บทที่ 2188+2189

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2188 รู้สึกหลอนราวกับถูกหมาป่าชั่วช้าจ้องมองอยู่!

เงยหน้ามองท้องฟ้า ด้านนอกพิรุณโลหิตยังคงโปรยปรายอยู่…

กู้ซีจิ่วย่อมนึกถึงข้อนี้เช่นกัน มือเธอกุมฝักกระบี่ตรงหว่างเอวแน่น…

“แม่นางกู้อย่ากังวลเลย ถึงแม้กฎเมืองจะละเมิดไม่ได้ แต่ในเมื่อกฏของเมืองนี้เป็นข้าที่ตราขึ้น ย่อมต้องมีลู่ทางผ่อนผันเช่นกัน”

“หือ?”

กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว

“ผ่อนผันอย่างไร”

เย่หลิงยิ้มน้อยๆ มองดูนาง นัยน์ตาหงส์คู่นั้นใสกระจ่างทอแววเจ้าชู้

“หากว่าพวกเจ้าสามารถล่าผลึกวิญญาณระดับหนึ่งมาได้ เจ้าเมืองอย่างข้าก็จะรับผิดชอบ ให้คนทั้งหมดที่เจ้าพามารั้งอยู่ได้!”

กู้ซีจิ่วเงียบงัน

เงื่อนไขเช่นนี้เธอไม่มีทางปฏิเสธอยู่แล้ว เธอสูดหายใจเบาๆ

“ได้!”

ผลึกวิญญาณระดับหนึ่งเธอกับตี้ฝูอีเคยล่ามาได้แล้ว เพียงแต่ดูดซับจนหมดเกลี้ยงแล้ว มิเช่นนั้นยามนี้คงนำมาจ่ายส่วยได้

พอเงยหน้าขึ้น ได้เห็นว่าเจ้าเมืองเย่หลิงผู้นั้นยังมองเธออยู่ สายตานั้น…

กู้ซีจิ่วรู้สึกหลอนราวกับถูกหมาป่าชั่วช้าจ้องมองอยู่!

เธอเงยหน้ามองตรงไปที่เขา

“เจ้าเมืองคงไม่คิดจะให้พวกเราออกไปล่าผลึกวิญญาณระดับหนึ่งในยามนี้เลยกระมัง?”

“ไม่อยู่แล้ว”

เย่หลิงยิ้มแล้ว รอยยิ้มอบอุ่นยิ่งนัก ราวกับคุณชายผู้อ่อนน้อม

“พวกเจ้าสามารถรอให้ฝนหยุดแล้วค่อยออกไปได้ ขอเพียงล่าผลึกวิญญาณมาได้ภายในสามวันก็พอแล้ว แม่นางและคุณชายท่านนี้เป็นผู้มีความสามารถ เจ้าเมืองอย่างข้าให้ค่ากับผู้มีความสามารถเสมอมา”

เขาดีดนิ้วคราหนึ่ง สั่งการคนข้างกาย

“ไปเก็บกวาดเขตชุมชนทางทิศใต้ของเมืองผืนนั้นซะ แล้วให้คนพวกนี้เข้าพำนัก พวกเขารอนแรมมานานถึงเพียงนี้ คาดว่าจะเหนื่อยล้าแล้ว”

“ขอรับ ท่านเจ้าเมือง!”

ใครบางคนหันหลังทะยานกายจากไป ชัดเจนว่าไปจัดการเก็บกวาดตามคำสั่งของเขาแล้ว

กู้ซีจิ่วคาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะใจกว้างเช่นนี้

เห็นทีว่าคนผู้นี้จะให้ค่าผู้มีความสามารถจริงๆ…

ความเป็นปฏิปักษ์ที่มีต่อคนผู้นี้เลือนหายไปเล็กน้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้เธอจึงเอ่ยขอบคุณเจ้าเมืองผู้นี้

เย่หลิงมองเธออีกแวบหนึ่ง ดวงตาทอแววยิ้มไว้จางๆ เสมือนเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก หากแม่นางกู้มีธุระอันใด สามารถไปหาข้าได้ที่จวนกระเรียนผงาด”

พลันหันหลัง เยื้องย่างเหยียบร่างของสาวน้อยไม่กี่นางนั้นกลับไปยังจุดที่ลงมาจากเรือ กล่าวอย่างเฉยชาคำหนึ่ง

 “เรือมา”

ด้วยเหตุนี้ เรือลำใหญ่ที่ล่องลอยวนเวียนอยู่บนฟากฟ้าตลอดมาลำนั้นจึงลอยกลับมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเย่หลิงหยิบร่มคันหนึ่งออกมาจากไหน เขาหมุนคันร่มในมือคราหนึ่ง ตัวร่มหมุนวน ตัวเขาก็ลอยขึ้นตามการหมุนของร่มนี้ ตรงขึ้นสู่เรือลำนั้น…

เรือนร่างเขายอดเยี่ยมนัก ท่วงท่าเป็นเช่นเดียวกับขาลงมา สง่างามดุจเซียน ดึงดูดให้เกิดเสียงอุทานชื่นชมอยู่เสมอ และดึงดูดให้สายตาของเหล่าสตรีที่อยู่ในพื้นที่มองตามอย่างร้อนแรง…

เขานั่งลงตรงหัวเรือ หลุบตามองด้านล่าง หมายจะได้รับสายตาจากเหล่าสตรีมาอย่างสงบนิ่ง กลับคาดไม่ถึงว่าสายตาของสตรีเหล่านั้นต่างมิได้อยู่ที่ร่างเขา ผู้ที่พวกนางลอบมองอยู่ตลอดคือบุรุษชุดม่วงที่อยู่ข้างกายกู้ซีจิ่วผู้นั้น…

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าชายหนุ่มชุดม่วงที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ทำอะไรเลย ยังคงสวมหน้ากากไว้บนหน้า แม้แต่รูปร่างของดวงตาก็ไม่เผยออกมาเลยด้วยซ้ำ ปานนกกระสาในฝูงไก่ ทำให้คนรู้สึกถึงความมีตัวตนได้แรงกล้ายิ่ง!

เย่หลิงหลุบตามองชุดสีม่วงบนร่างตน เสื้อคลุมสีม่วงของเขามีลักษณะซับซ้อน บนชุดใช้ไหมเงินปักลวดลายเมฆหมอกธารสมุทรไว้ กลางสมุทรมีมังกรตัวหนึ่งแยกเขี้ยวกางเล็บ หรูหราอย่างยิ่ง ฝีปักยอดเยี่ยมที่สุด วัสดุเลิศล้ำที่สุด ทุกครั้งยามที่เขาสวมเสื้อคลุมชุดนี้จะรู้สึกว่าตนเป็นดั่งราชาที่ก้มมองใต้หล้านี้…และรู้สึกว่าสีนี้คู่ควรให้ตนใส่…ผู้อื่นสวมแล้วดูไม่ได้เรื่องได้ราวเป็นตงซือขมวดคิ้วเลียนอย่างเท่านั้น…

เนื่องจากเขาสวมสีนี้แล้วดูหล่อเหลาองอาจเป็นพิเศษ มีมาดของราชาเป็นพิเศษ ส่วนคนอื่นสวมแล้วไม่ได้มีสง่าราศีเช่นเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ออกกฎห้ามชาวเมืองสวมใส่สีม่วง

————————————————————————————-

บทที่ 2189 สรรพสิ่งแปรผันไปนานแล้ว

เขารู้สึกว่าการที่มีคนสวมใส่สีเดียวกับเขาก็ยิ่งขับเน้นให้เขาดูพิเศษกว่าผู้อื่น

กลับคาดไม่ถึงเลยว่าบุรุษที่เข้าเมืองมาพร้อมกับกู้ซีจิ่วในวันนี้ จะสวมชุดสีม่วงได้โดดเด่นสะดุดตาปานนี้!

ลักษณะเสื้อคลุมของบุรุษผู้นั้นเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเรียบง่ายยิ่ง หลวมกว้างใส่สบาย แต่พอสวมอยู่บนร่างของบุรุษคนนั้นกลับมีเสน่ห์ที่พิสดารล้ำลึกประการหนึ่ง อาภรณ์ม่วงดั่งย้อมด้วยแสงสุริยันดั้นเมฆา เจิดจ้าปานแสงตะวัน เข้าคู่กับตัวคนยิ่งนัก ราวกับเขาเกิดมาเพื่อสวมใส่อาภรณ์สีม่วงเช่นนี้

ยามที่เย่หลิงยืนอยู่ตรงหน้าเขา เกิดความรู้สึกหลอนราวกับตนเป็นเพียงของปลอมแอบอ้าง…

ความรู้สึกหลอนลวงเช่นนี้ทำให้เขาอึดอัดใจยิ่งนัก เขาคือเจ้าเมืองผู้สูงส่งเชียวนะ! อีกฝ่ายเป็นตัวอะไรกัน? ไหนเลยจะเทียบชั้นกับเขาได้?!

ดังนั้นเมื่อครู่เขาจึงพยายามแสดงบารมีของเจ้าเมืองออกมา แน่นอนว่าพยายามวางท่าสง่างามอย่างยิ่งด้วย ทุกอากัปกริยาล้วนแฝงท่วงท่าของความเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์เอาไว้

เขานึกว่าสะกดความโดดเด่นของอีกฝ่ายได้แล้ว แต่ยามนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเลย…

เขาหรี่ตาลงกวาดตามองตี้ฝูอีอีกแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็สัมผัสถึงวิกฤตอย่างหนึ่งขึ้นมา…

คนผู้นี้ถ้าเขาใช้งานได้ก็แล้วไปเถิด หากว่าเขาใช้งานไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงหาทางกำจัดทิ้ง!

ทันใดนั้นคล้ายว่าเขาจะนึกอะไรขึ้นได้ ห้อยแขนเสื้อลงไปด้านล่าง ค้อมพิงกราบเรือ มองไปที่หัวหน้าเผ่า

“ข้าผู้เป็นเจ้าเมืองได้ยินว่า มีคนบอกว่าเป็นบุตรชายของอดีตเจ้าเมืองหรือ? ใช่ชายชราเช่นเจ้าหรือไม่?”

สีหน้าของหัวหน้าเผ่าฮวาจื่อชุนค่อนข้างซีดเซียว เขานิ่งไปแวบหนึ่งถึงเอ่ยตอบ

“เป็นผู้เฒ่า…”

เย่หลิงยิ้มอีกครั้ง

“ผ่านพ้นไปร้อยปี สรรพสิ่งแปรผันไปนานแล้ว ตำแหน่งเจ้าเมืองก็เช่นกัน เจ้าว่าใช่หรือไม่?”

ฮวาจื่อชุนจ้องเย่หลิงแวบหนึ่ง ในที่สุดก็ก้มหน้าลง

“ใช่…”

เย่หลิงยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง ไม่ทราบว่าภาคภูมิหรือว่าเยาะหยัน

“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม เจ้าเมืองอย่างข้าเห็นแก่หน้าของแม่นางกู้ผู้นี้ จะไว้หน้าเจ้าสักหน่อย เจ้าเมืองอย่างข้าจะมอบเรือนหิมะสลาตันทางตอนใต้ของเมืองให้เจ้าเป็นรางวัลก็แล้วกัน”

ฮวาจื่อชุนเงียบงัน

เย่หลิงไม่สนใจฝูงชนอีก นั่งเรือจากไปแล้ว

….

พิรุณโลหิตยังคงโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ยังสามารถมองเห็นค้างคาวสีแดงฉานที่โฉบลงมาจากฟากฟ้าพร้อมกับพิรุณโลหิตได้ด้วย ปะทะเข้ากับเขตแดนสีขาวหม่นพร้อมกับพิรุณโลหิต ถูกดีดสะท้อนออกไป…

เกิดเสียงดังผลั่ก สะเทือนขวัญอย่างยิ่ง

ฉากนี้สำหรับผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาเนิ่นนานปีรู้สึกเคยชินไปเสียแล้ว ไม่เก็บมาใส่ใจอันใดเลย สมควรทำสิ่งใดก็ยังคงทำสิ่งนั้นไป

แต่สำหรับเหล่าชาวบ้านที่เพิ่งออกมาจากหุบเขา กลับเพิ่งเคยเห็นฉากพิสดารเช่นนี้เป็นครั้งแรก แต่ละคนมองอย่างอกสั่นขวัญแขวน

เถี่ยตั้นเขยิบเข้าใกล้ร่างกู้ซีจิ่ว

“พี่สือโทว ท่านว่าค้างคาวบนฟ้าเหล่านั้นจะร้ายกาจปานนั้นจริงหรือไม่?”

กู้ซีจิ่วยิ้มนิดๆ

“เจ้าลองออกไปสู้กับพวกมันดูสักตั้งไหมล่ะ?”

เถี่ยตั้นลูบจมูก ไม่กล้าพูดแล้ว เขารู้สึกว่าพักนี้พี่สือโทวปากคอเราะร้ายขึ้นไม่น้อยเลย…

ต้องเรียนรู้มาจากคู่หมั้นของนางแน่นอน!

เขาอดไม่ได้ที่จะถลึงตามองตี้ฝูอีแวบหนึ่ง คนผู้นี้เดินอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่ว เยื้องย่างสง่างาม ไม่ทราบว่าดึงดูดสายตาจากเหล่าสตรีที่อยู่ข้างทางได้มากน้อยเพียงใดแล้ว…

เมื่อเถี่ยตั้นเข้ามาในเมืองถึงได้เข้าใจ มิใช่ทุกคนที่จะมีผิวสีคล้ำอย่างพวกเขา ในเมืองนี้มีคนที่ผิวขาวผุดผาดอยู่มากมายยิ่งโดยเฉพาะผู้สูงศักดิ์ที่สวมชุดแพรไหมเหล่านั้น แต่ละคนล้วนขาวผ่องดั่งก้อนแป้ง

แม้แต่ผิวพรรณของท่านเจ้าเมืองผู้นั้นก็ยังขาวพิสุทธิ์ดุจหิมะมองแวบเดียวก็รู้ว่าอยู่ดีกินดี

ที่แท้โลกใบนี้ก็มีไอ้หนุ่มหน้าขาวอยู่มากมายปานนี้! แถมบรรดาสตรีบนโลกนี้ส่วนใหญ่ก็ชมชอบไอ้หนุ่มหน้าขาวกัน…

เถี่ยตั้นรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ชาวหมู่บ้านอย่างพวกเขาต่างมีผิวเข้มกว่าคนในเมืองเฉดหนึ่งกระมัง?

สายตาของผู้คนในเมืองที่พบระหว่างทางมองพวกเขาเสมือนมองพวกวณิพก…

เขามองไปที่หัวหน้าเผ่าอีกครั้ง ได้กลับสู่ถิ่นฐานบ้านเกิดหลังจาก จากไปนานปานนี้ ใบหน้าของหัวหน้าเผ่ากลับไม่มีความสุขเท่าไหร่ ท่าทางกลับดูหนักอกหนักใจยิ่ง

—————————————