จี๊ด จี๊ด
ณ บริเวณใกล้เคียงของค่ายพักแรมที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้าอันมีดวงจันทร์กลมโตประดับเอาไว้ เหล่าแมลงในดงหญ้ากำลังส่งเสียงร้องออกมาอย่างแผ่วเบา ผมยืนมองรอบๆ อยู่ใต้ท้องฟ้าแสนมืดมิด อันมีดาวดวงน้อยหลากหลายดวงกำลังส่องประกายกันอย่างสวยงามจับใจ
ตามจริงแล้วเวลานี้คือเวลาที่ผมจะต้องกลับไปเฝ้าเวรตอนกลางคืน แต่ทว่าตอนเปลี่ยนเวรกันนั้น ผมได้ขอเวลาครู่หนึ่งกับเหล่าผู้เล่นที่มาร่วมยืนเฝ้าเวรด้วยกัน หลังจากนั้นผมจึงค่อยแยกตัวออกมาต่างหาก ที่ทำเช่นนั้นเพราะว่า ผมมีเรื่องอะไรบางอย่างที่จะต้องทำ
ผมเห็นโกยอนจูยืนตัวตรงอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ตรงหน้า ข้างๆ กันนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ เขาเงยหน้ามองโกยอนจูด้วยท่าทางที่ดูอ่อนเพลีย ไม่มีแรงเอาเสียเลย สีหน้าของเขาเรียกได้ว่าถึงขั้นซีดเซียวก็ย่อมได้ นัยน์ตาของเขาเองยังเจือปนไปด้วยความเหม่อลอย และแสงสีอ่อนจางระเรื่ออยู่ภายใน
“นอกจากสองคนในแปดคนแล้ว ตอนนี้ทุกคนกำลังแค้นแพคซอยอนอยู่อย่างนั้นสินะ”
“ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าถึงขั้นแค้นเลยหรือเปล่า เพราะพวกเขาไม่ได้แสดงออกมาน่ะครับ แต่หากลองสังเกตดู จะเห็นได้ว่าเขากำลังไม่พอใจกันอยู่ ผมเองก็เหมือนกัน”
“โอเคๆ วันดีคืนดีก็ไปร่วมกับพวกสะกดรอย ปล้นก็ไม่ได้ปล้น น่าเศร้าจังเลยนะ เนอะ? แล้วสองคนนั้นมีความสัมพันธ์กับแพคซอยอนอย่างไรบ้างล่ะ”
“ครับ มีอีแฮอินกับอีกาอินครับ กับอีแฮอินเห็นว่ารู้จักกันมาตั้งแต่พิธีเปลี่ยนสภาวะแล้วละครับ ส่วนอีกาอินนั้นเป็นคนที่แพคซอยอนแต่งตั้งให้เป็นพวกเร่ร่อนเองโดยตรงเลยครับ ผมเองก็ไม่รู้รายละเอียดปลีกย่อย แต่ผมเห็นว่าปกติแล้วพวกเขาก็สนิทสนมกันดีมาก ถึงขนาดพูดได้ว่าทั้งสองคนเป็นคนที่แพคซอยอนไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุดเลยละครับ ในบรรดาเหล่าพวกเร่ร่อนด้วยกันเอง ก็มีลักษณะนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่แล้วครับ แต่….”
โกยอนจูยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ หลังจากนั้นจึงหันหน้ามามองมาทางผม พอผมพยักหน้าไปให้หนึ่งที หล่อนก็กะพริบตาอยู่สองสามครั้ง แล้วจึงโบกมือไปมาเบาๆ ทันใดนั้นเอง ชายผู้นั้นจึงได้รับสีนัยน์ตาดั้งเดิมกลับคืนมา แล้วรีบก้มหัวมุดพื้นลงไปในทันที ผมได้ยินเสียงขึ้นจมูกฟืดๆ ดังมาถึงตรงนี้ ดูแล้วคงจะใช้พลังไปไม่น้อยเลย
“สุดยอดมากเลยครับ ปล่อยเจ้านี่ไว้ แล้วไปก่อนได้เลยครับ”
“แล้วซูฮยอนล่ะคะ”
“เดี๋ยวผมขอทำอะไรที่ควรจะต้องทำสักครู่หนึ่ง แล้วจะตามไปทีหลังครับ”
โกยอนจูเอียงคอสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงค่อยหมุนกายรีบเดินออกไปทันที ชายผู้นั้นกำลังขยับไหล่ขึ้นลง ผมใช้สายตากวาดมองเขา ก่อนที่จะเดินกลับไปยังค่ายพักแรม
ความมืดมิดเคลื่อนตัวต่ำลงมาปกคลุม ค่ายพักแรมจึงเงียบสงัดไปโดยปริยาย คนที่ทำหน้าที่เฝ้ายามค่ายพักแรมเหลือบตามอง แต่พอรู้ว่าเป็นผม เขาจึงเบนสายตากลับไปมองที่กองไฟอีกครั้งหนึ่ง ถึงผมจะได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วเบาอยู่เป็นระยะๆ แต่ก็ยังพยายามระมัดระวังไม่ทำให้ใครตื่น และก้มหน้าก้มตาจัดการกับสิ่งของจำเป็นเท่านั้น
ของกินที่เหลือจากมื้อค่ำวันนี้คือ สตูเนื้อหนึ่งชาม น้ำสะอาดหนึ่งขวดและยาน้ำสำหรับใช้รักษาอีกหนึ่งขวด ผมตระเตรียมสิ่งจำเป็นเหล่านี้ หลังจากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่คนเฝ้ายามรวมตัวกันอยู่
“ฉันขอไปด้วยสิ”
มีเสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นหยุดการเคลื่อนไหวของผม เจ้าของเสียงที่ว่านี้คือสาวน้อยนักฆ่าที่มักเล่นกับอันซลอยู่บ่อยๆ แสงสะท้อนจากกองเพลิงส่องมายังใบหน้าของหล่อน ทำให้ผมสามารถเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยเบื่อหน่ายได้อย่างเต็มตา อาจเป็นเพราะหล่อนหน่ายกับการยืนเฝ้าอยู่คนเดียวเต็มทีแล้ว และผมก็ปฏิเสธกลับไปทันทีทันใด
“ไม่ได้”
“ทำไมล่ะ”
“เธอยังเด็กเกินไป”
หลังจากเราจับพวกเร่ร่อนมาเป็นเชลยได้สำเร็จ เราได้เปลี่ยนแปลงตารางการเฝ้ายาม โดยจะมีอยู่ทั้งหมดสามช่วงเวลา ช่วงเวลาละสี่คน แต่ทว่าวันนี้ผมวางแผนไว้ว่าจะมีเรื่องราวอะไรพิเศษๆ สักเล็กน้อย เพราะฉะนั้นจึงให้พวกเร่ร่อนแยกตัวออกไปต่างหาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องมีคนเฝ้าค่ายอย่างน้อยหนึ่งคน และคนที่ได้รับหน้าที่นี้ไปก็คือ สาวน้อยนักฆ่าผู้นี้นี่เอง
“เดี๋ยวจะส่งให้ไปเฝ้าพวกเร่ร่อนทางโน้น เพราะงั้นไปเล่นกับพวกนั้นแทนก็แล้วกัน”
“ไม่เอา พวกนั้นไม่เห็นจะสนุกเลย หนูจะไปด้วย”
“ถ้าเธอยังมาเซ้าซี้ฉันอยู่แบบนี้ ฉันจะไม่ให้เล่นกับอันซลอีกนะ”
“อะ…อะไรกัน”
สาวน้อยนักฆ่าลุกขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าสลด แต่แล้วก็นั่งลงอีกครั้ง หลังจากผมพูดประโยคเมื่อครู่ไป หล่อนทำหน้าหงอยๆ มองมายังผม จนผมเกิดคิดขึ้นมาได้ว่าหล่อนก็น่ารักดีเหมือนกัน ผมยิ้มอยู่ในใจ แล้วจึงปลุกดวงตาที่สามขึ้นมาอีกครั้ง
ข้อมูลผู้เล่น (Player Status)
1.ชื่อ (Name) : คูเยจี (ปีที่ 1)
2.คลาส (Class) : นักฆ่า(Normal, Assassin, Runner)
3.นามแท้ • สัญชาติ : สาวน้อยแสนบริสุทธิ์ • สาธารณรัฐเกาหลีใต้
4.เพศ (Sex) : หญิง (15)
5.อุปนิสัย : เป็นกลาง • ดี (True • Good)
[พละกำลัง 52] [ความทนทาน 65] [ความคล่องแคล่ว 81] [ความแข็งแกร่ง 63] [พลังเวท 67] [โชค 58]
คะแนนพลังเหลือ 4 พอยต์
‘ปีที่หนึ่งหรอกเหรอ ไม่เลวเลยนี่’
“เชอะ ไม่ยอมรับหนูเข้าเป็นพวก หนูเกลียดพี่”
พอฟังคำพูดแง่งอนของหล่อนจบ ผมก็หมุนกาย เดินไปหาพวกเร่ร่อนที่ล้มพับทันที เขายังคงล้มพับอยู่กับดิน ไม่เงยหน้ามองสิ่งใดอยู่ดั่งเดิม ผมเองชักจะเบื่อเต็มทีเสียแล้วสิ เพราะเขาคนนี้เผชิญกับความโหดร้ายทารุณของเหล่าผู้เล่นมาตลอดระยะเกินกว่าสองสัปดาห์แล้ว
“ลุกขึ้น”
ผมตั้งใจว่าจะเตะไปที่หัวของพวกเร่ร่อน แต่แล้วก็เปลี่ยนความคิดมาเป็นช่วยพยุงแขนให้ลุกขึ้นมาแทน เขาจึงรีบลุกในทันที พวกเร่ร่อนกะพริบตาอยู่สามสี่ครั้ง ราวกับไม่เชื่อสายตาว่าผมช่วยจับแขนพยุงตัวเขาขึ้นมา หลังจากเขาก็เริ่มทำจมูกฟุดฟิดๆ เหมือนได้กลิ่นอะไรบางอย่าง ใช่แล้ว เขากำลังได้กลิ่นสตูเนื้อที่อุ่นมาร้อนๆ ผมใช้ช้อนตักเนื้อชิ้นใหญ่ขึ้นมา แกล้งทำท่าเหมือนจะกิน แล้วจึงค่อยหันไปมองเขา
“อยากกินสักคำไหมล่ะ”
พวกเร่ร่อนรีบก้มหน้างุดลงทันที เป็นเพราะสิ่งที่เขาได้เจอมาตลอดจนถึงตอนนี้ จึงทำให้เขาแสดงปฏิกิริยาปฏิเสธกลับมาอย่างธรรมชาติ แต่แล้วผมก็ไม่พลาดที่จะเห็นลูกกระเดือกของเขาที่กำลังขยับขึ้นลง ผมจึงยื่นช้อนเข้าไปใกล้ๆ ปากของเขา
“…”
พวกเร่ร่อนยังไม่ยอมตกเป็นเหยื่อโดยทันที ได้แต่ทำหน้าเหรอหรามองหน้าผมสลับกับช้อนอยู่เช่นนั้น
สถานการณ์เช่นนี้จึงทำให้ความเงียบสงัดได้กลับเข้ามาปกคลุมอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ผมได้ใช้ดวงตาที่สามยืนยันข้อมูลพวกเร่ร่อนแล้ว ผมจึงเปิดปากพูดด้วยท่าทีสุขุม
“ไม่กินเหรอ”
และในวินาทีที่ผมกำลังจะลดมือลงนั้นเอง พวกเร่ร่อนจึงหลับตาปี๋ งับเข้ามาที่ช้อนอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นใบหน้าของเขาเริ่มมีสีหน้าอะไรบางอย่างที่ผมไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด จะว่าเป็นความดีใจที่ได้กินอาหารอย่างสงบสุขอย่างที่ไม่เคยกินมานาน หรือว่าจะเป็นความซาบซึ้งก็ย่อมได้ ความสามารถในการปรุงอาหารของโกยอนจูโดดเด่นมาก ผมแค่แบ่งปันอาหารการกินต่างๆ ที่พอกินได้ ไม่ต้องอดตายอะไรให้กับเขาเท่านั้น
“กินหมดแล้วก็ไปซะ กลับไปที่เดิมด้วยละ”
“…ขอบคุณครับ”
ผมเผยรอยยิ้มออกมาหลังจากได้ยินคำตอบจากพวกเร่ร่อน หลังจากนั้นจึงหมุนกายมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่มีคนเฝ้ายามยืนอยู่
ขอบคุณงั้นเหรอ ผมเกิดคำถามมากมายว่าสถานการณ์ ณ ตอนนี้ เป็นสถานการณ์ที่จะต้องมาขอบคุณกันด้วยเหรอ
