ตอนที่ 910 ก่อร่างสร้างพลัง

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่คาดหวังว่าพวกจางเว่ยอวี่จะพัฒนาพลังของทัพอู่เว่ยให้แข็งแกร่งได้เร็วขนาดไหนเพราะเขาต้องการดูว่าวิธีของพวกจางเว่ยอวี่เหมาะสมกับเขาหรือไม่

 

 

หลังจากทหารอู่เว่ยลงนามพันธสัญญากับหลี่ว์ซู่แล้ว พวกเขาก็เริ่มเปลี่ยนปฏิรูปตนเองอย่างแท้จริง ความหมายของการปฏิรูปที่หลี่ว์ซู่บอกพวกเขานั้นคือ ถ่ายทอดวิชาและยังเป็นวิชาที่สามารถพัฒนาไปได้ถึงระดับหนึ่ง

 

 

ในเวลานี้ทหารทัพอู่เว่ยต่างกระตือรือร้นกันสุดกำลัง เหตุผลที่พวกเขาแต่ละคนไม่สามารถพัฒนาพลังให้สูงขึ้นได้ก็คือระดับพลังถึงจุดคอขวดจนพัฒนาต่อไปไม่ได้

 

 

ตอนนี้มาติดตามหลี่ว์ซู่ ไม่เพียงแต่สภาพความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแต่เขายังสามารถพัฒนาพลังของเขาต่อไปได้

 

 

คนที่ตื่นเต้นที่สุดคือหลิวเชียนจือ เหตุผลที่เขาเลือกเข้าร่วมทัพอู่เว่ยไม่ใช่เพราะวิชาที่พัฒนาได้แค่ระดับสาม ถ้าเข้าร่วมกองทัพชั้นยอดอย่างทัพชิงไซ่ที่มีจำนวนคนมากมาย เขาก็อาจจะไม่ได้เชิดหน้าชูตา ดังนั้นเขาจึงมาที่ทัพอู่เว่ยเพื่อยอมเป็นหัวไก่ดีกว่าเป็นหางหงส์

 

 

ไม่มีใครเต็มใจมีพลังต่ำเตี้ยไปตลอด พลังระดับสามไม่ถือว่าเก่งกาจอะไรในจักรวาลหลี่ว์อันกว้างใหญ่ หลิวเชียนจือใฝ่ฝันมาเสมอว่าจะได้รับวิชาที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

 

 

ทันใดนั้นมีคนในทัพอู่เว่ยกระซิบว่า “ใต้เท้าของเราบ้าไปแล้วหรือเปล่า ถ่ายทอดวิชาระดับนี้แต่ไม่รับพวกเขาเป็นทาส หรือคิดว่าไม่รับพวกเขาเป็นทาสแล้วจะปลอดภัยกว่า”

 

 

ทุกคนรู้สึกเสียใจในตอนแรก แต่พวกเขาไม่ได้โง่และรู้ดีว่าวิชาระดับหนึ่งคืออะไร

 

 

ทุกคนเคยชินกับการยอมรับการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรมในโลกที่โหดร้ายนี้ ถ้าอยากมีชีวิตรอด คุณต้องขายตัวเป็นทาส หากต้องการบำเพ็ญพลังก็ต้องมอบความเป็นความตายให้กับนายทาส

 

 

โลกของผู้ใหญ่ทุกอย่างคือผลประโยชน์และข้อแลกเปลี่ยน แต่เมื่อทุกคนคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ ความใส่ใจเพียงน้อยนิดก็ทำให้พวกเขาหวงแหนและอาลัยอาวรณ์ได้ นี่ก็เป็นปัจจัยแฝงที่ทำให้พวกเขาต้องการเป็นทาสของหลี่ว์ซู่

 

 

เพราะพวกเขาสัมผัสถึงความแตกต่างของหลี่ว์ซู่

 

 

มันคือความต่างที่เยี่ยเสี่ยวหมิงมองพวกเขาเป็นสมบัติส่วนตัว ส่วนหลี่ว์ซู่มองพวกเขาเป็นมนุษย์

 

 

หลี่ว์ซู่พูดกับทหารอู่เว่ยทุกคนว่า “ที่จริงแล้วฉันจะครอบครองทัพอู่เว่ยเป็นของตัวเองเลยก็ได้ เพราะฉันก็แข็งแกร่งที่สุด แต่ฉันคิดว่ามันไม่ดี มันเหมือนกับว่าทุกคนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุ่งโรจน์และความเสื่อมถอยของทัพอู่เว่ย พวกนายก็จะไม่มีความกระตือรือร้น ฉันหวังว่าทุกท่านจะเข้าใจเรื่องนี้นับจากวันนี้ไป พวกนายไม่ใช่ทาสของใครและจะไม่มีใครปล่อยให้พวกนายเป็นทาสในอนาคต สิ่งที่เราทำในวันนี้คือเพื่อตัวเราเอง พวกเราทุกคนคือกองทัพอู่เว่ย ต้องสามัคคีกันเพื่อให้ตนเองเข้มแข็งและมีชีวิตที่ดีขึ้น พวกนายไม่ได้ต่อสู้เพื่อฉันแต่เพื่อตัวเอง เมื่อก่อนพวกนายเป็นบ่าว ต้องคอยให้เขาจูงจมูก ตอนนี้มีวิชาแล้วก็สู้ไปพร้อมกันเพื่ออนาคตเถอะ”

 

 

คำพูดไม่ได้สร้างความฮึกเหิม หลี่ว์ซู่แค่ต้องการบอกทุกคนในทัพอู่เว่ยว่ากองทัพจะเข้มแข็งขึ้นมาได้เพื่อเรื่องของทุกคน ไม่ใช่ของเขาเพียงคนเดียว

 

 

ดังนั้นความรุ่งเรืองและผลประโยชน์ในอนาคตเป็นของทุกคน

 

 

วิชาทั้งห้าของพวกจางเว่ยอวี่ได้รับการคัดเลือกมาอย่างดี ทั้งห้าสิบหกคน แต่ละคนรับผิดชอบทหารหกสิบนาย เพื่อความสะดวกหลี่ว์ซู่ถึงกับเลิกการโครงสร้างกองพลและจัดโครงสร้างใหม่เป็นสมาชิกหกคนเป็นหนึ่งหมู่ สิบหมู่เป็นหนึ่งหมวด

 

 

ทหารทั้งหมดของทัพอู่เว่ยนั่งอยู่บนพื้นและตั้งใจฟังจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ บรรยายการบำเพ็ญวิชา ทุกคนรู้ดีว่านี่อาจเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกเขา!

 

 

แม้แต่หลี่เฮยทั่นก็ยังนั่งนิ่งๆ อยู่ท่ามกลางพวกเขาด้วย เป็นภาพที่หายากเพราะเจ้าคนนี้ไม่ค่อยอยู่สุข หลี่ว์ซู่พาเขาไปลาดตระเวนภูเขาราชาหลี่ว์หวัง ชายคนนี้วิ่งไปวิ่งมา แทบอยู่สุขไม่ได้…

 

 

เดิมทีหลี่ว์ซู่คิดว่าพวกจางเว่ยอวี่สอนวิชาไปแล้วจะปล่อยให้ทุกคนฝึกซ้อมไปก่อน แต่พอทุกคนเข้าใจวิธีการเดินชีพจร จางเว่ยอวี่ก็พาผู้คนปีนข้ามภูเขา

 

 

จางเว่ยอวี่ยืนอยู่ที่ตีนเขา จากนั้นให้หลี่เฮยทั่นและคนอื่นๆ ปีนข้ามภูเขาไปกลับพร้อมกับฝึกวิชาไปด้วย

 

 

“จะธาตุไฟเข้าแทรกไหมแบบนี้!” หลี่ว์ซู่ถามด้วยความประหลาดใจ

 

 

จางเว่ยอวี่เห็นหลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจก็รู้สึกว่าในที่สุดก็เป็นฝ่ายเขาได้เปรียบเพราะความรู้ของเขาเสียที เขายิ้มและพูดว่า “ธาตุไฟเข้าแทรกได้ซิ”

 

 

หลี่ว์ซู่ “…อย่าฝึกจนพวกเขาตายล่ะ”

 

 

