จะทำอย่างไรให้ทหารอู่เว่ยมากกว่า 3,000 คนยอมตกลงทำพันธสัญญากับหลี่ว์ซู่โดยสมัครใจและรับใช้หลี่ว์ซู่ในฐานะเจ้านาย นี่เป็นคำถามที่ตอบยาก
เพราะในมุมมองของจางเว่ยอวี่ คนเร่ร่อนเหล่านี้อาจเคยชินกับการที่ไม่ถูกจำกัด แม้ว่าพันธสัญญาจะเป็นพันธนาการที่ค่อนข้างหลวมแต่ยังไงมันก็คือพันธนาการ
แต่หากพวกเขาไม่มีวิธีป้องกันใดๆ พวกเขาก็ไม่เต็มใจมอบวิชาทั้งห้าให้ วิชานี้หยิบออกมาวิชาเดียวก็มีค่าเทียบเมืองเมืองหนึ่ง อาจจะหมายถึงความเป็นตายของตระกูลขุนนางระดับสูงได้เลย
บางครั้งจางเว่ยอวี่ก็คิดเหมือนกันว่าเขาอาจจะบ้าไปแล้วที่พูดเรื่องนี้และยังรับปากเงื่อนไขของหลี่ว์ซู่อีก…
“ฉันคิดว่าฉันต้องบอกไว้ก่อน” จางเว่ยอวี่พูดกับหลี่ว์ซู่ “นี่คือการยอมรับพันธสัญญาของคนมากกว่า 3,000 คน หากพวกเขาไม่เห็นด้วยและก่อกบฏก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงมันอีก”
หลี่ว์ซู่คิดอยู่พักหนึ่ง “ฉันคิดว่าบอกพวกเขาตรงไปตรงมาเลยดีกว่าและให้พวกเขาเลือกเอง”
จุดยืนของหลี่ว์ซู่และจางเว่ยอวี่แตกต่างกัน จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ เริ่มเพ้อฝันว่าหากกองทัพอู่เว่ยได้รับการฝึกฝนจริงๆ มันอาจจะมีประโยชน์ในภายหลัง อาจจะกลายเป็นกำลังสนับสนุนสำคัญก็ได้?
แต่หลี่ว์ซู่มองต่างออกไป ตอนนี้เขาหวังแค่ปกป้องตนเองได้ หลังจากสงครามสิ้นสุดลง เขาได้รับเอกสารแต่งตั้งผู้บัญชาการอย่างเป็นทางการแล้ว เขาจะเขียนจดหมายแนะนำตัวเองและไปรายงานตัวที่สำนักกระท่อมกระบี่ ภายในประมาณหนึ่งปี เขามั่นใจว่าจะสามารถฝึกถึงระดับหนึ่งได้
จางเว่ยอวี่พูดก่อนหน้านี้ว่าคนส่วนใหญ่ที่ได้รับการแนะนำให้เข้าสำนักกระท่อมกระบี่มีพลังระดับสอง ผู้มีพลังระดับต่ำกว่าไม่กล้าไปเพราะกลัวตาย ถ้าหากหลี่ว์ซู่เข้าสู่ระดับหนึ่งก็จะต้องได้รับเลือกเข้าสู่สำนักแน่นอน
และหลี่ว์ซู่เป็นเพียงแขกรับเชิญของดาวนี้ แค่ต้องการปกป้องตนเองและทำสบู่สร้างรายได้ในภายหลัง
เรื่องพัฒนากองทัพอู่เว่ยเป็นเพียงเรื่องที่ทำไปตามสถานการณ์เท่านั้น ที่สำคัญคือเปลี่ยนกองทัพเป็นกำลังการผลิต…
ทัศนคติที่แตกต่างกันทำให้หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าต่อให้จะมีคนต้องจากไปเพราะการทำพันธสัญญาเช่นนี้ก็ไม่เป็นไร
จางเว่ยอวี่หัวเราะเยาะ “นี่คือกองทัพของนาย แน่นอนว่าให้นายเป็นผู้เลือกแต่นายจะรับผลที่ออกมาได้หรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง”
หลี่ว์ซู่ไม่สนใจ มีอะไรที่เขาทนไม่ได้ หัวหน้าบาทหลวงอยู่เคียงข้างเขา เช่นเดียวกับแอนโทนี่ เสี่ยวอวี๋ จอห์นสัน ทัพอู่เว่ยพวกเนี่ยคิดจะทำอะไรได้
ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงเรียกรวมพลทัพอู่เว่ยทั้งหมด ส่วนจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ต่างเฝ้าดูอย่างเย็นชารอให้หลี่ว์ซู่ทำเรื่องวุ่นวาย
ทหารอู่เว่ยรวมตัวกันด้วยสีหน้ามึนงง บางคนยังคงถกขากางเกงขึ้น เท้าเปื้อนโคลน คงจะมาจากแปลงนา
ตอนนี้เนินเขาของภูเขาราชาหลี่ว์หวังถูกกดทับจนเรียบและกลายเป็นลานฝึกขนาดใหญ่ ปกติจะวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าที่นี่
หลี่ว์ซู่ยืนอยู่ที่ลานฝึกและพูดกับทุกคนของทัพอู่เว่ยว่า “ฉันขอประกาศอย่างตรงไปตรงมา เพราะฉันต้องการมอบโอกาสให้ทุกคน ดังนั้นฉันต้องการอำนาจควบคุมกองทัพอู่เว่ยอย่างเบ็ดเสร็จ เรื่องนี้เหมือนกับการค้า ฉันไม่สามารถทำการค้าที่ขาดทุนได้ เดิมทีฉันสามารถบังคับให้ทุกคนมาเป็นทาสของฉันได้แต่ฉันไม่ชอบควบคุมใคร ฉันเชื่อว่าทุกคนไม่อยากเสียอิสรภาพ ฉันเลยคิดวิธีประนีประนอม…”
ในตอนนี้ หลี่ว์ซู่ยังพูดไม่ทันจบ หลี่เฮยทั่นก็ตะโกนร้องขึ้นมาว่า “ใต้เท้า ฉันยอมเป็นทาส! “
จางเว่ยอวี่ตะลึงไปชั่วครู่ นี่เตี๊ยมกับหลี่ว์ซู่ไว้แล้วหรือพูดขึ้นมาเอง
จากนั้นเขายังไม่ทันได้มองเรื่องออก คนกลุ่มใหญ่ของทัพอู่เว่ยก็ตะโกนขึ้นว่า “ใต้เท้า ให้พวกเราเป็นทาสเถอะ พวกเราไม่ต้องการอิสรภาพ! “
คราวนี้แม้แต่หลี่ว์ซู่เองก็ตกตะลึง เมื่อเห็นคนกลุ่มใหญ่ตะเกียกตะกายแย่งกันเป็นทาสเขา มีเพียงหลี่ว์ซู่เท่านั้นที่รู้ เขาไม่ได้เตี๊ยมสถานการณ์กับหลี่เฮยทั่น!
จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ต่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาต่างเป็นคนฉลาด ดังนั้นจึงมองออกว่าคนกลุ่มนี้ในทัพอู่เว่ยสมัครใจ ไม่มีใครบีบบังคับเขา
ต่อให้หลี่เฮยทั่นจะเป็นคนนำ แต่คำถามคือทุกคนมีจิตใจที่เป็นเอกเทศ เป็นไปไม่ได้ที่จะพูดแบบเดียวกัน ดังนั้นทหารเหล่านี้… อยากเป็นทาสของหลี่ว์ซู่จริงๆ!
