EG บทที่ 721 ประกันสังคม

 

เมื่อเลขาซวี่กำลังจะบอกให้เฝิงหยู่กลับไป เฝิงหยู่ก็ถามทันทีว่า “คุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับประกันสังคม?”

 

เลขาซวี่รู้สึกงง ทำไมจู่ๆ เฝิงหยู่จึงยกประเด็นนี้ขึ้นมาถาม? จางรุ่ยเฉียงมองหน้าเฝิงหยู่ เฝิงหยู่กำลังพยายามเปลี่ยนเรื่องเพื่อหลีกเลี่ยงความอึดอัดหรือเปล่า?

 

จางรุ่ยเฉียงไม่สามารถปล่อยให้เลขาซวี่ตอบคำถามนี้ได้ และเขาตอบรีบตอบแทนว่า “ประกันสังคมเป็นเพียงกองทุนเกษียณอายุรูปแบบหนึ่ง เมื่อก่อนบริษัทจะทำหน้าที่ดูแลพนักงานที่เกษียณอายุและเงินบำนาญ นั่นหมายความว่าคนงาน 20 ถึง 30 คนต้องให้การสนับสนุนพนักงานที่เกษียณอายุ และจำนวนนี้กำลังเพิ่มขึ้นเพราะมีผู้คนเกษียณมากขึ้น นอกจากนี้ หลายคนไม่สามารถเกษียณได้เพราะพวกเขาไม่ได้ทำงานให้กับบริษัทใดๆ พวกเขายังต้องทำงานแม้ในวัยชรา เราเรียนรู้เรื่องการประกันสังคมนี้จากประเทศที่พัฒนาแล้ว”

 

เลขาซวี่มองหน้าเฝิงหยู่ จางรุ่ยเฉียงตอบได้ดีมาก และเขาต้องการได้ยินสิ่งที่เฝิงหยู่พูดเกี่ยวกับเรื่องการประกันสังคมนี้

 

“คำตอบของนายกเทศมนตรีจางนั้นฟังดูง่ายมาก แต่คุณเคยคิดบ้างไหมว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการดำเนินการตามนโยบายนี้? ตอนนี้รัฐบาลของเรากำลังบังคับให้บริษัทในประเทศจีนจ่ายเงินสบทบประกันสังคมสำหรับพนักงานของพวกเขา แต่พวกคุณน่าจะรู้แล้วว่านโยบายนี้มีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน”

 

“คุณพยายามจะสื่อถึงอะไร? เลิกพูดจาอ้อมค้อมได้แล้ว!” จางรุ่ยเฉียงโมโห เฝิงหยู่คนนี้ชอบอวดรู้เสมอ จางรุ่ยเฉียงไม่ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับนโยบายนี้และแม้แต่คนในรัฐบาลกลางก็ยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องการประกันสังคม พวกเขาถือว่าเรื่องนี้เป็นเพียงการทดลองเท่านั้น

 

“ผมกล้าพูดเลยว่านโยบายนี้จะไม่ประสบความสำเร็จแม้ว่าหลังจากที่พวกคุณเกษียณไปแล้วก็ตาม!”

 

“คุณว่าไงนะ? คุณล้อพวกเราเล่นหรอ?! นี่เป็นนโยบายระดับชาติและมันจะใช้เวลานานมากกว่าจะประสบความสำเร็จได้ยังไงกัน?” จางรุ่ยเฉียงโกรธมาก โดยเฉพาะเฝิงหยู่ที่เอาเรื่องการเกษียณอายุขึ้นมาพูด เขากลัวว่าเลขาซวี่จะได้รับผลกระทบด้วย นอกจากนี้ จางรุ่ยเฉียงยังเหลือเวลาอย่างน้อยกว่า 10 ปีก่อนที่เขาจะเกษียณ ทำไมเฝิงหยู่กล้าพูดว่านโยบายนี้จะไม่ประสบความสำเร็จ?

 

เฝิงหยู่หัวเราะ “แล้วนโยบายการวางแผนครอบครัวของเราประสบความสำเร็จหรือเปล่าล่ะครับ? มีกี่คนกันเชียวที่ปฏิบัติตามนโยบายนี้จริงๆ?”

 

เลขาซวี่อยกจะเถียงเฝิงหยู่กลลับ คุณไม่ได้เป็นข้าราชการ คุณกล้ามาวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลได้ยังไง?

 

แต่เมื่อเฝิงหยู่ยกนโยบายการวางแผนครอบครัวขึ้นมาเป็นตัวอย่าง เลขาซวี่ก็เงียบ

 

นโยบายนี้เปิดตัวขึ้นในปี 1971 และเริ่มส่งเสริมแนวคิดนี้ในปี 1980 พวกเขาเริ่มต้นจากสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนและสมาชิกเยาวชน โดยบังคับใช้กับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ในปี 1982 นโยบายนี้ได้ถูกนำมาใช้อย่างเป็นทางการและถูกกำหนดให้เป็นกฎหมาย จนถึงปัจจุบันนี้นโยบายนี้มีผลบังคับใช้มานานกว่าทศวรรษแล้ว แต่จำนวนประชากรก็ยังเพิ่มขึ้นทุกปี รัฐบาลเหมือนโดนขัดขวาง พวกเขาไม่สามารถบีบคอเด็กทารกพวกนั้นให้ตายทั้งหมดได้เมื่อพวกเขาเกิดมาแล้ว

 

ในหมู่บ้าน จำนวนประชากรมีความสำคัญต่อเกษตรกรมาก นโยบายนี้อาจใช้ได้ในเมือง แต่ในพื้นที่เพาะปลูกและหมู่บ้าน ผู้คนไม่สนใจนโยบายนี้ แม้ว่ารัฐบาลจะเพิ่มความพยายามในการบังคับใช้นโยบายนี้ในปี 1991 แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ

 

นโยบายและกฎหมายพื้นฐานของรัฐบาลยังไม่ประสบความสำเร็จหลังจากผ่านไปกว่าทศวรรษ รัฐบาลสูญเสียทรัพยากรและกำลังคนจำนวนมากในการดำเนินการนี้ นอกจากนี้ นโยบายประกันสังคมยังไม่ได้กำหนดขึ้นใสตามกฎหมายพื้นฐานของประเทศจีน และแบบนี้จะประสบความสำเร็จได้อย่างไร?

 

สิ่งสำคัญที่สุดคือการประกันสังคมต้องอาศัยการจ่ายเงินทั้งจากบริษัทและพนักงาน ประการแรกพนักงานหลายคนจะคัดค้านเรื่องนี้ ทำไมต้องหักเงินเดือนของพวกเขาด้วย? ทุกคนที่เกษียณอายุในอดีตก็ไม่ได้จ่ายเงินสักแดงเดียวสำหรับเงินบำนาญของพวกเขา แล้วทำไมบริษัทหรือโรงงานจึงไม่สามารถดูแลพวกเขาได้หลังจากที่พวกเขาเกษียณ? พวกเขาอุทิศเกือบทั้งชีวิตให้กับบริษัท!

 

คนงานจะต้องการให้บริษัทจ่ายเบี้ยประกันสังคมทั้งหมด แต่ไม่มีบริษัทไหนที่สามารถทำได้ ซึ่งมันไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ถ้าพิจารณาถึงจำนวนคนงานที่กำลังจะเกษียณ บางบริษัทที่ไม่ได้มีกิจการดีมากก็จะพุ่งตรงไปหารัฐบาลท้องถิ่น เราไม่สามารถจ่ายค่าประกันสังคมนี้ได้ หากคุณบังคับให้เราจ่ายเงิน บริษัทก็จะล้มละลายและคนงานทุกคนก็จะตกงาน!

 

“เพื่อให้นโยบายนี้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องใช้ทั้งการประกันของบริษัทและการประกันสังคมเข้าด้วยกัน แต่จะหาสมดุลที่เหมาะสมได้อย่างไร? หากมีหลายคนมากเกินไปที่ได้รับการยอมรับให้เข้าสู่ระบบการประกันสังคม เบี้ยประกันที่รัฐบาลเรียกเก็บจะไม่เพียงพอที่จะดูแลประชาชน หากเบี้ยประกันสูงเกินไป  บริษัทก็จะไม่เต็มใจที่จะยอมรับนโยบายนี้”

 

ในประเทศอื่นๆ มีหลายวิธีที่รัฐบาลพวกนั้นเรียกเก็บเบี้ยประกันสังคม มันเป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับพวกเขาที่จะใช้เงินสมทบตามสัดส่วนจากทั้งบริษัทและบุคคล หรือใช้เงินสมทบในจำนวนที่เท่ากันจากทั้งบริษัท และบุคคล

 

วิธีการทั้งสองนี้พบได้ทั่วไปในประเทศอื่น แต่ทั้งคู่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย สิ่งที่ประเทศจีนพยายามนำไปใช้คือเงินสมทบจากทั้งบริษัทและพนักงานตามสัดส่วนที่แน่นอน นโยบายนี้ยังคงมีผลบังคับใช้แม้กระทั่งก่อนที่เฝิงหยู่จะกลับชาติมาเกิดในชีวิตปัจจุบันของเขาตอนนี้

 

ใช้ทั้งการประกันจากบริษัทและการประกันสังคมเข้าด้วยกันงั้นหรอ? จางรุ่ยเฉียงและเลขาซวี่มองหน้ากัน มันยากที่จะนำทั้งสองอย่างมารวมกัน แต่ความจริงก็เหมือนกับที่เฝิงหยู่พูดไว้ หากการประกันทั้งสองประเภทไม่ถูกนำมาใช้ร่วมกัน นโยบายนี้จะไม่มีทางสำเร็จ บริษัทจะต้องดูแลพนักงานที่เกษียณอายุและจ่ายเงินประกันสังคม ซึ่งจะทำให้การเงินของบริษัทมีปัญหา

 

เลขาซวี่มองหน้าเฝิงหยู่ “บริษัทเครื่องจักรเมืองปิงจ่ายค่าประกันสังคมให้กับพนักงานยังไง?”

 

“บริษัทและพนักงานของเราจ่ายเบี้ยประกันร่วมกัน นี่ไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลต้องการหรอครับ?” เรื่องนี้เป็นเพียงการแนะนำโดยรัฐบาลกลางและยังไม่ได้บังคับให้บริษัทต้องปฏิบัติตาม นั่นเป็นเพราะว่ารัฐบาลไม่แน่ใจว่าคนงานจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

 

“พนักงานทั้งหมดของคุณเห็นด้วยกับข้อตกลงนี้หรอ?” เลขาซวี่ถามอย่างสงสัย เขาเคยได้ยินจากลูกน้องของเขาว่าคนงานจำนวนมากกำลังสร้างปัญหาให้กับบริษัทของพวกเขาก็เพราะเรื่องการประกันสังคมนี้แหละ บางคนก็นัดหยุดงานกันและบางคนก็ไปหาผู้นำระดับสูง พวกเขาทั้งหมดไม่ต้องการนโยบายนี้

 

“ง่ายมากเลยครับ เพียงแค่ขึ้นเงินเดือนของคนงานพวกนั้น หากพวกเขาต้องจ่าย 40 หยวนต่อเดือนสำหรับเงินสบทบประกันสังคม ผมก็จะเพิ่มเงินเดือนให้ 100 หยวนต่อเดือน ทำไมพวกเขาจะต้องคัดค้านด้วยล่ะครับ? บริษัทจะยังคงจ่ายเบี้ยประกันส่วนใหญ่ให้ หากเราทำให้เรื่องนี้ชัดเจนกับคนงาน พวกเขาก็จะเข้าใจ” เฝิงหยู่แสดงสีหน้าราวกับว่า  “ทำไมคุณถึงถามคำถามงี่เง่าแบบนี้?”

 

เลขาซวี่พูดไม่ออก คุณคิดว่าทุกบริษัทในประเทศจีนเป็นเหมือนบริษัทเครื่องจักรเมืองปิงของคุณงั้นหรอ? พวกเขาจะไปมีปัญญาเพิ่มเงินเดือนให้พนักงานได้ยังไง? คุณหมายความว่ายังไงที่บอกว่าให้ทำเรื่องนี้ให้ชัดเจนกับคนงานและพวกเขาจะเข้าใจ? การเพิ่มค่าแรงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้พวกเขายอมรับการประกันสังคมนี้

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพนักงานคืออะไร? ก็คือเงินเดือนของพวกเขานั่นแหละ!

 

เลขาซวี่ถอนหายใจในใจ บริษัทเครื่องจักรเมืองปิงแห่งนี้รวยจริงๆ นอกจากพวกเขาจะจ่ายเงินเดือนสูงให้กับคนงานแล้ว ยังยินดีที่จะเพิ่มเงินเดือนให้พนักงานอีก 100 หยวนงั้นหรอ? ซึ่งหมายความว่าคนงานระดับ 8 ของพวกเขาจะได้รับเงินเดือนมากกว่า 1,000 หยวนต่อเดือนงั้นหรอ? เงินเดือนประจำปีโดยเฉลี่ยของเมืองปิงมีมูลค่ามากกว่า 5,000 หยวนเพียงเล็กน้อยกว่าเมื่อปีที่แล้ว เงินเดือนเฉลี่ยนี้จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 6,000 หยวนในปีนี้อันเนื่องมาจากเฝิงหยู่งั้นหรอ?

 

“เฝิงหยู่ วิธีการของคุณจะไม่ได้ผลกับบริษัทอื่น บริษัทอื่นๆ จะสามารถเพิ่มเงินเดือนพนักงานให้ได้มากแค่ไหนกันเชียว?” จางรุ่ยเฉียงขมวดคิ้ว

 

“ยังไงพวกเขาก็ต้องเพิ่มเงินเดือนให้พนักงานของพวกเขา คนงานทุกคนไม่ได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากเงินเฟ้อเมื่อปีที่แล้วหรอครับ? เศรษฐกิจปีนี้ดีกว่าปีที่แล้วมาก แล้วทำไมบริษัทถึงไม่สามารถเพิ่มเงินเดือนได้ล่ะ? คุณคิดว่าบริษัทพวกนั้นจะจ่ายภาษีให้รัฐบาลมากขึ้นและปล่อยให้รัฐบาลจ่ายค่าประกันสังคมของคนงานงั้นหรอ?” เฝิงหยู่ถาม

 

การเพิ่มเงินเดือนของพนักงานก็เท่ากับเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายของบริษัทและลดผลกำไรของพวกเขาลง ด้วยเหตุนี้ บริษัทจะจ่ายภาษีลดลง ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลท้องถิ่นได้รับรายได้ภาษีน้อยลงด้วย

 

แต่ถ้าบริษัทไม่เพิ่มเงินเดือนของพนักงาน นโยบายประกันสังคมนี้ไม่มีทางประสบความสำเร็จแน่นอน เฝิงหยู่สงสัยว่าการแยกภาษีของประเทศและภาษีการใช้ที่ดินในปีที่แล้วมีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกันสังคมนี้หรือเปล่า ดูผิวเผินแล้วเหมือนรัฐบาลท้องถิ่นจะได้รับรายได้จากภาษีเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงความรับผิดชอบของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นตามมาด้วย

 

เลขาซวี่และจางรุ่ยเฉียงคิดหนัก เฝิงหยู่พูดถูก แต่พวกเขาควรจะเดินหน้าต่อไปตามที่เฝิงหยู่บอกดีหรือเปล่า?