“ไม่ต้องห่วง ด้วยพลังของพวกเขาตอนนี้ ต่อให้เกิดปัญหาระหว่างการฝึกก็ไม่เป็นอะไรมาก อย่างมากก็แค่ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ถ้าพลังสูงกว่านี้จะทำแบบนี้ไม่ได้ ตอนนี้กลัวลำบากก็ไม่ต้องแข็งแกร่งขึ้นแล้ว” จางเว่ยอวี่พูดว่า “พวกเราฝึกพวกเขาแบบนี้ มีเหตุผลของพวกฉัน หวังว่านายจะไม่เข้ามายุ่งมากเกินไป”

 

 

“ฮ่าๆ ” หลี่ว์ซู่เดินไปด้วยสีหน้านิ่งเฉยและไปฝึกกระบี่ต่อ

 

 

แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยัง ไม่เดินไปไหน เธอกะพริบตาและถามว่า “การฝึกฝนนี้มีประโยชน์อย่างไร”

 

 

จางเว่ยอวี่จงใจจะแกล้งหลี่ว์ซู่แต่เขาไม่อยากจะแกล้งหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่แสนน่ารักเช่นนี้ เขารู้ว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋กำลังถามแทนหลี่ว์ซู่แต่เขาก็ยังอธิบาย “คนพวกนี้มีปัญหาเรื่องวิธีการบำเพ็ญวิชา ตอนนี้พวกเรายังหวังว่าทหารกลุ่มนี้จะไม่มีสมาธิจนทำให้พลังจิตวิญญาณในร่างเกิดการปะทะกันในระหว่างการฝึก แบบนี้จะทำให้ชีพจรที่รับได้แค่ลำธารขยายเป็นแม่น้ำ วิธีนี้จึงรุนแรงและทรมานไปบ้าง ปกติแล้วไม่ต้องทำถึงขนาดนี้แต่ตอนนี้เพื่อให้พวกเขาพัฒนาอย่างรวดเร็วจึงต้องเลือกวิธีที่ทรมานต่อเนื่องแบบนี้”

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พยักหน้าและเดินไปอธิบายให้หลี่ว์ซู่ จางเว่ยอวี่ถอนหายใจ พวกเขาสองคนไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่ายๆ จริงๆ

 

 

ในช่วงเวลานี้ จางเว่ยอวี่มักจะเห็นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋นำขบวนออกล่าสัตว์ เดิมที่เขากังวลอยู่ว่าจะเกิดเรื่องกับแม่หนูคนนี้หรือเปล่าแต่ก็พบว่าเขาคิดมากไปเอง”

 

 

เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ชื่อหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เป็นนักล่าที่พิเศษมากหลังจากเข้าไปในภูเขา เธอเห็นสัตว์ป่าก็จะกวักมือเรียก สัตว์ป่าก็จะเดินตามเธอไป

 

 

เป็นการล่าที่ไม่ต้องออกแรงต่อสู้ เธอกลับมาพร้อมกับสัตว์ที่ถูกล่าและแม้แต่สัตว์บางตัวยอมเป็นพาหนะให้เธอขี่ด้วยซ้ำ…

 

 

แต่ก็โชคไม่ดีเรื่องการเลี้ยงสัตว์ เพราะการเลี้ยงสัตว์หมายถึงมีสัตว์จำนวนมาก ส่วนหลี่ว์เสี่ยวอวี๋พบว่าที่จริงเธอสามารถควบคุมสัตว์ได้มากสุดสามสิบหกตัวในเวลาเดียวเท่านั้น ไม่ค่อยพอกับความต้องการ

 

 

จางเว่ยอวี่รออยู่ที่ตีนเขา ผ่านไปสองชั่วโมง เขาได้ยินเสียงหลี่เฮยทั่นวิ่งกรีดร้องมา หลี่เฮยทั่นเป็นคนที่ปีนข้ามเขาได้สำเร็จเป็นคนแรก พอกลับมาก็นอนอยู่ริมทางเพื่อปรับพลังจิตวิญญาณในร่างของตนที่กำลังปะทะกันเองอยู่ไปพร้อมกับร้องเจ็บปวด หายใจวุ่นวายไม่เป็นจังหวะ