จางเว่ยอวี่ยืนเผชิญหน้ากับหลี่ว์ซู่ทั้งสองฝ่ายต่างคิดถึงข้อดีข้อเสียและพิจารณาเรื่องวิชาทั้งห้า
หลี่ว์ซู่สั่งให้คนอื่นๆ แยกย้ายกันออกไป บทสนทนาต่อจากนี้ของพวกเขาจะต้องเป็นความลับ จางเว่ยอวี่เดาข้อกังวลของหลี่ว์ซู่ได้แล้ว เขาก็เข้าใจว่าควรจะเลือกยังไง เขาจึงมองหลี่ว์ซู่และพูดว่า “นี่เป็นโอกาสทองของชีวิต”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่ามีวาสนาจะได้ไหม” หลี่ว์ซู่ยื้ออยู่นานกว่าจะรับตำแหน่งราชันฟ้า วิชาแค่นี้ไม่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
จางเว่ยอวี่พูดย้ำอีก “ครั้งนี้พวกเราไม่ต้องการทำสัญญาใดๆ กับนายและไม่ต้องการให้นายยอมรับเงื่อนไขใดๆ เพียงแค่ให้เราฝึกฝนพวกเขา!
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดอยู่สองวินาที “งั้นก็ได้แต่คุณต้องรับปากฉันเรื่องหนึ่ง”
“ได้! ว่ามา! ” จางเว่ยอวี่พูดและมองหลี่ว์ซู่ด้วยแววตาจริงจัง
แต่จางเว่ยอวี่เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ!
เดี๋ยวนะ…ตัวเขามอบวิชาให้ยังต้องตกลงเงื่อนไขอีก! มันกลับกันหรือเปล่า ตัวเขาจะให้หลี่ว์ซู่รับน้ำใจไม่ใช่เหรอ ทำไมกลายเป็นหลี่ว์ซู่ไม่รับแล้วตัวเขากลับเป็นฝ่ายต้องรับน้ำใจของอีกฝ่ายแทน!
จางเว่ยอวี่มองใบหน้าที่ไร้เดียงสาของหลี่ว์ซู่อย่างเงียบๆ …
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666!]
“ขอฉันพูดเรียบเรียงใหม่นะ” จางเว่ยอวี่พูด “ทำไมฉันมามอบวิชาให้ต้องมารับปากเงื่อนไขของนายด้วย”
หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่อย่างไร้เดียงสา “คุณว่ามา”
จางเว่ยอวี่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและตัดสินใจที่จะเริ่มจากจุดเริ่มต้น “พวกเราต้องการมอบวิชาให้นายห้าวิชา”
“ไม่ได้” หลี่ว์ซู่พูด
“พวกเราไม่ต้องการคำมั่นสัญญาใดๆ จากนาย เพียงแค่ให้พวกเราฝึกฝนพวกเขา”
“ได้แต่คุณต้องรับปากฉันเรื่องหนึ่ง” หลี่ว์ซู่พูด “มีปัญหาอะไรหรือ”
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +199!]
จางเว่ยอวี่ถอนหายใจ “ช่างเถอะๆ เงื่อนไขอะไร”
“เงื่อนไขคือพวกคุณสอนฟรี” หลี่ว์ซู่พูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “ดูนะ ทัพอู่เว่ยของพวกเรามีค่าใช้จ่ายเยอะมาก ตอนนี้รายรับยังไม่มีดังนั้นเงินจึงสำคัญมาก…”
จางเว่ยอวี่ใช้ความคิด กลายเป็น “ทัพอู่เว่ยของพวกเรา” ได้อย่างไร ทำไมทำซะเขามีความรู้สึกร่วมไปด้วยเลย…
ที่แท้ลีลาอยู่ตั้งนาน สุดท้ายก็เพราะไม่อยากควักเงิน 2,000 ธนบัตรต่อคน!
ที่จริงจางเว่ยอวี่ไม่ได้โง่ เขารู้ดีว่าปัญหาอยู่ที่ไหน ครั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาต้องการจัดการทัพอู่เว่ยให้เป็นของเล่นชั้นเยี่ยม ถึงพวกเขาจะไม่มีพลังแล้ว แต่ถ้ามีกองทหารที่ให้พวกเขาได้แสดงฝีมือก็ถือว่าได้ปลอบประโลมจิตใจตัวเอง
ดังนั้นทำให้จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ สนใจทัพอู่เว่ย ราวกับว่าพ่อแม่คาดหวังให้ลูกๆ ทำตามความฝันของตัวเอง มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้พวกเขาและส่งพวกเขาในทุกการเดินทาง
พูดตรงๆ ก็คือพวกเขาโดดเดี่ยวมานานมาก หน่วยทหารมังกรหลวงที่เคยยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์ในอดีตตกต่ำสู่ห้วงเหวลึก ย่อมมีบาดแผลและความเสียใจเหลือไว้ในใจ
และตอนนี้เมื่อพวกเขาตระหนักว่ากลุ่มคนไร้พลังสามารถเปล่งประกายได้อีกครั้ง พวกเขาก็เริ่มมีความตื่นเต้นและความหวัง
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ จางเว่ยอวี่เข้าใจหลี่ว์ซู่ หลี่ว์ซู่เคยช่วยพวกเขาและช่วยชีวิตจางเว่ยอวี่ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นผู้มีพระคุณ
ประเด็นสำคัญคือหลี่ว์ซู่ไม่เป็นขุมพลังของกองกำลังใดๆ หลี่ว์ซู่ยังมีความลับของตัวเองซึ่งกลายเป็นพื้นฐานในการสร้างความไว้วางใจระหว่างทั้งสองฝ่าย
ทหารวังในไม่ได้รับใช้ผู้อื่นนอกจากราชาแห่งทวยเทพและตอนนี้พวกเขาไม่ต้องรับใช้ใคร
สำหรับจางเว่ยอวี่ พวกเขาอยู่ที่นี่เพราะความรู้สึก ไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ พวกเขาไม่ได้เปลี่ยน พวกเขายังคงไม่ถูกขุนนางซื้อใจ ความภักดีของพวกเขายังคงมีต่อราชาแห่งทวยเทพตามเดิม!
พูดไปก็เหมือนเอาแต่ใจที่ไม่สนลาภยศสรรเสริญแต่มาฝึกทหารอู่เว่ยอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ แต่ก็ด้วยสิ่งนี้ที่ยังเป็นการรักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรีสุดท้ายของทหารวังใน
ส่วนหลี่ว์ซู่ก็มองเรื่องนี้ออกดังนั้นจึงกล้าเสนอเงื่อนไขนี้
จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่นิ่งๆ “อย่างน้อยก็ต้องดูแลเรื่องการกินใช่ไหม”
หลี่ว์ซู่เบิกตากว้างขึ้นและยิ้ม “ดูแลๆๆ เรื่องนี้จัดการให้เต็มที่เลย”
“อย่าเอาจานยกออกไปนะ” จางเว่ยอวี่พูดน้ำเสียงเย็นชา เขารู้ว่าหลี่เฮยทั่นต้องได้รับคำสั่งจากหลี่ว์ซู่ให้ยกจานอาหารพวกเขาออก
“ฮ่าๆๆ เข้าใจผิดกันไปใหญ่เลย…”
หลังจากที่ทั้งสองคุยกันเสร็จแล้ว หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็เห็นหลี่ว์ซู่ขยิบตาให้เธอ สำเร็จ!
ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็ยิ่งคาดหวังมากขึ้นว่าทัพอู่เว่ยจะพัฒนาไปถึงระดับไหน
คืนนั้น หลี่ว์ซู่มาที่ที่พักของจางเว่ยอวี่ ทั้งห้าสิบกว่าคนไม่นั่งอยู่บนเตียงก็นั่งอยู่ที่พื้น มองหลี่ว์ซู่ด้วยสายตาเดียวกัน
หลี่ว์ซู่ยิ้มและพูดว่า “ยินดีที่ได้ร่วมมือกัน”
จางเว่ยอวี่ตบไหล่เขา “พวกเราบอกนายชัดเจนแล้วเรื่องอำนาจการควบคุมทัพอู่เว่ย”
หลี่ว์ซู่นิ่งลง เข้าเรื่องเลยใช่ไหม แค่พูดเรืองอำนาจการควบคุมของกองทัพอู่เว่ย? จะตกลงยังไง หลี่ว์ซู่ไม่มีทางมอบอำนาจการควบคุมให้คนกลุ่มนี้แน่นอน
“อย่าคิดมากไป” จางเว่ยอวี่พูดอย่างใจเย็น “ถึงพวกเราเต็มใจมอบวิชาให้แต่ก็ไม่อยากให้วิชาเล็ดลอดออกไป ดังนั้นทัพอู่เว่ยจะต้องอยู่ในอำนาจการควบคุมของพวกเรา! พวกเราเชื่อใจนายแต่ไม่ใช่พวกเขา!”
“นี่หมายความว่าอะไร” หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดสักพักแล้วพูดว่า “พวกคุณมีวิธีอะไรหรือ”
“เปลี่ยนพวกเขาให้เป็นทาสของนายทั้งหมด” จางเว่ยอวี่พูด “เมื่อมีวิชาแล้วบางที ความแข็งแกร่งทางจิตใจของนายอาจไม่รับทาสจำนวนมากขนาดนี้ไม่ไหวแต่ค่อยเป็นค่อยไป มีเพียงเปลี่ยนพวกเขาเป็นทาสของนายเท่านั้น พวกเราถึงจะมั่นใจได้จริง”
หลี่ว์ซู่ลังเลเขาเป็นคนยุคปัจจุบัน ไม่ใช่คนของจักรวาลหลี่ว์
ดังนั้นจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ จึงคิดว่าการรับเป็นทาสเป็นเรื่องธรรมดา แต่เขารู้สึกอึดอัดมาก เขาไม่เคยคิดที่จะกดขี่ใครและเขาไม่คิดที่จะเป็นนายทาส
เขาไม่ต้องการให้ใครมาควบคุมอิสรภาพของเขา ดังนั้นเขาจึงเอาใจเขามาใส่ใจเรา เขาไม่เต็มใจที่จะควบคุมเสรีภาพของผู้อื่น
หลี่ว์ซู่จึงพูดว่า “ถ้าฉันบอกว่าทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน คงจะเสแสร้งไป ฉันไม่อยากควบคุมใครและไม่เคยคิดที่จะดูถูกใคร ยิ่งกว่านั้นฉันเห็นด้วยกับมุมมองหนึ่งคือความภักดีที่ควบคุมชีวิตของเขาไม่ใช่ความภักดีที่แท้จริง คนคนหนึ่งจะตระหนักถึงศักยภาพสูงสุดของเขาก็ต่อเมื่อพวกเขามีอิสรภาพในชีวิตตนเอง”
แต่แล้วจางเว่ยอวี่เพิ่งพูดจบ พวกเขาก็มองหน้ากันและเหมือนกำลังคบคิดกันอยู่
หลังจากนั้นไม่นาน จางเว่ยอวี่ก็หายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “แง่นี้ นายคล้ายกับคนที่เรารู้จักมาก…เธอเคยพูดอะไรบางอย่างที่มีความหมายคล้ายกับที่นายพูด ต่างกันแค่คำพูดเท่านั้น”
หลี่ว์ซู่ตกตะลึง มีคนพูดแบบนี้กับจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ด้วยหรือ
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำแต่คิดไม่ออกว่ามันอยู่ตรงไหน
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากรับทาสแต่ฉันรู้สึกว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด” เขาพูด “มีวิธีอื่นอีกไหมนอกจากการรับทาส ฉันไม่ได้เอาแต่ใจแต่พูดตามตรงฉันไม่ได้เป็นคนไม่เห็นแก่ตัว ถึงไม่อยากให้คนอื่นมาเป็นทาสแต่ก็ไม่อยากถูกทรยศ”
หลี่ว์ซู่เป็นคนที่มีนิสัยเช่นนี้ มีนิสัยจริงจัง เขากล้ายอมรับว่าตนเองมีความเห็นแก่ตัวและยืนกรานในหลักการของเขาเสมอ
“มี มีอีกแบบหนึ่ง” จางเว่ยอวี่คิดอยู่ชั่วครู่และพูดว่า “พันธสัญญา ผู้ภักดียินยอมลงนามในพันธสัญญากับเจ้านายโดยสมัครใจเจ้านายไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของผู้ภักดีได้ เมื่อผู้ภักดีทรยศ พันธสัญญามีพลังที่หยั่งรากลึกลงในร่างกายจะทำลายรากฐานของผู้ภักดี นายลองคิด พลังผูกพันของพันธสัญญานี้อ่อนกว่าตราประทับของทาส ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของนายทาสคือพวกเขาต้องการให้ทาสไปตายในสนามรบ ทาสก็ต้องไปสู้จนตายเพราะทาสบางคนเกิดมาเพื่อเป็นปืนใหญ่ในสนามรบ ถ้านายใช้พันธสัญญา นายต้องจัดการกองทัพอย่างระมัดระวัง พวกเขาแค่ไม่สามารถทรยศคุณได้เท่านั้น”
หลี่ว์ซู่หายใจออก แค่นี้ก็พอแล้ว เขาไม่ต้องการให้ใครมาเป็นปืนใหญ่ให้เขา
การพันธนาการแลกมาด้วยความภักดีไม่ได้ เครือข่ายฟ้าดินก็ไม่มีการรับเป็นทาส ทุกคนเต็มใจยอมไม่ใช่เพราะถูกบีบบังคับ เช่นนั้นคำว่าวีรชนจึงมีความหมาย