ดึกคืนนั้น ภูเขาราชาหลี่ว์หวังเงียบสงบ ยกเว้นหน่วยลาดตระเวนของกองทัพ ทหารที่เหลือต่างพักผ่อน ตอนนี้เป็นเวลาเข้านอนแล้ว
ในเมื่อหลี่ว์ซู่วางใจจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ และขอให้พวกเขาฝึกทหาร หลี่ว์ซู่จึงมอบสำเนาแผนที่เส้นทางและถ้ำที่เสี่ยวอวี๋ทำให้แก่พวกเขา แง่หนึ่งเป็นการแสดงความเชื่อใจ อีกแง่หนึ่งก็ให้พวกเขาไม่ต้องห่วงเมื่อถูกเลิกจ้าง ต่อให้ทัพเฮยอวี่บุกเข้ามา พวกเขาจะมีทางหนีที่ไล่
พวกจางเว่ยอวี่ก็มีท่าทีกระตือรือร้น มากแม้กระทั่งจัดระเบียบเส้นทางลาดตระเวนและที่ตั้งป้อมยามของกองทัพอู่เว่ยใหม่
เดิมทีทัพอู่เว่ย หลิวเชียนจือและหลี่เฮยทั่นรู้ว่าคนธรรมดากลุ่มนี้จะกลายเป็นครูฝึกก็รู้สึกไม่ยอม คนธรรมดาๆ ไม่ใช่เหรอ หลี่เฮยทั่นคนนี้ต่อยหมัดเดียวก็ตายแล้ว…
แต่แล้วในระหว่างขั้นตอนการจัดเตรียมการป้องกันใหม่ หลิวเชียนจือจึงตระหนักว่าความรู้ทางการทหารของอีกฝ่ายนั้นเหนือชั้นกว่าของเขาเองที่อยู่ในกองทัพมานานนับสิบปี
ส่วนจางเว่ยอวี่ก็ประหลาดใจมากเช่นกันเมื่อเห็นแผนที่เส้นทางและถ้ำ เขาพบว่าใต้ดินนั้นมีเส้นทางที่เชื่อมต่อกันสะดวกมาก ถ้าทัพเฮยอวี่บุกมา ถ้ารู้ก่อนเพียงไม่นาน กองทัพก็สามารถมุดเข้าถ้ำใต้ดินที่แบ่งแยกทางเข้าเอาไว้สิบกว่าเส้นทาง
ยังไม่จบเท่านี้ จางเว่ยอวี่ประหลาดใจกับทางเข้าที่มากมายและเส้นทางภายในถ้ำก็ยาวมาก เขาถามหลี่ว์ซู่ด้วยความสงสัย “นายวางแผนที่จะตั้งค่ายที่นี่ไว้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม”
“บังเอิญทั้งนั้น” หลี่ว์ซู่พูดพร้อมรอยยิ้ม “คนหน้าตาดี สวรรค์มักคอยช่วยเหลือ…”
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +481!]
ไปตายไป วันๆ เอาแต่แอบชมตัวเอง
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่อยู่ข้างๆ รู้สึกเศร้าเล็กน้อย หลี่ว์ซู่…ตัวพองใหญ่แล้ว…
จางเว่ยอวี่ดูแผนที่ต่อ เขาพบว่าทางเข้าถ้ำบังเอิญไปอยู่ตรงถนนสายหลักที่เดินทางสะดวก แล้วอยู่ในจุดที่เร้นลับมาก
บังเอิญด้วยอีกหรือเปล่า จางเว่ยอวี่รู้ว่าหลี่ว์ซู่มาที่นี่ตั้งครึ่งค่อนเดือน ไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร
แต่สิ่งที่จางเว่ยอวี่ไม่รู้คือเส้นทางในถ้ำใต้ดินนั้นมีไม่น้อยกว่าสิบเส้นทางที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ได้ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ เอาไว้เป็นทางหนีสุดท้ายของหลี่ว์ซู่
ไม่ใช่ว่าเขาสงสัยว่าจางเว่ยอวี่จะทรยศพวกเขาแต่หลี่ว์ซู่ระมัดระวังตัวมาตลอด อยู่ข้างนอกต้องเว้นทางหนีที่ไล่ให้ตัวเองเสมอถึงจะอยู่ในโลกนี้ได้
เดิมทีจางเว่ยอวี่รู้สึกกังวลว่าถ้าพวกเขาฝึกทหารยังไม่สมบูรณ์ดีแล้วทหารเฮยอวี่บุกเข้ามาจะทำอย่างไร
แต่ตอนนี้ไม่ต้องกังวลแล้ว มาตอนนี้ก็ไม่กลัว!
หลังจากพวกจางเว่ยอวี่และตงเยี่ยกลับมาที่ที่พักตนเองก็กระซิบคุยกันว่า “พวกนายคิดว่าแผนที่นี้เสร็จสมบูรณ์ไหม”
มีคนหัวเราะและพูดว่า “ด้วยนิสัยของเด็กคนนั้น แผนที่นี้ไม่มีทางสมบูรณ์แน่นอน เขาจะเหลือทางหนีของตัวเองเอาไว้ด้วย”
จางเว่ยอวี่พยักหน้า “น่าจะเป็นเช่นนั้น ถ้าเขาจริงใจและเปิดเผยกับใครๆ ที่เจอ คนคนนี้ไม่มีทางไว้ใจได้ พวกเราไม่ต้องไปสนใจเรื่องนี้หรอก แค่ฝึกทหารอู่เว่ยให้ออกมาดีก็พอ ทุกคนค่อยตรวจแผนงานกันอีกที แต่ละคนแบ่งดูแลกองไหน ถ่ายทอดวิชาไหน อย่าทำผิดพลาดเด็ดขาด”
ตอนนี้ เมื่อพูดถึงการฝึกกองทัพอู่เว่ย พวกจางเว่ยอวี่มีความกังวลมากกว่าหลี่ว์ซู่…
แต่สิ่งที่หลี่ว์ซู่สนใจมากกว่านั้นค่อนข้างไม่ค่อยสำคัญในสายตาของจางเว่ยอวี่ การสอนทัพอู่เว่ยให้รู้จักตัวหนังสือ
ในโลกแห่งชนชั้นแบ่งกันชัดเจน ทาสส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงความรู้และวัฒนธรรม นายทาสเองอยากให้พวกเขาโง่สักหน่อย ไม่ว่านายทาสหรือขุนนางต่างคิดว่ายิ่งทาสเหล่านี้เห็นมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะมีความคิดมากขึ้นเท่านั้น นานวันเข้าจะควบคุมลำบาก
แต่หลี่ว์ซู่ไม่คิดเช่นนั้น เขารู้สึกจริงๆ ว่าสื่อสารลำบากกับคนที่ไร้การศึกษาเหล่านี้ …
การฝึกต้องมีการผ่อนหนักผ่อนเบาคลาย การปลูกฝังวัฒนธรรมไม่ใช่สิ่งที่จะสำเร็จได้ในชั่วข้ามคืน ต้องเริ่มต้นด้วยการอ่านออกเขียนได้ก่อน
ทุกคืนจะใช้หนึ่งชั่วโมงในการเรียนรู้คำศัพท์ หลี่ว์ซู่คิดว่าไอคิวของผู้ใหญ่น่าจะจำคำศัพท์ได้หมดภายในครึ่งปี ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่การรับรู้เท่านั้น
แต่เขาเองจะไม่เสียเวลากับเรื่องนี้ คนที่สอนก็คือพวกจางเว่ยอวี่เช่นเคย
จางเว่ยอวี่ถามหลี่ว์ซู่ด้วยความอึดอัดเล็กน้อย “จำเป็นต้องรู้หนังสือหรือ แค่ต่อสู้ได้ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ”
พวกเขาต้องการชี้แนะแนวทางการบำเพ็ญ ความร่วมมือและยุทธวิธีภายในกองทัพเพื่อให้กองทัพอู่เว่ยเข้มแข็งขึ้นแต่เรียนหนังสือจะแข็งแกร่งขึ้นจริงหรือ
หลี่ว์ซู่หัวเราะร่า “คุณคิดว่ากองทัพที่มีพลังเท่าเทียมกัน อีกทัพหนึ่งมีความศรัทธา อีกทัพหนึ่งรู้แค่ศาสตร์การต่อสู้ กองทัพไหนจะร้ายกาจกว่ากัน”
จางเว่ยอวี่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ควรจะเป็นทัพแรกที่เก่งกาจกว่า เมื่อมีความศรัทธาแม้แต่ความเป็นความตายก็ยอมสละไม่สนใจได้”
“ฉันไม่ได้ขอให้พวกเขาตายแต่หวังว่าจะรวมความคิดของกองทัพอู่เว่ยให้เป็นหนึ่งเดียวในระหว่างการของการเรียนรู้หนังสือ” หลี่ว์ซู่พูด
