เวลาเจ็ดโมงเช้า..ดวงอาทิตย์เป็นสีแดงเจิดจ้าราวกับสีเลือด ทั่วท้องนภาเป็นสีแดงอย่างน่ากลัว..
ลมทะเลที่กำลังพัดเอื่อยได้พัดเอาคลื่นความร้อนรุนแรงปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองจิงฉู แต่กลับไม่สามารถพัดเอาความเศร้าหมองในจิตใจของผู้คนในบ้านเลขที่-9 ออกไปได้เลยแม้แต่น้อย..
“เฮ้อ..”
ท่านเสี่ยวหมอเทวดาถอนหายใจพร้อมกับค่อยๆดึงนิ้วมือทั้งสามออกจากข้อมือของหลิงหยุน เขาหันไปมองทุกคนในบ้านที่สีหน้าล้วนบ่งบอกถึงความกระวนกระวายใจ และแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง พร้อมกับส่ายหน้าไปมา..
“ไม่มีอะไรกระเตื้องขึ้นเลยแม้แต่น้อย..ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม!”
ในเวลานี้..คนที่จะอยู่ในห้องได้ก็มีเพียงแค่คนสำคัญรอบตัวหลิงหยุนเท่านั้น ท่านหมอเสี่ยวจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร
หลิงหยุนถูกสายฟ้าเทวะสีทองฟาดใส่ร่างจนได้รับบาดเจ็บสาหัสในทันที..แล้วตั้งแต่เมื่อคืนกลางดึกจนถึงวันนี้ หลิงหยุนก็ยังคงนอนหมดสติอยู่ในอาการโคม่ามานานร่วม 115 ชั่วโมงแล้ว!
และหลังจากนี้ไปอีกเพียงแค่ห้าชั่วโมงหลิงหยุนก็จะนอนแน่นิ่งเช่นนี้มาครบห้าวันห้าคืนแล้ว!
ตลอดระยะเวลาห้าวันมานี้..ท่านหมอเสี่ยวได้ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเลขที่-9 มาโดยตลอด และได้ทำการรักษาหลิงหยุนตลอดสามเวลา – เช้า กลางวัน และเย็น! เขาคอยจับชีพจรสังเกตอาการบาดเจ็บของหลิงหยุนอยู่แทบจะตลอดทั้งวัน และแม้ว่าเขาจะมีฉายาหมอเทวดา แต่อาการของหลิงหยุนในเวลานี้ ก็เกินกว่าที่เขาจะสามารถทำอะไรได้จริงๆ
เวลานี้หลิงหยุนกำลังนอนอยู่ในห้องนอนของตนเองนี่คือห้องนอนที่ใหญ่ที่สุดบนชั้นสองของบ้านเลขที่-9 ในอ่าวจิงฉู ห้องนี้จึงค่อนข้างกว้างใหญ่โอ่โถง แม้จะจับคนมายืนเรียงกันยี่สิบสามสิบคน ก็ยังไม่ทำให้ห้องนี้ดูอึดอัดขึ้นได้เลย!
ครั้งนี้..นับว่าหลิงหยุนอยู่ในสภาพที่น่าเป็นห่วง หรือจัดว่าเลวร้ายเลยก็น่าจะถูก!
หลิงหยุนนอนราบอยู่บนเตียงแน่นิ่งดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท ใบหน้าซีดเซียวดูราวกับว่าในร่างของเขานั้นคงจะมีโลหิตเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ลมหายใจก็อ่อนระทวยราวกับไม่หายใจ และชีพจรก็เต้นอ่อนมาก ดูราวกับว่าหัวใจของหลิงหยุนนั้นจะสามารถหยุดเต้นได้ตลอดเวลา..
แต่ทั้งหมดนั้นยังไม่น่ากลัวที่สุด!
เพราะเวลานี้..แม้หลิงหยุนจะนอนหมดสติอยู่ในอาการโคม่า แต่สภาพร่างกายของเขานั้นกลับพลิกไปพลิกมาระหว่างร้อนกับเย็นอย่างสุดขั้ว..
ในยามที่ร่างของเขาเย็นทั่วทั้งห้องนอนก็เปลี่ยนเป็นเย็นอย่างที่สุด และในยามที่พลิกกลับเป็นร้อน ร่างของเขาก็ร้อนราวกับไฟที่สามารถทำให้ภายในห้องร้อนระอุขึ้นมา จนคนอื่นๆ แทบหายใจไม่ได้..
ในสภาพเช่นนี้..หากเป็นคนธรรมดาคงต้องตายไปแล้วอย่างแน่นอน แต่หลิงหยุนเพียงแค่หมดสติไปถึงห้าวันห้าคืน จึงนับว่าแข็งแกร่งอย่างมากแล้ว!
นอกเหนือจากลมหายใจที่อ่อนระทวยและชีพจรที่เต้นอ่อนมากแล้ว ก็ยังไม่มีการขับถ่ายอีกด้วย ดูคล้ายกับว่าหลิงหยุนได้ปิดตัวเอง และตัดขาดจากโลกภายนอก และภายในอย่างสมบูรณ์..
เวลานี้หลิงหยุนจึงไม่ต่างจากคนที่มีร่างแต่ไร้วิญญาณซึ่งแตกต่างจากผู้ที่นอนเป็นผัก เขามีชีวิตที่เสมือนตาย!
ระหว่างที่จับชีพจรของหลิงหยุนดูนั้นท่านหมอเสี่ยวก็ไม่สามารถตรวจพบสิ่งใดเลย ด้วยเหตุนี้วิชาแพทย์แผนจีนของเขา จึงไม่สามารถช่วยอะไรหลิงหยุนได้เลยแม้แต่น้อย!
“สภาพเช่นนี้..คงทำได้เพียงแค่รอให้หลิงหยุนฟื้นคืนสติ และให้เขาทำการรักษาตัวเองเท่านั้น ไม่เช่นนั้นต่อให้เป็นเซียน ก็คงยากที่จะทำอะไรได้..”
มีเพียงต้องรอให้หลิงหยุนฟื้นคืนสติและรักษาตัวเองเท่านั้น..
ประโยคนี้..ท่านหมอเสี่ยวพูดมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งตั้งแต่เริ่มตรวจดูอาการของหลิงหยุน และจนถึงเวลานี้เขาก็ยังคงยืนยันคำเดิม!
“ท่านปู่คะ..หนูจะใช้วิชาเก้าเข็มปลุกชีพที่พี่หลิงหยุนสอนให้ ลองทำการรักษาพี่หลิงหยุนดีมั๊ยคะ”
เสี่ยวเม่ยหนิงร้องถามออกมาในที่สุดสองสามวันมานี้เธอร้องห่มร้องไห้ไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง และด้วยความเป็นห่วงเป็นใยหลิงหยุน เธอถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ จนดวงตาทั้งสองข้างทั้งแดงและบวม จะเรียกว่าเป็นสีแดงอยู่ตลอดเวลาก็ได้..
นอกจากเสี่ยวเม่ยหนิงแล้วก็ยังมีคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ภายในห้องด้วยเช่นกัน!
ท่านหมอเสี่ยวจ้องมองหลานสาวที่รักดั่งแก้วตาดวงใจนิ่งนานก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง และดุไปว่า
“อย่าได้เพ้อเจ้อไปหน่อยเลย!”
“หนิงน้อย..แม้เจ้าจะร่ำเรียนวิชาเก้าเข็มปลุกชีพมา แต่ก็รักษาได้เพียงแค่อาการเจ็บป่วยธรรมดาๆเท่านั้น แต่หากจะรักษาอาการของหลิงหยุนในเวลานี้แล้วล่ะก็.. เจ้าก็คงฝันไปแล้ว!”
ท่านหมอเสี่ยวดุเสี่ยวเม่ยหนิงไปแล้วจึงยกมือขึ้นห้ามไป๋เซียนเอ๋อกับฉินตงเฉี่วยที่กำลังจะเสนอตัวลองวิธีของตนดูเช่นกัน จากนั้นจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด..
“ฉันเข้าใจความรู้สึกของทุกคนดี..ใช่ว่าฉันจะจงใจขัดขวางทุกคนไม่ให้ช่วยเหลือหลิงหยุน แต่อาการของเขานั้นค่อนข้างซับซ้อน อย่าว่าแต่วิชาฝังเข็มใดๆเลย แม้แต่ถ่ายเทลมปราณเข้าไปในร่างกายของเขา ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้..”
“การรักษาเปรียบเสมือนการให้ยาที่ถูกกับโรคให้แก่คนไข้แต่พวกเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลิงหยุนเป็นอะไรกันแน่ หากทำการรักษาอย่างไม่ระวัง ไม่เพียงจะไม่สามารถช่วยชีวิตของเขาได้ แต่ยังจะเป็นการทำร้ายเขาอีกด้วย!”
เวลานี้ท่านหมอเสี่ยวกังวลอย่างที่สุดว่าทั้งไป๋เซียนเอ๋อกับฉินตงเฉี่วย หรือว่าคนอื่นๆ จะพากันสละพลังปราณของตนเองถ่ายเทลงไปในร่างกายของหลิงหยุน เขาจึงย้ำกับทุกคนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น!
จากนั้นท่านหมอเสี่ยวก็หันไปทางฉินตงเฉี่วยพร้อมกับพูดขึ้นว่า“แม่นางฉิน.. เจ้าเองน่าจะเข้าใจวิชาที่หลิงหยุนใช้ฝึกบ่มเพาะตนได้ดีกว่าข้า ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจที่ข้าพูด และกำชับทุกคนให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด!”
คำพูดของท่านหมอเสี่ยวนั้นบ่งบอกชัดเจนว่าฉินตงเฉี่วยเป็นผู้เดียวที่มีคุณสมบัติในการกำกับให้ทุกคนปฏิบัติตามคำแนะนำของเขาอย่างเคร่งครัด..
ฉินตงเฉี่วยถึงกับตกใจอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ยินว่าเสี่ยวเม่ยหนิงต้องการใช้วิชาเก้าเข็มปลุกชีพรักษาหลิงหยุนเพราะความจริงแล้วนางเองก็อยากจะลองถ่ายเทลมปราณในร่างให้กับหลิงหยุนเช่นกัน ความจริงแล้วฉินตงเฉี่วยยอมแม้กระทั่งจะสูญเสียวรยุทธทั้งหมดหากมันจะสามารถทำให้หลิงหยุนฟื้นขึ้นมาได้..
หลังจากที่ได้ฟังคำเตือนของท่านเสี่ยวหมอเทวดาแล้วฉินตงเฉี่วยก็ได้แต่สงบจิตสงบใจ แล้วพูดขึ้นว่า
“ขอบคุณท่านหมอเสี่ยว..ข้าจะไม่ให้ใครมาวุ่นวายกับหลิงหยุนได้!”
ในที่สุดหนิงหลิงยู่ก็อดรนทนไม่ไหวจึงเอ่ยปากถามขึ้นด้วยความกังวลใจ “ท่านปู่เสี่ยวคะ.. พี่ใหญ่ไม่ได้กินหรือดื่มอะไรมาถึงห้าวันห้าคืนแล้ว หากเป็นแบบนี้ต่อไป.. เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อได้ยังไง”
ท่านหมอเสี่ยวพยักหน้าเล็กน้อยแล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่บางเบา “หลิงหยู่.. ความรู้สึกของเธอปู่เสี่ยวเข้าใจดี! เธอต้องการที่จะใช้การแพทย์สมัยใหม่ ด้วยการให้อาหารทางสายยางกับหลิงหยุนใช่มั๊ย”
หนิงหลิงยู่พยักหน้าอย่างไม่ลังเล…novel-lucky.
