สายฟ้าเทวะ..อสุนีบาตสีทองเส้นใหญ่นั้นเปล่งแสงสีเหลือเรืองรองไปทั่วทั้งบริเวณ แม้แต่ผู้คนที่อยู่ห่างจากบ้านเลขที่-1 ไปหลายสิบกิโลเมตร ก็ยังสามารถเห็นแสงทองอร่ามนี้ได้..
…………..
บนยอดเขาหลงเหมิน..
“อามิตตาพุทธ!”
เมื่อหลิงหยุนนำสร้อยประคำของพุทธองค์ออกมาสะกดปีศาจภัยแล้งไว้นั้นหลวงจีนเจี๋วยหยวนที่กำลังก้มหน้าก้มตาช่วยกันฝังร่างไร้วิญญาณของเหล่ายอดฝีมืออยู่บนเขา จู่ๆ ร่างสูงใหญ่ของเขาก็สั่นสะท้าน และค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ก่อนจะหันหน้ามองไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม และเปี่ยมไปด้วยความนอบน้อม..
หลวงจีนเจี๋วยหยวนสัมผัสได้ถึงพลังพุทธะที่แข็งแกร่งและบริสุทธิ์ยิ่งนัก! และพลังแห่งพุทธะนี้ก็กำลังแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว..
พลังพุทธะที่บริสุทธิ์และแข็งแกร่งนี้ เมื่อแผ่ขยายมาถึงบริเวณยอดเขาหลงเหมินนั้น ก็ได้อ่อนกำลังลงไปมากแล้ว แต่ถึงกระนั้นหลวงจีนเจี๋ยวหยวนที่เพิ่งจะเข้าสู่ระดับที่สองของขั้นเซียงเทียน-9 กลับสามารถสัมผัสถึงพลังพุทธะได้อย่างชัดเจน..
“ท่านเจี๋วยหยวน..เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ เกิดอะไรขึ้นกับเด็กหลิงหยุนหรือไม่?”
นักพรตชงซวีเห็นท่าทางผิดปกติของหลวงจีนเจี๋วยหยวนก็รีบร้องถามออกไปทันที และแน่นอนว่าเขานั้นไม่สามารถสัมผัสถึงพลังแห่งพุทธะได้..
หลวงจีนเจี๋วยหยวนไม่ตอบเขายังคงนิ่งอยู่ในสมาธิ และจดจ่ออยู่กับพลังแห่งพุทธะนั้น แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หลวงจีนเจี๋ยวหยวนก็สัมผัสได้ถึงแห่งพลังพุทธะที่แข็งแกร่งอีกระลอก และครั้งนี้ดูเหมือนจะมีพลังอำนาจมากกว่าพลังพุทธะที่เขาสัมผัสได้ในครั้งแรกเสียอีก..
และในเวลานั้น..ก็เป็นช่วงเวลาที่หลิงหยุนเรียกตะเกียงน้ำมันออกมาจากแหวนพื้นที
หลวงจีนเจี๋วยหยวนทำปากขมุบขมิบก่อนจะคุกเข่าหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และพนมมือสาธยายมนต์แห่งพุทธองค์..
ศิษย์สำนักเส้าหลินเห็นหลวงจีนเจี๋วยหยวนทำเช่นนั้นแม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทุกคนต่างก็ปฏิบัติตามอย่างไม่ลังเล..
หลวงจีนเจี๋วยหยวนนั่งสวดมนต์อยู่เช่นนั้นนานถึงสิบนาทีจนกระทั่งไม่สามารถสัมผัสพลังพุทธะได้อีกแล้ว เขาจึงลุกขึ้นยืน..
“ท่านชงซวี..ขึ้นไปบนยอดสูงสุดกับข้าเร็วเข้า!”