จางเว่ยอวี่ตะลึงไปชั่วขณะ ในจักรวาลหลี่ว์นี้ไม่เคยมีกองทัพใดในโลกที่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ ทหารควรออกไปรบเพื่อฆ่าศัตรูได้ก็พอ ทหารที่สามารถสังหารศัตรูได้คือทหารที่ดี ใครจะสนว่าทหารเหล่านี้คิดอย่างไร
แต่มาคิดดูดีๆ แล้ว แม่ทัพชื่อดังทั้งหลายต่างจัดการกองทัพของพวกเขาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นค่ายหรือความคิด
เช่นเดียวกับหน่วยทหารมังกรหลวง นับตั้งแต่แรกที่พวกเขาเริ่มปฏิบัติภารกิจการปกป้องบัลลังก์ ความรู้สึกมีเกียรตินั้นเป็นความศรัทธาร่วมกันและยังทำให้พวกเขาคำนึงถึงความปลอดภัยของราชาแห่งทวพเทพมากกว่าชีวิตของพวกเขาเอง
ตอนนี้ หลี่ว์ซู่ดูเหมือนจะปล่อยให้พวกเขาส่งต่อความคิดนี้ไปอย่างไม่ให้ตั้งใจในกระบวนการเรียนนี้ การเรียนหนังสือเป็นเรื่องรอง ความคิดต่างหากเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
จางเว่ยอวี่อยากรู้อยากเห็น หลี่ว์ซู่รู้เรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือ หรือว่าเจ้าหนุ่มคนนี้จะเป็นผู้บัญชาการโดยกำเนิด? ในตอนนี้ จางเว่ยอวี่เริ่มชื่นชมพรสวรรค์ของเขา แล้วคิดว่าถ้าเขาผลักดันชายหนุ่มคนนี้ด้วยตัวเอง อีกฝ่ายจะกลายเป็นแม่ทัพที่มีอำนาจทั่วโลกด้วยหรือไม่
ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ถามขึ้นว่า “คุณคำนวณเป็นไหม”
“รู้เรื่องนิดหน่อย” จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่อย่างระวังตัว
“ถ้าอย่างนั้นก็สอนด้วยนะ การคำนวณง่ายๆ ก็ยังดี ไม่งั้นจะไม่สามารถชำระบัญชีได้หลังจากขายสบู่ ถ้าโดนโกงขึ้นมาคงแย่…”
จางเว่ยอวี่ “…ไม่สอน! “
จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าเขาไม่ควรคิดถึงเรื่องดีๆ จากเจ้าหนุ่มคนนี้ ไม่เช่นนั้นเขาจะกลายเป็นคนขี้โมโห นี่มันเวลาอะไรแล้วยังมาคิดเรื่องขายสบู่อีก
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จางเว่ยอวี่รู้สึกว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้จะพูดเล่นกับเขาและเขาก็มีลางสังหรณ์ว่าในวันหลังทัพอู่เว่ยอาจจะไปขายสบู่ในอนาคต…
เมื่อนึกถึงกองทัพที่มีชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้ามาขายสบู่ จางเว่ยอวี่เริ่มรู้สึกอยากตาย
ช้าก่อน… จางเว่ยอวี่อาจรู้แล้วว่า ก่อนหน้าที่หมู่บ้านชิงหลงขายสบู่ ใช้การขายแบบกึ่งขายกึ่งบังคับอย่างไม่มีความละอายแก่ใจแม้แต่น้อย…
ดังนั้นหากกองทัพอู่เว่ยแข็งแกร่งเทียบเท่ากับหน่วยทหารมังกรหลวง ใครจะกล้าไม่ซื้อสบู่ของหลี่ว์ซู่…
จู่ๆ จางเว่ยอวี่ก็รู้สึกปวดหัวเพราะเขาคิดว่าหลี่ว์ซู่อาจวางแผนไว้เช่นนี้!
เด็กคนนี้ คงไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอกนะ!