หลังจากทัพอู่เว่ยพบว่าผู้นำของพวกเขาไม่คิดจะรับพวกเขาเป็นทาสก็ต่างรู้สึกเสียดาย…
หลี่เฮยทั่นพูดอย่างเคร่งขรึมกับฝูงชน “พวกเราคงอ่อนแอเกินไป ใต้เท้าดูถูกพวกเรา! “
ทหารของทัพอู่เว่ยต่างมองหน้ากัน มันก็เป็นไปได้สูงเหมือนกัน ลองคิดดูว่าคนรับใช้เขายังมีพลังระดับหนึ่ง พวกเขาจะมีคุณสมบัติอะไรถึงมาเป็นทาสเขา…
แล้วจะทำอย่างไร บางคนใจร้อนอยากรีบบำเพ็ญแต่ปัญหาคือ… วิชาของพวกเขาช้าเร็วก็จะต้องถึงจุดคอขวด บำเพ็ญไปก็ไร้ประโยชน์
เป็นผลให้ทุกคนรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ว่าโอกาสที่หลี่ว์ซู่พูดถึงคืออะไร ในความคิดของพวกเขาหลี่ว์ซู่ คือโอกาสนั้นเอง
คนธรรมดาก็มีปัญญาแบบคนธรรมดา พวกเขาคุ้นเคยกับกาล้อไปตามแรงลมพัดเหมือนต้นหญ้าแล้วใช้ชีวิตอย่างเข้มแข็ง
แต่หลี่ว์ซู่ต้องการให้พวกเขากลายเป็นต้นไม้ใหญ่ แบกรับเส้นทางอันยาวไกล
พวกจางเว่ยอวี่พบว่าเรื่องต่างๆ เริ่มพัฒนาไปในทิศทางที่พวกเขาไม่เข้าใจ
หลี่ว์ซู่ทอดถอนใจเสียงแผ่วเบา “ฉันเกือบจัดการสถานการณ์ไม่ได้ พวกนายกังวลถูกแล้ว เกือบจะเกิดจลาจลขึ้นแล้ว”
จางเว่ยอวี่มองมีหน้าของหลี่ว์ซู่ที่แฝงร่องรอยความพอใจ…
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666!]
คนอื่นๆ ดึงจางเว่ยอวี่ไว้ “อย่าวู่วามๆ นายเอาชนะเขาไม่ได้…”
ถึงหลี่ว์ซู่จะไม่อยากควบคุมอิสรภาพของผู้อื่นแต่หลายคนร้องไห้และตะโกนว่าพวกเขาต้องการเป็นทาสก็เป็นความรู้สึกที่น่าภูมิใจเหมือนกัน หลังจากกลับไปที่โลก เขาจะพูดกับคนอื่นๆ ในเครือข่ายฟ้าดินว่า พวกนายรู้ไหม หลังจากที่ฉันไปที่นั่น มีคนมากมายอยากจะเป็นทาสฉัน…
จางเว่ยอวี่หัวเราะเยาะใส่ทหารวังในคนอื่น “ปล่อยให้เขาได้ใจไปก่อน เขาไม่รู้ว่าพันธสัญญาต้องใช้พลังจิตวิญญาณมาก คราวนี้ฉันจะไม่เตือนให้เขาแบ่งลงนามพันธสัญญาเป็นชุดๆ ฉันอยากจะเห็นผู้มีพลังระดับสี่ตัวเล็กๆ จะมีสภาพยังไงเมื่อใช้พลังจิตวิญญาณจนหมด! “
พวกเขาได้บอกหลี่ว์ซู่เรื่องวิธีการลงนามในพันธสัญญาแล้ว ในตอนนี้หลี่ว์ซู่ไล่ยอมรับพันธสัญญาและมอบพลังจิตวิญญาณให้ทหารอู่เว่ย หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ว่าเขาเริ่มเชื่อมต่อกับทัพอู่เว่ยผ่านการลงนามพันธสัญญานี้ เขาไม่สามารถควบคุมอีกฝ่ายได้แต่สามารถสัญญาณลับๆ ได้และสัญญาณประเภทนี้เป็นการส่งทางเดียว
หลี่ว์ซู่ลองคิดแต่เขาไม่ได้พูด หลี่เฮยทั่นเหมือนได้รับสัญญาณจึงวิ่งไปหยิบเก้าอี้ให้หลี่ว์ซู่ นี่คือข้อความที่หลี่ว์ซู่ส่งถึงเขา
ทันใดนั้น หลี่ว์ซู่ก็ตระหนักว่าพันธสัญญาแบบนี้…ดูเหมือนจะเกิดมาเพื่อใช้ในสนามรบ หากผู้บัญชาการมีความสามารถในการส่งข้อมูลและมีความสามารถในการสั่งการที่ดีมาก การรวมพลังทั้งสองอย่างไว้ด้วยกันจะเพิ่มพูนกำลังรบได้อย่างชัดเจนให้กับกองทัพ
จางเว่ยอวี่กำลังเฝ้าดูอยู่ เขาอยากรู้ว่าพลังจิตวิญญาณของหลี่ว์ซู่จนหมดเมื่อไหร่ ปกติแล้วพลังจิตวิญญาณเกี่ยวพันกับการบำเพ็ญ ผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งก็จะยิ่งมีพลังจิตวิญญาณที่กล้าแกร่ง
โดยทั่วไปแล้ว ต่อให้ยอดฝีมือพลังระดับหนึ่งธรรมดาก็ไม่อาจต้านทานพันธสัญญามากกว่า 3,000 คนในคราวเดียวได้
แต่คำถามคือหลี่ว์ซู่ยอมรับพันธสัญญาไปมากกว่า 1,000 คนแล้วแต่เขาก็ยังดูปกติดีอยู่!
มีคนกระซิบด้วยความประหลาดใจ “นี่คือผู้มีพลังระดับสี่จริงๆ เขายอมรับพันธสัญญาไปมากกว่าพันคนแล้ว ทำไมยังปกติดีอยู่ พวกนายดูสีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไปสักนิดเลย”
“รอต่อไปก่อนๆ … ” จางเว่ยอวี่จ้องมองหลี่ว์ซู่
ในตอนนี้ทุกครั้งที่หลี่ว์ซู่ยอมรับพันธสัญญาเขาจะพูดกับอีกฝ่ายอย่างจริงจังว่า “ตอนนี้พวกนายไม่ใช่ทาสของฉัน ไม่ใช่เพราะฉันดูถูกพวกนาย แต่หวังว่าพวกนายจะเข้าใจความหมายของชีวิตนายเอง กินเพื่ออยู่แต่ไม่ได้อยู่เพื่อกิน ช้าเร็วสักวันหนึ่งพวกนายจะขอบคุณฉันที่มอบอิสรภาพให้ในวันนี้และสนุกกับมัน”
ทหารทัพอู่เว่ยเหมือนจะเข้าใจ ระดับวัฒนธรรมของพวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่าหลี่ว์ซู่หมายถึงอะไร แต่ไม่รู้ทำไมพวกเขารู้สึกประทับใจอยู่ข้างในไม่มากก็น้อย
เพราะพวกเขาสัมผัสได้ว่าอุดมการณ์ของหลี่ว์ซู่แตกต่างจากโลกนี้ ซึ่งในนั้นมีเสน่ห์ที่เรียกว่า “การปลุกจิตสำนึก” หรือ “เสรีภาพ”
เพราะพวกเขาสัมผัสได้ว่าหลี่ว์ซู่ปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะมนุษย์
ในกลียุคนี้ ทาส คนเร่ร่อนได้รับการปฏิบัติเสมือนมนุษย์ เป็นการแสดงความเคารพอย่างหนึ่ง
ส่วนหลี่ว์ซู่ไม่เคยคิดว่าจะพึ่งพาทัพอู่เว่ยให้ทำเรื่องยิ่งใหญ่แต่เขาเริ่มรู้สึกว่าคนกลุ่มนี้เริ่มเข้าใจหลักการของการเป็นมนุษย์และไม่เต็มใจที่จะเป็นมดอีกต่อไป
พันธสัญญานี้ดำเนินไปตั้งแต่เช้าจรดค่ำถึงจะเสร็จสิ้น ทำเอาหลี่ว์ซู่รู้สึกล้าเล็กน้อย
แต่เมื่อเขาลุกขึ้นยืน เขาก็รู้สึกสงสัยเมื่อเห็นพวกจางเว่ยอวี่กำลังมองตัวเองด้วยความประหลาดใจ…
จางเว่ยอวี่เดินมาสำรวจหลี่ว์ซู่อย่างละเอียด “อย่าฝืนไปเลย ฉันรู้ว่านายเหนื่อยมากที่ยอมรับพันธสัญญามากมายในครั้งเดียว”
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าพิลึกคน “พูดอะไรนะ บ่นพึมพำอะไร…”
พูดเสร็จหลี่ว์ซู่ก็ไปฝึกกระบี่ที่ถ้ำต่อ…ทิ้งให้จางเว่ยอวี่มองหลังหลี่ว์ซู่เดินไปอย่างเคร่งขรึม
จางเว่ยอวี่ไม่รู้ว่าในวันแรกของการฝึกกระบี่ของหลี่ว์ซู่ หลี่เสียนอีก็พูดว่าพลังจิตวิญญาณคือสอ่งที่สำนักหอกระบี่บำเพ็ญฝึก
จิตวิญญาณที่ทรงพลังนั้นจะผสานไปกับฟ้าดิน จิตวิญญาณเป็นสำนึกกระบี่
สิ่งที่ลึกลับแสนจะลึกลับนี้ จนทุกวันนี้หลี่ว์ซู่ยังไม่สามารถเข้าใจได้ถ่องแท้ แต่ก็ยืนยันฝึกกระบี่มาได้นานขนาดนี้ ระดับพลังที่ทำให้พลังกระบี่ของหลี่ว์ซู่ผสานไปกับฟ้าดินได้คือพลังระดับหนึ่ง
ตอนนี้แค่ร่างกายเขายังตามไม่ทันเท่านั้นเอง
“เด็กคนนี้แปลกเสียจริง” มีคนข้างหลังจางเว่ยอวี่พูดขึ้น
“ไม่ใช่แค่แปลกแต่แปลกไปทุกที่ แต่พูดตามตรงฉันชอบนิสัยของเขา น่าสนใจมาก” ตงเยี่ยหัวเราะ
จางเว่ยอวี่ขมวดคิ้ว “ฉันไม่รู้ว่าตัวเลือกของพวกเราถูกต้องหรือเปล่า ตอนที่ฉันอยู่ในเมืองเถียนเกิ่งเคยบอกว่าเขาเป็นมังกรซ่อนเร้น ในตอนนั้นฉันเห็นว่าเขายังห่างไกลวันที่จะทะยานขึ้นฟ้า แต่ตอนนี้…ฉันรู้สึกว่าวันนั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว”
“คิดมากไปทำไม” ตงเยี่ยหัวเราะ “ยิ่งเขาบินได้สูงเท่าไหร่เขาก็จะยิ่งช่วยเราได้มากเท่านั้น ตอนฝึกทหารก็สร้างมิตรภาพดีๆ กันไว้ รอจนท่านนั้นมาหาพวกเรา พวกเราก็จะไม่ใช่คนไร้ประโยชน์อีกต่อไป อย่างน้อยก็ยังมีประโยชน์”
“ว่าแต่ทำไมชายหนุ่มคนนี้ต้องไปที่สำนักกระท่อมกระบี่” มีคนถามขึ้น “เขามีฐานะเป็นผู้นำกองทัพในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงที่สำนักกระท่อมกระบี่”
จางเว่ยอวี่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและพูดว่า “ฉันเหมือนรู้สึกว่าเขากำลังตามหาอะไรบางอย่างและสิ่งนั้นเกี่ยวพันเรื่องต่างๆ มากมาย เดิมทีฉันอยากจะบอกเขาว่าไม่จำเป็นต้องไปที่สำนักกระท่อมกระบี่ก็ได้แต่ตอนนี้ฉันไม่คิดแบบนั้นแล้ว ตอนนั้นฉันคาดหวังว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเขาไปที่สำนักกระท่อมกระบี่…”
“แน่นอน สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือเราต้องวางแผนให้กองทัพอู่เว่ยพลิกโฉมให้สำเร็จ! “