หลวงจีนเจี๋วยหยวนพูดจบ..ก็รีบเดินนำนักพรตชงซวีขึ้นไปบนยอดสูงสุดของเขาหลงเหมินทันที และเวลานี้ทั้งคู่ก็ไปยืนอยู่ในจุดที่สูงที่สุดของเขาหลงเหมิน และกำลังจ้องมองไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อย่างเงียบๆ
นักพรตชงซวีกระโดดตามเข้าไปยืนอยู่ข้างกายหลวงจีนเจี๋วยหยวนจากนั้นจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“ท่านเจี๋วยหยวน..มันเกิดอะไรขึ้น นี่ท่านกำลังจะบอกอะไรข้ากันแน่?”
สีหน้าของหลวงจีนเจี๋วยหยวนมีแววหนักใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า“มีปีศาจปรากฏตัวขึ้นแล้ว เมืองจิงฉูคงต้องเข้าสู่ความวุ่นวายโกลาหลอย่างแน่นอน..”
นักพรตชงซวีถึงกับสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีเขาร้องถามออกมาด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน
“ห๊ะ!ถ้าเช่นนั้นพวกเราควรทำเช่นไรดี? หรือพวกเราสองคนจะรีบไปจัดการกับปีศาจตนนั้นเดี๋ยวนี้?”
หลวงจีนเจี๋วยหยวนส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น“ไม่ทันแล้ว..”
นักพรตชงซวีร้องออกมาอย่างหงุดหงิดใจ“ก็ถ้าท่านไม่นั่งคุกเข่าอยู่นานสองนานเช่นนั้น.. ป่านนี้พวกเราก็คงไปถึงแล้ว!”
หลวงจีนเจี๋วยหยวนตอบเสียงเบา“ข้ากำลังกราบไหว้พุทธองค์..”
นักพรตชงซวีถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ“พุทธองค์งั้นรึ พุทธองค์อะไรกัน?”
หลวงจีนเจี๋วยหยวนพูดขึ้นด้วยท่าทางที่สงบนิ่ง“เป็นพุทธองค์จริงๆ!”
จากนั้นหลวงจีนเจี๋วยหยวนก็ยกมือขึ้นชี้ไปที่เส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ท่านดูนั่น!”
นักพรตชงซวีเงยหน้ามองไปยังทิศทางที่หลวงจีนเจี๋วยหยวนชี้แล้วก็ถึงกับนิ่งแข็งไปทันที ก่อนจะระล่ำระลักถามออกไปว่า
“นี่..นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
และไม่จำเป็นที่หลวงจีนเจี๋วยหยวนจะต้องตอบเพราะจากนั้นเมฆดำทะมึนเหล่านั้น ก็ได้ทำให้ช่องว่างระหว่างสวรรค์กับผืนดิน เต็มไปด้วยอสุนีบาตมากมายนับไม่ถ้วน..
นักพรตชงซวีถึงกับอึ้งไปเขายกมือขึ้นชี้ไปทางอสุนีบาตจำนวนมาก จากนั้นก็ไม่สามารถพูดอะไรออกไปมากกว่านั้นได้..
“นี่..นี่มัน.. นี่มัน..”
ครั้งนี้หลวงจีนเจี๋วยหยวนเองก็ถึงกับตกใจอย่างมากเช่นกันริมฝีปากของเขาอ้าออกกว้างขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็หลุดคำพูดออกมาได้เพียงแค่สั้นๆ
“ทัณฑ์สวรรค์..”
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9ทั้งสองคน ได้สัมผัสและชื่นชมกับพลังที่ซ่อนเร้นของโลกใบนี้!
“ผู้ใดกันผู้ใดที่กำลังรับทัณฑ์สวรรค์นั่น? ปีศาจอย่างนั้นรึ? รับทัณฑ์สวรรค์ในจิงฉูนี่นะ?!”
