ผมลอบเลียริมฝีปาก แล้วมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเร่ร่อน พวกเขาทั้งหมดล้วนเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยใบหน้าที่แสนซูบเซียว และในวินาทีที่ผมกำลังจะเอื้อนเอ่ยคำใดออกไปนั่นเอง
“เลิกอวดเก่งสักทีเถอะ”
น้ำเสียงอันแสนเย็นชาดังขึ้นทำเอาผมถึงกับพูดต่อไม่ได้ ทันทีที่ผมเบนสายตาไปมองต้นเสียงนั้น ผมก็พบเข้ากับแพคซอยอนที่กำลังจ้องตาเขม็ง
“อวดเก่งอะไร แล้วจะให้เลิกอะไรล่ะ”
แพคซอยอนมองสตูและน้ำที่วางอยู่ตรงหน้า หลังจากนั้นจึงพูดออกมาอย่างเยือกเย็น
“นายพาพวกเราไปทีละคน ทีละคนในทุกๆ คืน และฉันรู้ว่านายลงมือทำอะไรไปบ้าง ถ้าคิดว่าจะเอาอาหารมาให้ ทำตัวแสนดีกับพวกเรา ก็ขอให้เลิกคิดไปเสียจะดีกว่า เพราะฉันจะไม่มีวันทำตามคำสั่งของนายเด็ดขาด ไอ้พวกสัตว์เดรัจฉาน”
“นั่นมันความคิดของเธอ แล้วอะไรนะ สัตว์เดรัจฉานหรอ พูดแรงจังเลยนะ ฉันจำได้ว่าไม่เคยแตะต้องอะไรพวกเธอเลยนี่นา”
“เฮอะ นายฆ่าสหายของพวกเรา แล้วก็ทำลายระบบหมุนเวียนพลังเวทด้วยไม่ใช่หรือไง นายนั่นแหละที่ทำให้พวกเราต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ แล้วยังจะมาอะไรอีก”
ผมไม่ได้ตอบโต้หล่อนกลับไปในทันที ผมเว้นจังหวะพูดครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยเปิดปากพูดกลับไปว่า
“น่าขำชะมัดยาก พวกเธอทั้งนั้นที่เขามาบุกโจมตีเมืองในตอนแรก แล้วก็พวกเธออีกนั่นแหละที่ไล่ล่าตามพวกเรามา สุดท้ายแล้วเลยโดนจับตัวเป็นเชลยแบบนี้ไงละ ฉันไม่ได้ฆ่าศัตรูคนไหนสักคน แล้วไหนช่วยบอกหน่อยซิ ว่ามีเหตุผลอะไรที่จะมาห้ามไม่ให้ฉันฆ่าศัตรูและห้ามไม่ให้ฉันทำลายระบบหมุนเวียนพลังเวทเพื่อส่งตัวพวกเธอในฐานะเชลยศึกกลับไปในสถานการณ์แบบนี้”
“…”
แพคซอยอนไม่ตอบอะไรกลับมา พร้อมกับจ้องผมตาเขม็งอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ถึงอย่างนั้นการกระทำเช่นนี้ก็ไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไป เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ที่ถนัดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“อะไรกันเล่า ฉันน่ะไม่ได้เข้าไปแตะต้องอะไรเลยด้วยซ้ำ ก็แค่มองเฉยๆ เท่านั้นแหละ ในทุกๆ คืนฉันก็ได้แค่สั่งราชินีแห่งเงามืด ขุดค้นข้อมูลอะไรบางอย่างเท่านั้น ฉันคิดว่าพวกเร่ร่อนอย่างเธอ สมควรที่จะได้เจอกับอะไรแบบนั้นแล้วละ ความคิดส่วนตัวนะน่ะ”
ผมหยุดพูดไปชั่วครู่หนึ่งและหันไปลอบมองปฏิกิริยาของพวกเร่ร่อน มีความจริงที่น่าสนใจอยู่ประการหนึ่ง คือ ผมเห็นว่าบางส่วนมีสีหน้าแสดงถึงความคาดหวังอะไรบางอย่าง
พวกเร่ร่อนได้เผชิญความทุกข์ทรมานอย่างไร้ความปรานีมาตลอดจนกระทั่งถึงตอนนี้ ตลอดระยะเวลาเกือบสามสัปดาห์ พวกมันไม่สามารถนอนหลับได้อย่างเต็มอิ่ม ซ้ำร้ายยังต้องมาเจอกับความโหดเ**้ยมจากเหล่าผู้เล่น อาหารและน้ำดื่มต่างๆ ก็มีการแบ่งปันจัดสรรให้ในปริมาณที่แสนน้อยนิด ในทุกๆ ค่ำคืนยังต้องเจอกับดวงตาแห่งการล่อลวง ซึ่งทำให้พลังจิตของพวกเขาทรุดโทรมลงไปอย่างรวดเร็ว และตอนนี้ตัวเมืองที่เรากำลังจะมุ่งหน้าไป อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว พวกเขาคงต้องกำลังรู้สึกอึดอัดใจมากขึ้นในทุกๆ วินาทีอย่างแน่นอน
และในสถานการณ์เช่นนี้ เราจึงได้ตระเตรียมตำแหน่งสำหรับผู้มีอำนาจสูงสุดที่จะสามารถตัดสินใจเรื่องสวัสดิการต่างๆ ของพวกเร่ร่อน ณ ขณะนี้ขึ้นมา ตัวผมไม่ค่อยใส่ใจอะไรกับสิ่งนี้มากมายนัก แต่ตอนนี้กลับเกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาบ้างเสียแล้วสิ ผมเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าพวกเร่ร่อนจะยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้หรือไม่
“แต่ฉันก็พอได้ยินเรื่องราวอะไรบางอย่างมาก่อนหน้านี้นะ บางคนในกลุ่มเร่ร่อนเองก็มีข้อเท็จจริงอะไรบางอย่างเก็บไว้อยู่นี่นา เช่น โดนลักพาตัวมาบ้าง หรือไม่ก็ได้มาเป็นพวกเร่ร่อน เพราะสาเหตุอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็…”
“เฮอะ เล่นสนุกอะไรอยู่ล่ะ งั้นไอ้พวกที่มีข้อมูลอะไรแบบนั้นอยู่ นายก็จะปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไป อย่างนั้นล่ะสิ”
“แพคซอยอน ฉันยังพูดไม่จบ”
“เฮอะ งั้นเหรอ โทษที งั้นฉันจะบอกอะไรให้ฟังอีกอย่างนะ เลิกพูดจาหมาๆ สักที คนจิตใจชั่วช้าอย่างนาย ใครเขาจะ…”
“หุบปาก”
วินาทีที่ผมพูดออกไปเสร็จ เงาของแพคซอยอนเกิดสะดุ้งโหยง และปิดปากฉับทันที
“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าใครเข้ามาแส่โดยฉันไม่อนุญาต ฉันจะฆ่าทิ้งให้หมด”
ความกระหายเลือดเอ่อล้นออกมาบริเวณขอบตาผม พวกเร่ร่อนที่เห็นภาพดังนั้นจึงเกิดอาการสะดุ้งหวาดกลัวในทันที ผมจึงค่อยๆ คลายความกระหายเลือดของตัวเองให้เลือนออกไปอย่างช้าๆ แล้วจ้องไปยังพวกเร่ร่อนที่กำลังเกิดอาการไม่พอใจในตัวแพคซอยอน ในดวงตาของพวกเขากำลังจมดิ่งไปกับความเสียใจและเสียดายในตัวหล่อนอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้
“ฟังให้ดี ฉันไม่ได้จะมาบอกว่าขอล้วงลับอะไรจากพวกเธอ ฉันไม่ได้สนใจอะไรมันทั้งนั้น บาปที่เคยก่อไว้ยังไงก็ไม่มีวันเลือนหายไม่ใช่หรือไง เพราะฉะนั้นทันทีที่กลับไปถึงเมือง ฉันคิดว่าจะตัดสินคดีพวกเธอทุกคน โดยจะอิงตามกฏระเบียบต่างๆ”
“…”
“แต่ในบรรดาพวกเธอเอง คงมีบางคนที่รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่ไม่มากก็น้อยใช่ไหมล่ะ ถ้าไม่เช่นนั้นก็คงมีพวกเร่ร่อนบางคนที่อยากได้สถานะกลับคืนมาเป็นผู้เล่น แล้วจึงค่อยเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ก็นั่นแหละ ฉันกำลังจะบอกว่าฉันจะมอบโอกาสนั้นให้กับพวกเธอเอง”
บังเกิดความเงียบสงบ ไร้ซึ่งเสียงใดๆ อยู่ชั่วขณะ อ้า จะเรียกว่าเงียบสนิทเลยก็ไม่ใช่ เพราะผมได้ยินเสียงเหมือนแพคซอยอนกำลังอดทนอดกลั้นอะไรบางอย่าง ดูแล้วหล่อนคงมีอะไรที่อยากจะพูด
“งั้น…คุณจะไว้ชีวิตพวกเราใช่ไหมครับ”
ในตอนนั้นผมได้ยินคำถามของใครบางคน ฟังจากน้ำเสียงแล้วไม่รู้ว่าเกิดจากการอ่อนเพลียหรือระมัดระวังในการใช้เสียงกันแน่ พอผมหันหน้ากลับไปมอง ผมจึงเห็นผู้ชายคนนั้นที่ได้กินสตูไปหนึ่งช้อนเมื่อครู่ อีกทั้งผมยังได้ยินเสียงฟึดฟัดจากแพคซอยอนที่อยู่ข้างๆ กันด้วย แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรหล่อน ช่วงเวลานับต่อจากนี้ต่างหากที่สำคัญ อย่างน้อยผมต้องเปิดโอกาสให้เขาได้พูดความจริง ดีกว่าจะให้พูดงกๆ เงิ่นๆ คะยั้นคะยอไม่รู้จักจบจักสิ้น
ในช่วงที่ทุกสายตาล้วนจับจ้องมายังผมและชายผู้นั้น ผมจึงพยักหน้าตอบรับเขาอย่างช้าๆ
“น่าเสียดาย แต่ฉันไม่สามารถรับประกันอะไรได้ทั้งนั้น ก็ตามที่ฉันพูดไปเมื่อกี้นั่นแหละ ฉันคิดว่าจะส่งพวกนายทุกคนเข้าไปรับการตัดสินคดี”
“อืม…”
“ก่อนอื่นฉันต้องขอแนะนำตัวสักหน่อยสินะ ฉันคิมซูฮยอน แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ ส่วนทางนั้นคือโกยอนจู ราชินีแห่งเงามืด เคยได้ยินชื่อมาก่อนบ้างหรือเปล่าล่ะ”
“ครับ เคยได้ยินชื่อพวกท่านทั้งสองคนเลยครับ”
คำพูดของพวกเร่ร่อนได้แปรเปลี่ยนมาเป็นความสุภาพเรียบร้อยในที ผมเก็บความเชื่อมั่นไว้ในใจ แล้วจึงพูดออกไปด้วยท่าทีนิ่งเฉย
“แต่ว่าหากพวกเธอได้เปลี่ยนความคิดไป ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเธอจะไม่มีเส้นทางเดินต่อในชีวิตนะ สรุปสั้นๆ ก็คือ พวกเราสองคน ซึ่งก็คือฉันกับราชินีแห่งเงามืด คิดว่าจะละเว้นเฉพาะพวกเร่ร่อนที่ยอมเปลี่ยนความคิดเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นจึงจะคอยช่วยแก้ต่างให้“
“งั้น…”
“ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพวกเธอแล้วละ ถ้าเธอมีเรื่องทุกข์ร้อนใจ รู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมอะไร ก็ขอให้ช่วยชี้แจงแถลงไขออกมา แล้วใครที่ก่อร่างสร้างบาปไว้ จะต้องสร้างคุณงามความดีให้เท่ากับที่จะสามารถกลบความชั่วเหล่านั้นให้มิดไปให้ได้”
“คุณงามความดีหรอครับ…หมายถึงให้พวกเราขายข้อมูลหรือเปล่า”
“คิดดีๆ สิ ข้อมูลเกี่ยวกับสงครามในครั้งนี้ ส่วนใหญ่เขาก็รู้ดีกันอยู่แล้ว แต่พวกเราน่ะไม่คิดจะค้นหาข้อมูลทั้งหมดทั้งมวลอะไรนั่นหรอก แพคซอยอนที่อยู่ตรงนู้นน่ะ ยังไงก็ต้องโดนลงโทษแน่นอนอยู่แล้ว ไม่สิ ถ้าเธอได้รับแค่การลงโทษก็ถือว่าโชคดีสุดๆ แล้ว แต่ว่าพวกเธอน่ะไม่ถึงระดับหล่อนคนนั้นไม่ใช่หรือไง พอเธอไปก็จะถูกทรมาน แล้วพอคายข้อมูลที่มาจากการโดนล้างสมอง สุดท้ายยังไงก็จะต้องตายใช่ไหมล่ะ แต่ถ้าหากเธอยอมคายข้อมูลออกมา ไม่ว่าจะพูดตามใจตัวเองหรือตามใจคนอื่นคนใด แต่อย่างน้อยก็จะถือว่าเธอเปลี่ยนใจอย่างแน่นอนแล้ว และพวกเราจะช่วยชีวิตเธอเอาไว้เอง อ้า ไม่ถึงกับเป็นการให้บริการอะไรขนาดนั้นหรอกนะ แต่เราจะรับรองชีวิตการเป็นเชลยศึกของพวกเธอให้เป็นไปอย่างปกติสุขที่สุด จนกว่าพวกเราจะไปถึงเมืองในภายภาคหน้า และก็…”
ผมเว้นช่วงหายใจไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดเสริมต่อท้ายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ระบบหมุนเวียนพลังเวทมนตร์น่ะอาจจะยังมีใช้การได้อยู่บ้าง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของแต่ละคนด้วย อาจจะใช้เวลาสักเล็กน้อย แต่หากเรายืมพลังของแท่นบูชามาใช้ ก็ยังพออยู่ในระดับที่สามารถกลับคืนสู่สภาพปกติได้”
“ดะ เดี๋ยวก่อนนะครับ…”
“สิ่งที่ฉันจะพูดก็มีเพียงเท่านี้แหละ จะไม่มีการพูดคุยเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว อย่างไรก็ตามก็ตัดสินใจเอาเสีย จะฆ่าตัวตายไปทั้งอย่างนี้ หรือจะอยู่อย่างยากลำบาก แล้วค่อยตายไปอย่างไร้ค่า ถ้าไม่อย่างนั้นก็…”
ผมหยุดพูดไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงยื่นชามสตูอันแสนเย็นชืดพร้อมกับน้ำสะอาดออกไปด้านหน้าอีกเล็กน้อย
“ฟังคำที่ฉันพูด แล้วลงมือกินเสีย”
และในตอนนั้นเอง ชายคนหนึ่งที่เริ่มพูดกับผมได้ตะเกียกตะกายมาอยู่ข้างหน้า หลังจากนั้นก็รีบก้มหน้าก้มตาลงไปที่ชามอย่างไม่รีรอ แพคซอยอนมองเขาที่เริ่มลงมือกินสตูอย่างมูมมามด้วยสายตาที่ไม่อยากเชื่อ ด้านพวกเร่ร่อนคนอื่นๆ เองก็มองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายใจเช่นกัน ผมมองดูภาพเหล่านั้นแล้วจึงพูดออกไปด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ
“ไม่มีเพิ่มแล้วใช่ไหม”
“…”
“ถ้าไม่มีก็โอเค งั้น…”
“ดะ เดี๋ยวก่อน!”
ผมก้มมองลงด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก ทั้งชามสตูและขวดน้ำต่างก็ถูกจัดการจนหมดเกลี้ยงใสแจ๋วจนแทบไม่ต้องล้างจานเลย พอผมหันหน้าไปมองข้างๆ กันนั้น จึงได้เห็นชายคนหนึ่งที่มีสีหน้าผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด และอีกคนเป็นพวกเร่ร่อนหญิงที่ก้าวออกมาต่อจากชายคนนั้น หญิงสาวผู้นั้นกำลังดื่มน้ำที่โกยอนจูป้อนให้อึกใหญ่ ทั้งๆ ที่ปากหล่อนยังคงเปรอะเปื้อนไปด้วยสตูเนื้อแสนอร่อย
ท้ายที่สุดแล้ว เราจึงมีจำนวนคนที่ยอมก้าวข้ามมาฝั่งของเราทั้งหมดสองคนด้วยกัน ส่วนอีกเจ็ดคนที่เหลือนั้นต่างก็นั่งอยู่แต่กับที่ของตัวเอง บางคนดูลุ่มหลงกับภาพที่อยู่ตรงหน้า แต่ถึงกระนั้นผมยังรู้ทันแพคซอยอนอยู่ดี หล่อนได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัดราวกับสติจะแตก และยังไม่ยอมลุกออกมาแต่โดยดี
ในปริมาณเพียงเท่านี้นั้นนับว่ายังคงขาดแคลน หากจะให้ว่ากันตรงๆ คือคำพูดที่ผมเอื้อนเอ่ยออกไปนั้นล้วนดูสดใส สวยงามไปเสียทั้งหมด แต่พวกนั้นอาจจะคิดว่าอาจถูกผมฆ่าก็ได้ ข้อมูลที่ออกมาจากปากแพคซอยอนมีคุณค่ามากเกินกว่าข้อมูลจากพวกเร่ร่อนประเภทนั้นร้อยคนเสียอีก
แต่ผมทราบดีว่าหล่อนเป็นคนโหดเ**้ยมอำมหิตถึงเพียงใด เพราะฉะนั้นการทำลายจิตใจหล่อนด้วยวิธีทั่วไป นับเป็นเรื่องยากลำบากพอสมควร ดังนั้นผมจึงตัดสินใจว่าจะเริ่มดำเนินแผนการที่สองในทันที
“โกยอนจู ช่วยคลายปมที่มัดปากแพคซอยอนสักครู่หนึ่งหน่อยสิครับ”
“เฮ้ย ไอ้พวกโง่! ทำไมถึงยอมข้ามไปฝั่งพวกมันล่ะวะ พวกแกนี่แม่ง…!”
“ช่วยปิดปากทีครับ”
“อ…อึบ! อึก! อ่อยอะเอ้ย!”