พวกจางเว่ยอวี่เริ่มไม่เข้าใจโลกนี้…
แต่พวกเขามองข้ามไปเรื่องหนึ่งคือหลี่ว์ซู่ไม่ได้มีฐานะสูงส่งในใจของทหารอู่เว่ยหรือเป็นที่รักเทิดทูน แต่เป็นพวกจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ไม่เคยเข้าใจความคิดของทาสเลย
คนเหล่านี้กำลังหาทางออกในช่วงกลียุค สิ่งที่หลี่ว์ซู่แสดงให้เห็นในช่วงเวลานี้มีอยู่สองเรื่องที่เป็นที่ชื่นชอบของทหารอู่เว่ยมากที่สุด ประการหนึ่งคือหลี่ว์ซู่ไม่ทรมานพวกเขา พูดตามตรงต่อให้จะหนีมาอยู่ในภูเขาพวกเขาก็อยู่สุขสบายกว่าตอนเป็นทาสหรือตอนเป็นทหารทัพอู่เว่ย
อีกประการหนึ่งคือหลี่ว์ซู่มีพลังแข็งแกร่ง ทุกคนต่างคิดว่าคนรับใช้ที่สวมผ้าพันคอสีชมพูมีพลังระดับหนึ่ง แล้วหลี่ว์ซู่จะมีพลังระดับไหนกัน และภูมิหลังของคนแบบไหนที่ให้ผู้มีพลังระดับหนึ่งยอมเป็นผู้รับใช้
ระดับหนึ่งไง! หลังจากยุคสงครามสงบลง พวกเขาเป็นทาสของหลี่ว์ซู่ อนาคตในเมืองอู่เว่ยไม่สดใสหรือ
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนรู้สึกว่าหลี่ว์ซู่แตกต่างจากผู้แข็งแกร่งชนชั้นสูงพวกนั้น เขาไม่เคยมองว่าใครเป็นมดเพราะเขาอาศัยอยู่ในโลกนี้ด้วยทัศนคติที่จริงใจมาโดยตลอด
ตอนนี้พวกเขาไม่กังวลว่าจะทำอย่างไรถ้าสูญเสียอิสรภาพ แต่เป็นห่วงว่าพลังจิตวิญญาณของหลี่ว์ซู่จะไม่เพียงพอที่จะให้พวกเขาทั้งหมดเป็นทาส
พลังจิตวิญญาณเป็นคำจำกัดความที่กว้างมากและไม่มีใครไปฝึกมันโดยเฉพาะ แม้กระทั่งไม่มีใครรู้วิธีการบำเพ็ญแต่มันมีตัวเลขสำคัญในการรองรับ “จำนวนทาส” ในจักรวาลหลี่ว์
ดังนั้นจึงมีความแตกต่างทางความเข้าใจระหว่างจางเว่ยอวี่และทัพอู่เว่ย ในฐานะที่เป็นทหารวังในอันสูงส่งต่อให้ตกต่ำก็ยังมีศักดิ์ศรีของตัวเองส่วนทหารอู่เว่ยนั้นต่างกัน …
หลี่ว์ซู่อธิบายอย่างอดทน “ทุกคนไม่จำเป็นต้องเป็นทาส ฉันเชื่อว่าทุกคนจะขอบคุณการตัดสินใจในวันนี้และทุกคนจะรู้ว่าอิสรภาพนั้นสวยงามแค่ไหน …”
พูดยังไม่ทันจบก็มีคนตะโกนว่า “ไม่เอา พวกเราแค่อยากเป็นทาส! “
จางเว่ยอวี่พึมพำ “บ้าไปแล้ว! “
ทหารวังในคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ปวดหัว “หรือว่าพวกเราคิดผิด? “
หลี่ว์ซู่ยังคงอธิบายอย่างอดทนกับทุกคน ส่วนทัพอู่เว่ยต่างมีอารมณ์ฮึกเหิม
คนหนึ่งเป็นตายยังไงก็ไม่อยากรับทาส ส่วนอีกฝั่งเป็นตายยังไงก็จะเป็นทาส ก่อนหน้านี้พวกจางเว่ยอวี่กังวลว่าจะเกิดการก่อกบฏแต่กลับกลายเป็นคนละเรื่องกันเลย
แต่หลี่ว์ซู่ยืนกรานความคิดของตัวเอง ในที่สุดเขาก็ปฏิเสธคำขอของทัพอู่เว่ยและคนอื่นๆ และเลือกที่จะลงนามในพันธสัญญาจิตวิญญาณ เขาเชื่อว่าวันหนึ่งคนเหล่านี้จะขอบคุณการตัดสินใจของเขาในวันนี้
พันธสัญญาได้ตอบสนองความต้องการของเขาในการควบคุมกองทัพแล้ว