นักพรตชงซวีได้แต่จ้องมองทัณฑ์เมฆาที่ดำทะมึนอยู่ไกลๆและจ้องมองอสุนีบาตที่เพิ่มขนาด และปริมาณขึ้นเรื่อยๆ
แต่แล้วจู่ๆก็ทำสีหน้าตกใจเมื่อคิดได้ว่า หลิงหยุนเพิ่งจะลงจากเขาหลงเหมินไป และหลวงจีนเจี๋วยหยวนก็เพิ่งจะพูดเรื่องที่หลิงหยุนคือผู้บ่มเพาะตนที่แท้จริง!
“เป็น..เป็นเขางั้นรึ ไม่.. เป็นไปไม่ได้! ขั้นของเขายังไม่แก่กล้าพอ!”
หลวงจีนเจี๋วยหยวนเอาแต่นิ่งเงียบ..แต่ใบหน้าของเขานั้นกลับเคร่งขรึม แววตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง และสงสาร แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นประหลาดใจสลับหมุนเวียนกันไป..
จนกระทั่งอสุนีบาตเส้นสุดท้ายปรากฏขึ้นมันคือสายฟ้าเทวะที่โหดร้ายรุนแรง หลวงจีนเจี๋วยหยวนถึงกับต้องพึมพำออกมาอีกครั้ง
“อามิตตาพุทธ!”
นักพรตชงซวีเองก็ตกตะลึงมากเช่นกันและได้แต่พึมพำออกมาเบาๆ “สวรรค์เมตตา..”
และในขณะที่หลิงหยุนถูกสายฟ้าเทวะสีทองฟาดใส่ร่างนั้นผู้คนในดินแดนลึกลับบางแห่งในประเทศจีน ต่างก็กำลังเจ็บปวด และโกรธขึ้งไปด้วย..
…………
แคว้นปาฉู่เขาชิงเฉิง..
เขาชิงเฉิงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศจีนมีจุดชื่นชมทัศนียภาพที่สวยงามอยู่มากมาย แม้ว่าจะมีขุนเขา และแม่น้ำที่งดงามอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่ก็นับว่าเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดด้วย..
ลึกเข้าไปในเขาชิงเฉิงนั้นมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ พวกเขาใช้ยอดเขาสูงเสียดฟ้าแยกตัวเองออกจากโลกภายนอก และซ่อนเร้นกายอยู่บนยอดเขาสูง..
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าบนยอดเขาชิงเฉิงที่สูงเสียดฟ้านี้จะมีอารามแห่งหนึ่งตั้งอยู่ด้านบน..
แม้ว่าอารามแห่งนี้จะงดงามแต่ก็ถูกเมฆขาว และต้นไม้ที่หนาแน่นปกปิดไว้อย่างมิดชิด คนธรรมดาทั่วไปจึงยากนักที่จะพานพบอารามแห่งนี้ได้..
และที่นี่ก็คือที่ตั้งของอารามจิ้งซิน..
เวลานี้..ภายในห้องกรรมฐานที่เรียบง่ายของอารามจิ้งซิน หญิงสาวสวมชุดเสื้อคลุมสีเทาแบบนักบวชเต๋านางหนึ่ง กำลังนั่งทำสมาธิอยู่บนอาสนะ..
ด้านหน้าของนางนั้นมีมู่อวี๋(เครื่องดนตรีฝ่ายสงฆ์ที่ใช้เคาะ) ตั้งอยู่ หญิงสาวผู้นี้นั่งขัดสมาธิอยู่ที่หน้าทางเข้า และชุดนักบวชที่หลวมโคร่งนั้น ก็บดบังเรือนร่างที่แท้จริงของนางไว้ แต่ก็พอจะดูออกว่าหญิงสาวนางนี้กำลังนั่งฝึกฝนวิชาอยู่นั่นเอง..
มือข้างหนึ่งของหญิงสาวนางนี้วางพนมอยู่บนอกในขณะที่ริมฝีปากก็ขยับไปมาอย่างรวดเร็วคล้ายกำลังสาธยายมนต์อยู่..
ความจริงแล้วนางกำลังฝึกวิชาจิตพิสุทธิ์..