ท่านหมอเสี่ยวยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับโบกมือห้าม“เรื่องนั้นเธอไม่ต้องกังวลใจไป! อีกอย่าง.. การทำเช่นนั้นก็เป็นเรื่องเปล่าประโยชน์.. แม้ว่าพวกเราจะไม่สามารถเห็นการทำงานภายในร่างกายของหลิงหยุนได้ แต่จากชีพจรของเขานั้น ปู่ก็พอจะรู้ว่า.. ภายในร่างกายของหลิงหยุนนั้น เส้นลมปราณเยิ่นกับเส้นลมปราณตูได้เปิดเชื่อมกันแล้ว..”
“การที่เส้นลมปราณเยิ่นกับเส้นลมปราณตูเชื่อมต่อกันนั้นย่อมแสดงให้เห็นว่าคนผู้นั้นเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนแล้ว และเมื่อเข้าสู่ขั้นนี้ร่างกายของคนผู้นั้นก็จะสามารถเปลี่ยนจากการหายใจภายนอก มาเป็นการหายใจภายใน อีกทั้งยังสามารถดูดซับเอาพลังงานบริสุทธิ์ที่อยู่ในจักรวาล หรือระหว่างผืนโลกกับสวรรค์เข้าไปได้ เพราะฉะนั้น.. ร่างกายของหลิงหยุนจะไม่ขาดสารอาหารอย่างที่เธอกังวล เธอตัดความกังวลใจในเรื่องนี้ออกไปได้เลย..”
หนิงหลิงยู่หันไปมองฉินตงเฉี่วยซึ่งอยู่ในขั้นเซียงเทียนแล้วเช่นกันและเมื่อพบว่านางมีสีหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของท่านหมอเสี่ยว หนิงหลิงยู่ก็ได้แต่รู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง..
เกาเฉินเฉินเองก็ทนไม่ได้จึงถามขึ้นว่า“ท่านปู่เสี่ยวคะ.. มีเพียงแค่.. พวกเราทำได้แค่รอให้หลิงหยุนฟื้นเท่านั้นเหรอคะ”
ท่านหมอเสี่ยวลุกขึ้นยืนช้าๆพร้อมกับถอนหายใจออกมา“ใช่แล้ว! ไม่มีหนทางอื่นนอกจากนี้ ทุกคนอย่าได้ร้อนใจไปนัก รอดูต่ออีกสักสองสามวัน!”
เมื่อเห็นสายตาที่หม่นหมองเศร้าสร้อยของทุกคนท่านหมอเสี่ยวก็แทบทนไม่ได้ จึงได้แต่ฝืนยิ้ม และพูดปลอบใจทุกคนว่า
“จากประสบการณ์ของการเป็นหมอมาหลายปีนั้นความจริงแล้ว.. ที่พวกเราเห็นหลิงหยุนนอนหลับใหลเช่นนี้ แต่ร่างกายของเขาก็กำลังรักษาตัวเองอยู่ คล้ายๆกับการจำศีล..”
“ในร่างกายของมนุษย์ทุกคนล้วนแล้วแต่มีระบบรักษาและซ่อมแซมตัวเอง หลิงหยุนสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้เช่นนี้ และยังผ่านการฝึกฝนมาด้วยวิชาบ่มเพาะที่ล้ำลึก เขาจะต้องมีระบบรักษาและซ่อมแซมตัวเองที่เหนือกว่าคนอื่นอย่างแน่นอน..”
“ทุกคนลองนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองวันที่แล้วสิ..ร่างกายของหลิงหยุนไม่ได้เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็นมากเหมือนตอนนี้ ในช่วงเริ่มแรกนั้นทั้งความร้อนและความเย็นต่างก็เบากว่านี้มากไม่ใช่รึ”
“ในฐานะที่ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อนทุกคน..พบเห็นอะไรมามากกว่า การที่หลิงหยุนหมดสติไปเพราะรับทัณฑ์สวรรค์ที่รุนแรงนี้ แต่กลับไม่ตาย! นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า.. เขาจะต้องไม่ตาย! เขาเพียงแค่รอเวลาที่จะตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลเท่านั้น หากหลิงหยุนตื่นขึ้นมาเมื่อใด ด้วยทักษะทางการแพทย์ของเขา เขาย่อมรักษาตนเองได้อย่างแน่นอน!”
ท่านหมอเสี่ยวพูดปลอบใจทุกคนจบแล้วจึงเดินออกไปจากห้องทันที แต่เมื่อเดินไปถึงหน้าประตู เขาก็หยุดนิ่ง แล้วจึงหันมาบอกกับทุกคนในห้อง..
“ฉันว่าทุกคนไม่ต้องมาเฝ้าอยู่ในห้องนี้ทั้งวันทั้งคืนก็ได้หลิงหยุนคงไม่ตื่นมาเร็วๆนี้หรอก ยังไงก็สับเปลี่ยนกันไปนอนหลับพักผ่อนบ้าง เดี๋ยวจะล้มป่วยไปตามๆกันเสียก่อน หากหลิงหยุนตื่นขึ้นมาเห็นพวกเธอล้มป่วย ก็จะมาถอนหงอกชายแก่อย่างฉันได้!”
“จัดหาสักสองคนไว้คอยดูแลหลิงหยุนก็พอแล้วอ่อ.. แล้วหินก้อนนั้นน่ะ ก็ไม่ควรนำออกจากร่างของหลิงหยุน!”
“แม่นางฉิน..หากมีอะไรเร่งด่วน ก็เรียกข้าได้ทันที!”
ท่านหมอเสี่ยวพูดจบก็ถอนหายใจพร้อมกับเดินกลับออกไปพักผ่อนทันที..
หินที่ท่านหมอเสี่ยวพูดถึงนั้นก็คือศิลากลั่นวิญญาณของหลิงหยุนนั่นเอง!
นับเป็นความโชคดีในความโชคร้ายของหลิงหยุน..ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้กับเขา เขาได้เรียกศิลากลั่นวิญญาณนี้ออกมาให้ไป๋เซียนเอ๋อใช้ปกป้องเสียงของกลองสะบัดมาร และยังคงไม่ได้นำมันเก็บเข้าไปในแหวนพื้นที่เลย..
หนิงหลิงยู่หันไปมองฉินตงเฉี่วย..นางพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับกระซิบเสียงเบา
“วางมันกลับลงไปที่เดิม!”
หนิงหลิงยู่ค่อยๆวางศิลากลั่นวิญญาณที่นำออกจากร่างของหลิงหยุนกลับไปวางไว้ที่หน้าผากเช่นเดิม..
ศิลากลั่นวิญญาณนั้นเป็นสีเทาและรูปร่างก็ไม่ต่างจากหินธรรมดาๆ ก้อนหนึ่ง เพียงแต่หนักกว่าหินปกติมาก และการนำก้อนหินไปวางไว้บนหน้าผากของผู้ป่วยก็ออกจะดูน่าขันไปบ้าง..
แต่ทุกคนที่อยู่ในห้องกลับไม่มีใครนึกตลกขบขันเลยแม้แต่น้อยขอเพียงให้หลิงหยุนฟื้นขึ้นมา หากสามารถแลกกับชีวิตของพวกเขาได้ พวกเขาก็ยินดีและเต็มใจอย่างยิ่ง!
“เมิ่งหาน..เหยาลู่..”
“พวกเจ้าสองคนดูแลเจ้าเด็กดื้อมาสองวันสองคืนแล้วตอนนี้ฟังคำสั่งของข้า.. พวกเจ้าสองคนกลับไปพักผ่อนเสียก่อน! วันนี้ข้ากับหลิงยู่จะดูแลเขาเอง!”
ฉินตงเฉี่วยมองหลินเมิ่งหานและเหยาลู่พร้อมกับพูดแกมบังคับให้หญิงสาวทั้งสองกลับไปพักผ่อน..
ตลอดห้าวันห้าคืนที่หลิงหยุนนอนอาการโคม่าอยู่ในห้องนั้นหลินเมิ่งหานกับเหยาลู่ต่างก็เสนอตัวที่จะดูแลหลิงหยุน ทั้งสองคนต่างก็ไม่มีใครยอมแยกจากหลิงหยุน และคอยเฝ้าดูแลเขาอย่างเอาใจใส่ และเวลานี้ร่างกายของทั้งคู่ก็ดูเหมือนจะเหนื่อยล้าอย่างที่สุดแล้ว..
และงานดูแลหลิงหยุนแบบที่ทั้งคู่ทำนั้นทั้งหนิงหลิงยู่ เกาเฉินเฉิน เสี่ยวเม่ยหนิง หรือว่าคนอื่นๆ ต่างก็ไม่สามารถทำแทนได้..
นั่นเพราะหญิงสาวทั้งสองคนคือผู้หญิงของหลิงหยุนอย่างแท้จริงพวกเธอสามารถเช็ดทำความสะอาดร่างกายให้หลิงหยุนได้โดยไม่เขินอาย ส่วนคนอื่นนั้นแตกต่างกัน..
และหญิงสาวทั้งสองคนก็เป็นฝ่ายไปพบฉินตงเฉี่วยเป็นการส่วนตัวทั้งคู่อดกลั้นต่อความอับอาย และได้สารภาพกับฉินตงเฉี่วยไปตามความจริง..
หลังจากที่ได้ฟังคำสั่งของฉินตงเฉี่วยหลินเมิ่งหานกับเหยาลู่ก็รีบส่ายหน้า และร้องตะโกนออกมาพร้อมกัน
“พวกเราไม่เหนื่อยเลยค่ะ!”
แต่ในเมื่อท่านหมอเสี่ยวบอกว่าหลิงหยุนคงจะไม่ฟื้นในเร็วๆนี้แน่นางจึงจำเป็นต้องให้หญิงสาวทั้งสองคนกลับไปพักผ่อนให้ได้ และได้พูดผ่านกระแสจิตไปว่า
-เจ้าเด็กดื้อนี่ไม่ได้เช็ดตัวสักคืนคงจะไม่เป็นอะไรหรอก..พวกเจ้าสองคนกลับไปพักผ่อนนอนหลับเถอะนะ! แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับมาดูแลเขาต่อ..-
หลินเมิ่งหานและเหยาลู่จ้องมองร่างของหลิงหยุนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยดวงตาแดงก่ำและยังคงระล้าระลังไม่ยอมกลับออกไป
ฉินตงเฉี่วยขมวดคิ้วและทำเสียงดุดัน “นี่พวกเจ้าสองคนไม่เชื่อฟังคำพูดของข้าแล้วงั้นรึ กลับไปพักผ่อนเดี๋ยวนี้!”
หลินเมิ่งหานและเหยาลู่เห็นฉินตงเฉี่วยโกรธจริงก็ได้แต่พยักหน้าเงียบๆ และเดินออกจากห้องไปอย่างไม่เต็มใจนัก..
ฉินตงเฉี่วยเห็นหญิงสาวทั้งสองคนยอมกลับไปพักผ่อนแล้วจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และหันไปพูดกับคนที่เหลือ..
“คนอื่นๆก็เหมือนกัน..เจ้าเด็กดื้อนี่ไม่เคยทำให้พวกเราผิดหวังเลยสักครั้ง! และครั้งนี้เขาจะต้องตื่นขึ้นมาอย่างแน่นอน!”
แม้จะไม่มั่นใจเช่นนั้นแต่ฉินตงเฉี่วยเปรียบเสมือนเสาหลักของบ้านเวลานี้ นางจึงต้องปลอบใจ และสร้างความมั่นใจให้กับทุกคน
หลิงหยุน..ตั้งแต่ข้าได้พบกับเจ้ามาจนถึงตอนนี้ ข้าเฝ้าดูความก้าวหน้าที่เป็นไปอย่างอัศจรรย์ของเจ้า ที่ผ่านมาเจ้าไม่เคยล้มเลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้เจ้าคงจะเหนื่อยล้าอย่างที่สุดจึงได้ล้มลงเช่นนี้!
อีกนานเท่าไหร่..เจ้าถึงจะฟื้นขึ้นมา
หลิงหยุน..เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่