หลิวเชียนจือพูดเสริมว่า “ทำหมันแพะเหล่านี้ไปแล้ว เหลือไว้ผสมพันธุ์เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น จากการเจริญเติบโตของพวกมันอีกสามสี่เดือนก็น่าจะได้ลูกแพะชุดแรก”
“อย่าไปยุ่งกับแพะตอนนี้ เรื่องล่าสัตว์ก็ต้องทำต่อไป ทำนาเป็นงานหนักจะให้ทหารไม่มีเนื้อกินไม่ได้” หลี่ว์ซู่พูด “เทือกเขานี้เป็นกล่องสมบัติของเรา ขุดเท่าไหร่ก็มีเท่านั้น”
หลี่ว์ซู่พยายามทำให้ตัวเองเป็นกระดูกสันหลังของกองทัพและหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็พยายามทำให้ตัวเองเป็นคนที่สามารถช่วยเหลือหลี่ว์ซู่ได้
จางเว่ยอวี่มองไปที่ภาพลักษณ์ของทั้งสองคนนี้ก็รู้สึกว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนติดดิน นายทาสและพวกขุนนางทั่วไปใครไหนจะมาสนใจเรื่องพวกนี้
แต่ตอนนี้เขากำลังคิดอยู่ว่าควรจะคุยกับหลี่ว์ซู่เรื่องการถ่ายทอดวิชายังไง ก่อนอื่นคือโน้มน้าวอีกฝ่ายให้เชื่อว่าวิชานี้เป็นของดี ถ้าไม่ใช่เพราะทหารมังกรหลวงให้เรียนวิชาเหมือนกันหมด เขาเองก็อยากฝึกวิชาของตระกูล
จากนั้นจะให้หลี่ว์ซู่รับน้ำใจครั้งนี้ยังไงดี จางเว่ยอวี่รู้ว่าหลี่ว์ซู่ไม่ใช่คนอกตัญญูแต่จะให้อีกฝ่ายยอมรับน้ำใจครั้งนี้ได้อย่างไร
เมื่อคืนจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ คุยกันจนดึก พวกเขาแยกตัวกันไปแล้วมีโอกาสมาพูดคุยกันแบบนี้น้อยมาก คงห่วงอะไรมากไม่ได้ระหว่างหลบหนี ดังนั้นเมื่อวานพวกเขาได้พักผ่อนกัน ต่างรู้สึกผ่อนคลายลง
ราวกับได้วางภาระบางอย่างลงและมาพูดคุยกันอย่างสบายๆ
ผลก็คือมีคนร้องไห้และถามจางเว่ยอวี่ว่าพวกเขาจะต้องทนไปถึงเมื่อไหร่กว่าจะถึงวันนั้น หรือว่า…วันนั้นจะไม่มีอยู่จริง
จางเว่ยอวี่เข้าใจดีว่าในช่วงสิบปีที่ผ่านมาทุกคนอดทนมากเหลือเกิน แบกรับมามากจริงๆ แต่พวกเขาสามารถรอต่อไปเพื่อชดเชยความผิด
เพราะ…พวกเขาคิดถึงช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์และเข้าใจว่าใครเป็นผู้ให้
จางเว่ยอวี่เป็นคนที่โชคดี ราชาองค์เก่าเลือกเขาจากบรรดาตระกูลขุนนาง อย่างไรก็ตามหลายคนลืมไปว่าคนส่วนใหญ่ในทหารมังกรหลวงเป็นเด็กกำพร้าหรือมีประสบการณ์ที่น่าสังเวชและถูกราชาองค์เก่าพากลับมา
โลกภายนอกบอกว่าราชาองค์เก่าโหดร้ายอย่างนั้น โหดเหี้ยมอย่างนี้เพราะครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเป็นศัตรูกับราชาองค์เก่าและได้เป็นพยานในยุคสงครามที่โหดร้าย
แต่จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ เข้าใจอยู่เสมอว่าราชาองค์เก่าไม่ใช่ทรราชที่โหดเหี้ยมจริงๆ
พวกเขาไม่ได้ควบคุมทหารมานานกว่า 20 ปีแล้ว ในเวลานั้นราชาองค์เก่าพาคนใหม่กลับมาในทหารมังกรหลวง ทุกคนต่างล้อเล่นกับเขาแต่ก็ด้วยความปรารถนาดี จากนั้นคนใหม่คนนั้นก็ค่อยๆปรับตัวเข้ากับกลุ่มและไม่สามารถแยกออกจากกันได้อีกต่อไป
ทันใดนั้นทุกคนพบว่า มีโอกาสนำทหารอีกครั้งแล้ว ถึงพวกเขาจะไม่สามารถไปรบด้วยร่างกายในตอนนี้ได้แต่แค่นี้ก็ทำให้สมใจอยากแล้ว!
นี่เป็นความรู้สึกที่ซับซ้อน ทั้งๆ ที่รู้ว่าตนเองออกรบไม่ได้แล้วแต่ยังอยากกลับไปสัมผัสกับเวลาในตอนนั้น
แค่คิดว่าจะจัดการทหารอู่เว่ยพวกนี้ให้เหมือนกับตอนรับทหารคนใหม่เข้าหน่วยทหารมังกรหลวงก็สนุกอย่างบอกไม่ถูกแล้ว!
จากนั้น ไม่เพียงแต่จางเว่ยอวี่เท่านั้นที่เต็มใจที่จะนำวิชาออกมาแต่คนอื่นๆ ก็เอาสิ่งที่เก็บไว้ให้ตัวเองออกมาด้วย
ในตอนนั้นหน่วยทหารมังกรหลวงเป็นหูเป็นตาให้ราชาองค์เก่า หากบอกว่าเขาไม่มีความลับใดๆ ซ่อนอยู่ก็คงเป็นไปไม่ได้ ขุนนางบางตระกูลถูกพวกเขารื้อค้นบ้านและจับทรมาน พวกเขาจะไม่มีอะไรเก็บไว้ได้อย่างไร
สุดท้ายนับดูแล้ว ทั้งห้าสิบกว่าคนนำวิชาออกมารวมกันได้ยี่สิบกว่าวิชา…
ในตอนนี้ทุกคนเริ่มคัดเลือก วิชาที่ไม่สามารถบำเพ็ญได้ถึงระดับหนึ่งไม่ต้องเอาออกมา! ขายหน้าเขา!
ดังนั้นทั้งยี่สิบกว่าวิชานั้นจึงเหลือเพียงห้าวิชาและทั้งหมดสามารถบำเพ็ญได้ถึงระดับหนึ่ง!
การมีวิชามากก็มีข้อดี เพราะทหารกองหนึ่งมักจะเจอคู่ต่อสู้และสภาพแวดล้อมที่ต่างกันไป กองทหารที่มีความสามารถพลิกแพลงสูงจะมีโอกาสผิดพลาดต่ำ
หน่วยทหารมังกรหลวงมีวิชาที่แข็งแกร่งแต่วิชาพวกเขาเอาออกมานั้นก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน
เดิมทีทุกคนมองการฝึกทัพอู่เว่ยเป็นเพียงธุระหรือแม้กระทั่งเป็นการแลกเปลี่ยนกัน แต่แล้วพอได้คุยๆ กันไปก็เริ่มเปลี่ยนไป จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ถึงกับมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของตนเอง แม้กระทั่งยังแอบหยอกล้อกันว่าให้ฝึกให้ดีอย่าฝึกได้ทหารข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง
ดังนั้นจึงเกิดอารมณ์การแข่งขันระหว่างพวกเขากันเอง
แต่ตอนนี้ จางเว่ยอวี่หวังที่จะเพิ่มผลประโยชน์ของเขาให้มากสุด ให้หลี่ว์ซู่ยอมรับน้ำใจก่อน เรื่องต่อจากนี้ก็ค่อยง่ายขึ้น
เมื่อหลี่ว์ซู่เดินสำรวจนาขั้นบันไดเสร็จแล้วและเตรียมกลับไปฝึกกระบี่ที่ถ้ำต่อไปเพื่อปะทุพลังระดับสาม จางเว่ยอวี่ลากหลี่ว์ซู่ออกมาข้างๆ “พวกเรายินดีที่จะมอบวิชาที่สามารถฝึกได้ถึงระดับหนึ่งมาฝึกทัพอู่เว่ย!”
“ไม่ได้” หลี่ว์ซู่ปฏิเสธ
จางเว่ยอวี่อึ้งในทันที วิชาที่สามารถฝึกถึงระดับหนึ่งทั้งห้าวิชานี้ หลี่ว์ซู่มีสิทธิ์อะไรมาห้าม จากนั้นเขาก็ดูสีหน้าของหลี่ว์ซู่ก็เข้าใจความกังวลของอีกฝ่าย…พวกเขาเอาออกมามากเกินไปและดีเกินไปในครั้งเดียว!
สำหรับหลี่ว์ซู่แล้ว อยู่ๆ มาเอาใจไม่ใช่เรื่องไม่ดี เขาเองไม่คิดจะให้ทัพอู่เว่ยเก่งกาจขนาดนั้น ส่วนเรื่องหน่วยทหารมังกรหลวงแค่คิดไปเรื่อยไม่ได้จริงจังอะไร
เพราะสุดท้ายเขาจะกลับไปที่โลก จักรวาลที่เขาเป็นแค่แขกรับเชิญเท่านั้น
หลี่ว์ซู่ไม่สงสัยวิชาของจริงเหล่านั้นของจางเว่ยอวี่ เพราะในสายตาของหลี่ว์ซู่ อีกฝ่ายสามารถเอาของพวกนี้ออกมาได้
แต่ปัญหาคือยิ่งอีกฝ่ายมีของดีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งยืนยันฐานะของเขาก่อนที่จะตกต่ำ คนที่สามารถมีพลังระดับหนึ่งได้นั้นควรเป็นมีฐานะแบบไหน จอมทัพสวรรค์? หรือคนรอบตัวราชาองค์เก่า?
ไม่ว่าจะเป็นตัวตนแบบไหน กรงว่าหลี่ว์ซู่จะไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมและถอยหนีออกมาได้อย่างหมดจด หลี่ว์ซู่เป็นคนที่ระมัดระวังตัวมาก เขาสามารถปฏิเสธการถ่ายทอดวิชาของหลี่เสียนอี แล้ววันนี้จะมีอะไรที่เขาปฏิเสธไม่ได้ล่ะ อีกอย่างก็ไม่ใช่วิชาที่หลี่ว์ซู่ต้องการ ที่ดาวและเคนโด้ของเขาจะอยู่ยงคงกระพัน … อย่างน้อยเขาก็คิดอย่างนั้น
แต่จางเว่ยอวี่รู้สึกไม่ยอมอยู่ “เดี๋ยวก่อน ทั้งห้าวิชานี้ไม่ใช่ว่าจะขอแล้วจะได้ง่ายๆนะ ตอนนี้พวกเราอยากให้ทัพอู่เว่ยยิ่งใหญ่ ที่นี่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้นมาก ฉันบอกให้ว่าพวกเรามีวิธีรีดเค้นศักยภาพของพวกเขา พวกเขามีพื้นฐานอยู่แล้ว ภายในครึ่งปีนายสุ่มหยิบทหารออกมาคนหนึ่งก็จะได้ระดับสี่ หรือแม้แต่ครึ่งกองทัพพัฒนาได้ถึงระดับสามด้วยซ้ำ! อย่างหลิวเชียนจือได้ระดับสามสบายๆ ฉันกล้ารับประกันว่าเขาได้ระดับสองแน่นอน!”
ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่เล่นไปตามเรื่องล่ะ
แม้ว่าทัพอู่เว่ยนี้จะเละเทะแต่คนเร่ร่อนพวกนี้เดิมก็มีพลังมากกว่าระดับห้าอยู่แล้ว ส่วนจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ มีวิธีพิเศษ เขาบอกหลี่ว์ซู่ว่าการฝึกกองทัพที่มีพลังอันดับสี่เป็นการพูดแบบรักษาตัวไว้ก่อน เพราะถ้าพูดแล้วทำไม่ได้ก็คงเสียหน้า วันหลังใครรู้เข้าจะทำให้หน่วยทหารมังกรหลวงเสื่อมเสียชื่อเสียงเอาได้
จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันที่ได้คุมทัพอู่เว่ยออกทัพและได้ข่มขวัญทุกคน…แค่คิดก็สนุกแล้ว มันเป็นความรู้สึกประสบความสำเร็จที่แตกต่างจากการฝึกฝนของพวกเขา