แต่แล้วจู่ๆนางก็มีอาการคล้ายกับเจ็บปวดที่หัวใจ จนไหล่ทั้งสองข้างถึงกับสั่นเทิ้ม จากนั้นร่างในชุดนักบวชสีเทาก็ลุกขึ้นยืน และกระโจนออกจากห้องกรรมฐานทันที ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด หญิงสาวนางนี้กำลังจ้องมองออกไปด้านนอกอารามจิ้งซิน!.novel-lucky.
จากนั้น..นางจึงใช้วิชาตัวเบากระโดดไปตามยอดไม้ และออกนอกอารามจิ้งซินไปทันที หญิงสาวผู้นี้กำลังยืนจ้องมองไปทางเส้นขอบฟ้าทางด้านตะวันออกด้วยร่างกายที่สั่นเทิ้ม..
คืนนี้..บนเขามีลมพัดค่อนข้างรุนแรง จนชุดนักบวชสีเทานั้นปลิวสะบัดรัดเรือนร่างงดงามไว้จนแนบแน่น เผยให้เห็นเรือนร่างที่เย้ายวนร้อนแรงซึ่งซ่อนอยู่ภายใน หากชายใดได้พบเห็นเข้า คงจะต้องหยุดมอง และคงจะไม่สามารถก้าวเท้าต่อไปได้แม้แต่ก้าวเดียว..
หญิงสาวนางนี้ดูเหมือนจะอายุราวยี่สิบปีสูงราวหนึ่งเมตรเจ็ดสิบเซนติเมตร ผิวนวลเนียนละเอียดนั้นขาวดั่งหิมะ ไม่เพียงดวงหน้าของนางจะงดงามยิ่งนัก แต่ดวงตาคู่นั้นกลับยิ่งมีเสน่ห์ดุจดวงตาของหงส์ ส่วนเว้าส่วนโค้งของเรือนร่างนั้นก็กลมกลึงอย่างไร้ที่ติ เพียงแค่ยืนอยู่นิ่งๆ เสน่ห์งดงามแห่งหญิงสาวก็เปล่งรัศมีออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน..
แต่ถึงกระนั้น..ดวงตาคู่งามดั่งหงส์กลับเย็นชา และไร้อารมณ์ความรู้สึก หากผู้ใดได้พบเห็นสายตาเย็นชาเช่นนี้ คงจะไม่กล้าเข้าใกล้ และคงต้องรีบถอยหนีห่างไปให้ไกลที่สุด..
เวลานี้..หญิงสาวผู้นั้นยืนอยู่บนหน้าผาแห่งหนึ่ง สายตายังคงจับจ้องไปทางทิศตะวันออก และสายตาของนางมองเลยผ่านขุนเขาและสายน้ำไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งก็คือเมืองจิงฉูนั่นเอง..
หากหลิงหยุนได้พบเห็นหญิงสาวผู้นี้เข้าเขาย่อมจำได้อย่างแม่นยำ เพราะนางก็คือเฉิงเม่ยเฟิง!
หลังจากที่เฉิงเม่ยเฟิงได้กลืนโอสถไร้ใจเข้าไปนางก็ลืมสิ้นความรักทั้งหมดที่เคยมีในจิตใจ จากนั้นจึงติดตามแม่ชีมี่ยู่กลับมาที่อารามจิ้งซินแห่งนี้ และเพียงแค่ครึ่งเดือนเฉินเม่ยเฟิงก็สามารถฝึกฝนจากขั้นโฮ่วเทียน-7 จนสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้ แต่หลังจากที่ตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนวิชาอย่างหนัก ในตอนนี้นางก็ได้เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-3 แล้ว!
แม้ว่าเฉิงเม่ยเฟิงจะกลืนโอสถไร้ใจเข้าไปและจิตใจของนางได้ถูกชำระล้างจนสะอาดบริสุทธิ์แล้ว อีกทั้งเฉิงเม่ยเฟิงยังเฝ้าฝึกฝนวิชาจิตพิสุทธิ์อยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน แต่ถึงกระนั้นก็ตาม.. สิ่งเหล่านั้นก็ไม่สามารถชำระล้างจิตใจของนางให้บริสุทธิ์อย่างแท้จริงได้..
ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในอารามจิ้งซินนั้นนางรู้สึกราวกับว่าได้สูญเสียบางอย่างที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป! จิตใต้สำนึกยังคอยร้องเตือนนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า..
ให้กลับไปกลับไปหาสิ่งนั้น!’
“พี่ใหญ่..พี่ยังรอให้หลิงหยุนกลับมาหาพี่หรือเปล่า”
ในวันที่สองพี่น้องร่ำลากันนั้นน้องสาวของนางเฉิงเมี่ยนได้พูดประโยคนี้ และเอ่ยชื่อ ‘หลิงหยุน’ ที่นางไม่คุ้นเคยออกมา..
‘หลิงหยุนผู้นี้เป็นใครกันเหตุใดน้องสาวของข้าจึงต้องถามเช่นนั้น?’
และนี่คือความลับที่อยู่ในใจของเฉิงเม่ยเฟิงและเป็นความลับที่นางล่วงรู้แต่เพียงผู้เดียว!
ภายในอารามจิ้งซินแห่งนี้ไม่อนุญาตให้ชายใดขึ้นมาเฉิงเม่ยเฟิงจึงไม่รู้ว่าจะสอบถามเรื่องนี้จากผู้ใดได้ นางจึงได้แต่ครุ่นคิด และรำลึกเรื่องนี้อยู่เพียงคนเดียว..
แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่านางจะพยายามครุ่นคิดอย่างไรในหัวของนางก็ดูเหมือนจะมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับหลิงหยุนผู้นี้อยู่เลย และยิ่งนางคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ พลังของวิชาจิตพิสุทธิ์ก็จะยิ่งทำให้นางปวดศรีษะ และเจ็บปวดใจมากยิ่งขึ้น คล้ายกับว่ามีเข็มนับร้อยนับพันเล่ม กำลังทิ่มแทงจิตใจของตนเองอยู่!
“เม่ยเฟิง..เจ้าไม่ฝึกฝนวิชารึ แล้วเหตุใดดึกๆดื่นๆจึงออกมาที่นี่เล่า?”
ด้านหลังของเฉินเม่ยเฟิงปรากฏแม่ชีรูปหนึ่งที่ออกมาตามหาตัวนางจนทั่วและในที่สุดก็มาหยุดยืนอยู่ด้านหลังของเฉิงเม่ยเฟิง พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ห้วนและดุดัน
“เจ้าลืมไปแล้วรึ..อีกไม่กี่เดือนก็จะมีงานชุมนุมชาวยุทธขึ้น ครั้งนี้ท่านอาจารย์จะให้เจ้าไปร่วมชุมนุมเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับอารามจิ้งซินของเรา!”
เฉิงเม่ยเฟิงยังคงมองออกไปทางทิศตะวันออกนิ่งเงียบ..หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ จู่ๆ นางก็คล้ายฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ แต่แล้วก็หันไปตอบแม่ชีมี่ยู่ด้วยใบหน้าเฉยชา..
“ข้าทราบ..”
แม้เฉิงเม่ยเฟิงจะลืมหลิงหยุนจนสิ้น..แต่ใช่ว่านางจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ แม่ชีมี่ยู่นำนางกลับมาที่อารามจิงซินครั้งนี้ ตัวนางเองก็ได้รับสิ่งตอบแทนกลับไปมากมาย และเวลานี้ฐานะของนางก็เป็นรองเพียงแค่ท่านอาจารย์แห่งอารามจิ้งซินเท่านั้น เฉิงเม่ยเฟิงนั้นเกลียดนางจับใจ..
สายตาของแม่ชีมี่ยู่นั้นไม่เพียงเย็นชาแต่ยังแฝงไว้ด้วยความกังวลใจอีกด้วย..
