EG บทที่ 722****ควบรวมกิจการ
จางรุ่ยเฉียงนึกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นคนที่ตัดสินใจได้เด็ดเดี่ยวกว่าเลขาซวี่ แต่เป็นเพราะประชากรของเมืองปิงมีเพียงแค่ประมาณ 26% ของทั้งจังหวัดหลงเจียงเท่านั้น แต่รายได้ภาษีมากกว่า 43% ของทั้งจังหวัด!
ซึ่งหมายความว่าเมืองต่างๆ ที่เหลือในจังหวัดไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เหมือนกับสิ่งที่เมืองปิงทำได้ นอกจากนี้ เมืองปิงยังเป็นเมืองแม่แบบตามแผนที่กำหนดไว้และมีความเป็นอิสระมากกว่าเมืองอื่นๆ พวกเขาสามารถตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้มากมายโดยที่ไม่ถูกแทรกแซงจากรัฐบาลระดับจังหวัดหรือไม่ต้องปรึกษาผู้นำระดับสูง
เฝิงหยู่บอกว่าให้บริษัทเพิ่มเงินเดือนของพนักงานเพื่อลดการต่อต้านนโยบายการประกันสังคม วิธีนี้จะทำให้สามารถใช้นโยบายนี้ได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเมืองปิงก็สามารถใช้วิธีนี้ได้
เมืองปิงยังสามารถใช้ทั้งวิธีการประกันภัยของบริษัทและการประกันสังคมร่วมกันได้ด้วย ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมของเมืองปิ ก็เติบโตเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ พวกเขาล้ำหน้ากว่าเมืองอื่นๆ ที่เหลือในประเทศจีน
บริษัทเครื่องจักรของเมืองปิง บริษัทเภสัชกรรมเมืองปิง โรงงานการบินเมืองปิง และแม้แต่โรงงานทอผ้าก็ยังบรรลุผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม
เมืองปิงกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วและรัฐบาลท้องถิ่นมีเงินทุนมากเกินพอ
แต่เลขาซวี่ไม่สามารถตัดสินใจได้ มีหลายภูมิภาคในจังหวัดหลงเจียงที่ยังคงยากจนอยู่ หลายบริษัทยังคงมีผลประกอบที่ไม่ดีและกำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด
ภาษีที่เก็บได้จากบริษัทที่ดิ้นรนพวกนี้ก็มีจำนวนน้อยมาก หากเลขาซวี่ปฏิบัติตามวิธีการของเฝิงหยู่เพื่อปลอบใจคนงานและแนะนำนโยบายประกันสังคมนี้ จะต้องเกิดปัญหามากขึ้นแน่นอน ภาษีที่จ่ายโดยบริษัท พวกนั้นจะต่ำกว่ามากกว่าเดิมอีก แล้วรัฐบาลระดับจังหวัดจะไม่มีเงินทุนเพียงพอสำหรับโครงการอื่นๆ เลย
การใช้นโยบายหนึ่งโดยใช้ค่าใช้จ่ายของโครงการอื่นงั้นหรอ? แบบนี้ถือว่าเป็นความสำเร็จได้ด้วยหรอ?
ทางออกที่ดีที่สุดคือการเพิ่มเศรษฐกิจของทั้งจังหวัดโดยรวม หากทุกคนสามารถสร้างรายได้ได้มากกว่านี้ ก็จะไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่เรื่องนี้พูดง่ายกว่าทำ
เมื่อทั้งจางรุ่ยเฉียงและเลขาซวี่กำลังครุ่นคิดอย่างละเอียด เฝิงหยู่ก็นั่งจิบชาอย่างสบายใจ เขาพูดมากเกินไปจนหิวน้ำ
จางรุ่ยเฉียงบอกได้เลยว่าเลขาซวี่มีปัญหาแน่ๆ ถ้าเขาทำตามคำแนะนำของเฝิงหยู่ เขาอยากจะปลอบเลขาซวี่ เมื่อเขาเห็นเฝิงหยู่กำลังดื่มน้ำชาอย่างมีความสุข เขาจำได้ว่าเฝิงหยู่เคยพูดเรื่องนี้แล้วและเขาน่าจะมีทางแก้ปัญหาให้เลขาซวี่ได้แล้วใช่มั้ย?
คุณมีทางออก แต่ไม่ต้องการบอกเรางั้นหรอ? คุณอยากเห็นเราเดือดร้อนจริงๆ หรอ?
จางรุ่ยเฉียงกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ เขากำลังบอกใบ้ให้เฝิงหยู่รีบบอกทางแก้ปัญหาให้พวกเขาโดยเร็ว
“เฝิงหยู่ ในเมื่อคุณพูดถึงเรื่องนี้แล้ว แสดงว่าคุณน่าจะมีทางออกใช่ไหม?”
“ใช่ ก็แค่เพิ่มรายได้ของบริษัทพวกนั้นและพวกเขาก็จะสามารถเพิ่มเงินเดือนให้พนักงานของพวกเขาได้”
ให้ตายสิ เลิกพูดตรงไปตรงมาแบบนี้ได้แล้ว สิ่งที่ผมอยากรู้คือคุณจะเพิ่มรายได้ของบริษัทพวกนั้นได้ยังไง!
เฝิงหยู่เห็นสีหน้าโมโหของจางรุ่ยเฉียง และพูดช้าๆ “มีทางออกที่ง่ายๆ อยู่วิธีหนึ่งครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าเลขาซวี่จะไหวหรือเปล่า วิธีนี้จะทำให้ผู้คนจำนวนมากไม่พอใจ โดยเฉพาะเมืองอื่นๆ”
เลขาซวี่ขมวดคิ้วและมองหน้าเฝิงหยู่ “ผมไม่กลัวที่จะทำให้คนอื่นไม่พอใจ เราไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้หมด ตราบใดที่ทางออกนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้คน แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว แต่คุณหมายความว่ายังไงที่เมืองอื่นๆ จะไม่พอใจ?”
เมืองอื่นน่าจะมีความสุขหากรายได้ของบริษัทพวกนั้นเพิ่มขึ้น พวกเขาจะได้รับภาษีเพิ่มมากขึ้นจากบริษัท พวกนั้นและจะสามารถใช้ภาษีพวกนั้นสำหรับโครงการต่างๆ เพิ่มเติมได้ นี่จะเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของเมืองของพวกเขา แล้วทำไมพวกเขาต้องไม่พอใจด้วยล่ะ?
เฝิงหยู่ไม่ได้ตอบเลขาซวี่ตรงๆ เขาถามเลขาซวี่กลับว่า “เลขาซวี่ครับ คุณคิดยังไงกับสินค้าของบริษัทผม? ทำไมสินค้าผมทำกำไรได้สูงและผู้บริโภคก็ยังคงชอบอยู่?”
เลขาซวี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง “เป็นเพราะคุณภาพของสินค้าคุณหรือไม่ก็การออกแบบของคุณหรือเปล่า? หรืออาจจะเป็นเพราะโฆษณา?”
“สิ่งที่คุณพูดถึงล้วนเป็นเหตุผลส่วนหนึ่ง ตัวอย่างเช่น เครื่องทำความชื้นและพัดลมไร้ใบพัดของเรา การออกแบบภายนอกนั้นไม่ถือว่าใหม่และแบรนด์อื่นๆ ก็เริ่มพัฒนาตามทันคุณภาพสินค้าของเราแล้ว สินค้าของเรายังคงขายดีหลังจากเราลดความถี่ในการโฆษณาของเราลง ราคาขายของเรานั้นก็ยังสูงกว่าแบรนด์อื่นๆ ทำไมล่ะครับ?” เฝิงหยู่ถามต่อ
จางรุ่ยเฉียงโพล่งคำพูดออกมา “การสร้างแบรนด์!”
