะตามมา โดยเฉพาะมนุษย์ซึ่งเลือดลมพุ่งพล่าน ยิ่งทำให้พวกมันรีบกรูเข้ามา 

 

 

ถังเฉียนมุ่งสมาธิอยู่กับเสียงข้างล่างมากเกินไป จนไม่รู้สึกตัวว่าชิงช้าหนักอึ้งขึ้นทุกที ขณะที่ขาเริ่มคันขึ้นมานิดๆ แล้ว