“นี่เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่งั้นรึ”
เฉิงเม่ยเฟิงยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า“ข้าเพียงแค่ออกมาดูท้องฟ้าเท่านั้น..”
สีหน้าของแม่ชีมี่ยู่เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียดด้วยความไม่พอใจ..
……
กรุงปักกิ่ง..ลึกเข้าไปในเขาหยุนเมิ่ง มีคฤหาสน์ใหญ่หลังหนึ่งซ่อนอยู่..
ที่สวนภายในคฤหาสน์นั้นมีห้องสำหรับใช้ประชุมรับอยู่ และผู้คนสองคนก็กำลังนั่งประจันหน้ากัน..
คนผู้หนึ่งกำลังนั่งเท้าอยู่บนเก้าอี้ไม้ขนาดใหญ่ในขณะที่อีกผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนพื้นที่เย็นเฉียบ..
ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่นั้นสวมผ้าคลุมหน้าสีดำรูปร่างสูงผอม และรอบกายนั้นดูเหมือนจะมีไอสีดำปกคลุมไว้อีกชั้นหนึ่ง สายตาของชายที่สวมผ้าคลุมหน้านั้น จ้องมองชายที่นั่งอยู่บนพื้นอย่างเหยียดหยัน..
เวลานี้..ชายที่นั่งอยู่บนพื้นเย็นเฉียบนั้นได้ถูกสกัดจุดไว้ ดูเหมือนว่าอายุน่าจะราวๆสี่สิบปี และมีใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาของเขานั้นบ่งบอกว่ากำลังเจ็บปวดอย่างที่สุด และเพิ่งจะกระอักเลือดกองใหญ่ออกมาสองกอง..
“เจ้ากล้าแย่งชิงหญิงอันเป็นที่รักของข้า– ซือกงถู! เท่านั้นยังไม่พอ.. เจ้ายังกล้าให้กำเนิดบุตรชายกับนางอีก!”
“หลิงเสี่ยว..เพื่อปกป้องหญิงอันเป็นที่รักกับลูกของตนเอง และเพื่อความอยู่รอดของตระกูลหลิง เจ้าถึงกับไม่ลังเลที่จะทำลายวรยุทธของตนเองต่อหน้าชาวยุทธ..”
“แต่เจ้าคงคิดไม่ถึงสินะว่า..เจ้าจะมีวันนี้”
“ข้าจะบอกอะไรให้..เวลานี้ลูกชายของข้า – ซือกงวู่จี๋อยู่ที่จิงฉูแล้ว และกำลังจะสังหารเจ้าเด็กที่ชื่อหลิงหยุนนั่น! จากนั้น.. วู่จี๋ก็จะยึดเอาทั้งผู้หญิงและทรัพย์สินของมันมาไว้ในครอบครอง..”
“เป็นยังไงบ้างฟังข้าพูดมาถึงตอนนี้แล้ว เจ้ารู้สึกเช่นใดบ้าง?”
คิ้วรูปดาบของหลิงเสี่ยวขมวดเข้าหากันแน่นในใจรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว!
………..
ในหุบเขาที่งดงามดั่งสวรรค์..
หญิงนางหนึ่งรูปร่างงดงามดั่งรูปปั้นสวมผ้าคลุมหน้าสีดำปิดบังใบหน้าไว้ ค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ
หญิงในชุดสีเขียวที่อยู่ข้างๆได้แต่ร้องถามออกมาอย่างประหลาดใจ “ท่านอาจารย์.. เกิดอะไรขึ้น”
แววตาของหญิงผู้มีใบหน้างดงามยิ่งนักผู้นี้ราวกับมีไฟลุกโชนและเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทิ้ม..
“ลูกชายของข้ากำลังตกอยู่ในอันตราย!”
……..
โชคชะตากำหนดมาแล้ว..หลิงหยุนต้องมีชะตากรรมที่ยากลำบาก และประเทศนี้ก็ต้องพบเจอกับภัยพิบัติ!