เฝิงหยู่แสดงสีหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของจางรุ่ยเฉียง “ถูกต้องแล้วครับ มันคือผลจากการสร้างแบรนด์! ผมจะอธิบายให้ฟังว่าผลของการสร้างแบรนด์คืออะไร สิ่งนี้ถือว่าเป็นการต่อยอดจากมูลค่าของบริษัท ซึ่งก็คือแบรนด์จะช่วยเพิ่มมูลค่าของสินค้านั่นเอง”
เมื่อเห็นเลขาซวี่ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดทั้งหมด เฝิงหยู่คิดอยู่พักหนึ่งและลองยกตัวอย่าง “ถ้ามีสินค้าอย่างนึงและผมพิมพ์ฉลากว่าเป็นสินค้านำเข้า คนจำนวนมากยินดีที่จะซื้อสินค้านี้แม้ว่าผมจะเพิ่มราคาอีก 10%, 20% หรือมากกว่านั้นก็ตาม นั่นเป็นเพราะว่าความประทับใจของผู้คนต่อสินค้านำเข้านั้นดีกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศ นอกจากนี้ ในประเทศจีนมีโรงงานจำนวนมากที่ผลิตเครื่องจักรการเกษตรนอกเหนือจากบริษัทเครื่องจักรเมืองปิง แต่สำหรับรถแทรคเตอร์แบบเดียวกัน ทำไมบริษัทเครื่องจักรเมืองปิงยังสามารถตั้งราคาให้สูงกว่าบริษัทอื่นได้ และยังสามารถทำยอดขายได้ดีกว่าพวกเขาด้วย? ทั้งๆ ที่ถ้าคุณเปรียบเทียบรถแทรกเตอร์ทั้งสองคัน คุณภาพก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก”
“นี่คือผลจากการสร้างแบรนด์ ผู้บริโภครู้จักแบรนด์ของเรา พวกเขารู้ว่าเราเป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและมีเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในประเทศจีน พวกเขายังรู้เรื่องบริการหลังการขายของเราด้วย ถ้าคุณดูจากร้านอาหารเป็ดย่าง ทำไมฉวนจวี้เต๋อถึงมีราคาแพงกว่าร้านอาหารเป็ดย่างเปี้ยนอี้ฝัง? เปี้ยนอี้ฝังมีประวัติยาวนานกว่าฉวนจวี้เต๋อ แต่เนื่องจากเป็ดย่างของฉวนจวี้เต๋อเคยเป็นเมนูที่อยู่ในงานเลี้ยงระดับประเทศ หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเปี้ยนอี้ฝังเริ่มขายเป็ดย่าง ขนาดตอนที่ลูกค้าเห็นเป็ดย่างในเมนูของเปี้ยนอี้ฝัง พวกเขาก็จะไม่สั่งเมนูนี้ แต่เมื่อลูกค้าก้าวเท้าเข้าสู่ร้านฉวนจวี้เต๋อ พวกเขาจะสั่งเป็ดย่างอย่างแน่นอน พูดง่ายๆ ตามภาษาการบัญชีก็คือ การสร้างแบรนด์ถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสินทรัพย์ของบริษัทที่ไม่สามารถจับต้องได้”
โชคดีที่เฝิงหยู่เคยเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน มิเช่นนั้น คงเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายเรื่องนี้ให้เลขาซวี่เข้าใจ เฝิงหยู่ยกตัวอย่างและใช้ศัพท์เฉพาะทางเศรษฐกิจบางอย่างซึ่งทำให้เลขาซวี่รู้สึกงง ด้วยวัยของเลขาซวี่ตอนนี้ เขาไม่เคยเรียนรู้เรื่อพวกนี้ในโรงเรียนมาก่อน แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจคำศัพท์ที่เฝิงหยู่ใช้ แต่เขาก็เข้าใจตัวอย่างที่ถูกยกขึ้นมา
เลขาซวี่ถอนหายใจในใจ เฝิงหยู่สามารถประสบความสำเร็จได้ไม่ใช่ด้วยโชคเลย เขามีความรู้จริงๆ เลขาซวี่ ไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน มีนักเศรษฐศาสตร์ในกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาและที่ปรึกษาของเขาและพวกเขาก็รู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ พวกเขาสามารถให้คำอธิบายในเชิงลึกได้มากขึ้น
แต่พวกเขารู้ว่าเลขาซวี่ไม่สามารถเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ทั้งหมด เขาเลยไม่พูดถึงข้อมูลความรู้นี้ นี่คือเหตุผลที่เลขาซวี่ประทับใจในสิ่งที่เฝิงหยู่พูด
“คุณกำลังจะบอกว่าเราควรขอให้บริษัทพวกนั้นสร้างแบรนด์ของตัวเองงั้นหรอ? พวกเขาควรเริ่มต้นยังไงดี? เริ่มจากโฆษณาหรอ?” เลขาซวี่ถาม
“สร้างแบรนด์ของพวกเขาหรอครับ? มันลำบากเกินไปและมีเวลาไม่มากพอ เรามีแบรนด์ที่แข็งแกร่งอยู่แล้วทำไมเราไม่ใช้มันล่ะครับ?”
“เรามีแบรนด์ที่แข็งแกร่งอยู่แล้วหรอ? คุณหมายความว่าไง?”
เฝิงหยู่หัวเราะและพูดคำที่ทั้งเลขาซวี่และจางรุ่ยเฉียงคุ้นเคยเป็นอย่างดี “ควบรวมกิจการยังไงล่ะครับ!”