ผมเดินมาได้ประมาณห้านาที จึงเริ่มมองเห็นพื้นที่ว่างเปล่ากับแสงไฟส่องสว่างอยู่ตรงหน้าโน้น ที่โล่งแจ้งตรงนั้นมีพวกเร่ร่อนแปดคนกำลังนั่งคุกเข่าเรียงกันเป็นแถว สถานการณ์ในตอนนี้ทำเอาผมรู้สึกเวทนาพวกเร่ร่อนอย่างจับจิตจับใจ กินข้าวดีๆ ก็ไม่ได้กิน นอนหลับสบายๆ ก็ไม่ได้นอน ไหนจะต้องมาเผชิญหน้ากับความโหดเ**้ยมอีก หากอีกฝ่ายไม่ใช่พวกเร่ร่อนก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หลังจากผมสามารถทำลายระบบหมุนเวียนพลังเวทมนตร์ได้สำเร็จ ผมก็ไม่ได้แตะต้องสัมผัสพวกเร่ร่อนอีก หากจะพูดให้ถูกต้อง ต้องพูดว่าผมเมินเฉยต่อการกระทำต่างๆ ของเหล่าผู้เล่นมากกว่า
แพคซอยอนคือหนึ่งในพวกเร่ร่อนที่มีชื่อเสียงดังกระฉ่อน และจำนวนปีของหล่อนเองก็มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผมเช่นเดียวกัน ทั้งอุปนิสัยและลักษณะพิเศษต่างๆ ผมเองก็พอรู้อยู่บ้างในระดับหนึ่ง ดังนั้นผมจึงกำลังวางแผนอะไรบางอย่างที่จะทำให้เข้ากับสิ่งเหล่านั้นอยู่ เพราะฉะนั้นผมจึงแกล้งยินยอมให้เหล่าผู้เล่นได้ทำอะไรตามใจชอบจนกระทั่งถึงตอนนี้ ผมทำให้แผนที่วางไว้เข้ากับการกระทำที่สอดคล้องกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องมาขัดขวางกันเลย
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่จะเริ่มก้าวแรกของแผนการแล้ว
“ซูฮยอน มาแล้วเหรอคะ แล้วนั่น…สตู เอามาทำไมล่ะคะ”
ทันทีที่ผมก้าวเข้ามาในลาน โกยอนจูจึงแกล้งทำเป็นรู้ทัน ผมพยักหน้าตอบรับเบาๆ แล้วมองไปยังพวกเร่ร่อนที่พามาด้วย
เหล่าผู้เล่นยังคงกระทำอยู่เฉกเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีโกยอนจูอยู่ด้วยหรือไม่ ถึงได้วางตัวเช่นนั้น ผมวางชามสตูกับน้ำลงต่อหน้าพวกเร่ร่อนที่กำลังคุกเข่านั่งเป็นแถว ทันใดนั้นทุกสายตาจึงล้วนจับจ้องมาที่ผม
ผมหมุนตัวกลับไปครู่หนึ่ง แล้วมองเหล่าผู้เล่น พวกเขาทุกคนล้วนมีสีหน้าท่าทีสงสัย คงรู้สึกถึงอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลจากการกระทำของผม
ผมเปิดปากพูดออกไปอย่างสุขุม ซึ่งแฝงความหมายโดยนัยไปด้วยว่าผมจะไม่โต้แย้งกับใครหน้าไหนทั้งนั้น
“วันนี้ผมกับโกยอนจูจะเฝ้าพวกเร่ร่อนเองครับ ท่านอื่นๆ ขอให้กลับไปที่ค่ายพักแรม แล้วช่วยยืนเฝ้ายามกันด้วยนะครับ”
ณ ตอนนี้มีผู้เล่นที่กำลังยืนอยู่ที่นี่ทั้งหมดสี่คน หากเว้นผมกับโกยอนจูไป ก็จะเหลือเพียงแค่สองคน ซึ่งก็คือผู้เล่นที่มีแขนข้างเดียวกับนักบวชหญิง เขาทั้งสองคนหมุนตัวกลับไปด้วยสีหน้าสลด ไม่รู้ว่าเสียดายที่วันนี้ไม่สามารถกลั่นแกล้งพวกเร่ร่อนได้ตามใจชอบหรือไม่ ตอนนั้นผมคิดอะไรบางอย่างได้ขึ้นมา จึงรั้งตัวผู้เล่นคนหนึ่งที่กำลังจะเดินจากไป
“คุณนักบวช ขอเวลาสักครู่ครับ”
“…คะ?”
“คุณนักบวชช่วยอยู่ที่นี่สักครู่ก่อนได้ไหมครับ”
“…?”
นักบวชหญิงมีสีหน้างุนงง แต่แล้วหล่อนก็พยักหน้ารับพลางเดินกลับมาที่เดิม หลังจากนั้นพอผมเห็นว่าผู้เล่นที่เหลือแขนข้างเดียวเดินไปยังค่ายพักแรมเรียบร้อยแล้ว ผมจึงค่อยๆ ทอดมองบริเวณโดยรอบอย่างช้าๆ รอบกายล้วนเงียบสงัด ขณะนี้เรามีแขกคนพิเศษหรือผู้ช่วยของผม โกยอนจู, นักบวชที่ได้เตรียมตัวไว้แล้ว และพวกเร่ร่อนอีกเก้าคน เวทีของเราได้ถูกตระเตรียมไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว