ตอนที่ 261 เมียเมีย

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

“เอ๋?” ในที่สุดตู๋กูซิงหลันก็ยังจะสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว 

 

 

เมื่อครึ่งปีก่อน……..แสงสีดำ 

 

 

เมื่อปะติดปะต่อความคิดที่บังเอิญได้พบกับปีศาจไร้หน้าในกลางทะเลทราย อยู่ๆ นางก็ชักจะคิดถึงคู่แค้นเก่าขึ้นมาซะแล้วสิ 

 

 

ว่าแต่เจ้าภูติพฤกษาตัวน้อยนี้คงไม่ได้โกหกสินะ 

 

 

“ท่านเซียน เสี่ยวจิงทำได้เพียงแค่ส่งพวกท่านข้ามสะพานไป หนทางข้างหน้าพวกท่านยังคงต้องพึ่งพาตนเอง” ภูติพฤกษายังคงหวาดกลัวเรื่องเมื่อครู่อยู่ไม่หาย มันใช้เถาวัลย์เส้นหนึ่งชี้ไปด้านหน้า 

 

 

“บริเวณรอบๆ ภูเขานี้ก็มีปีศาจอยู่มากมาย ล้วนแข็งแกร่งกว่าเสี่ยวชิงด้วยกันทั้งนั้น ทั้งยังมีสัตว์อสูรอีกไม่น้อย ยิ่งเข้าใกล้ภูเขาเทียนซาน ก็ยิ่งมีอันตรายมาก ท่านเซียนทั้งสองมีความสามารถเทียมฟ้า คิดว่าคงจะสามารถรับมือได้อยู่” 

 

 

เรื่องพวกนี้เดิมทีมันไม่ได้คิดจะกล่าวออกมา แต่เพราะเมื่อครู่ตู๋กูซิงหลันช่วยชีวิตมันเอาไว้ 

 

 

โลกทัศน์ของพวกภูตินั้นเรียบง่ายกว่าพวกมนุษย์มากนัก มีแค้นชำระแค้น มีบุญคุณก็ตอบแทน เรียบง่ายเช่นนี้เอง 

 

 

พวกมันไม่อาจติดค้างบุญคุณ 

 

 

ยากนักที่ฮ่องเต้มิได้ทรงสร้างความลำบากให้กับมัน กระบี่อ่อนในพระหัตถ์ถูกเก็บไว้ 

 

 

สำหรับพระองค์แล้ว เมื่ออยู่ในแคว้นเซอปี่ซือ เพียงปกป้องตู๋กูซิงหลันให้ดีก็พอแล้ว ความเป็นความตายของผู้อื่นไม่จำเป็นต้องใส่ใจให้มากไป ดังนั้นเมื่อครู่จึงลงมือช้าไปเล็กน้อย 

 

 

ผิดกับตู๋กูซิงหลัน แม้ว่าจะไม่มีพลังของหยกสรรพชีวิตแล้ว ก็ยังเก่งกาจถึงเพียงนี้ 

 

 

เขาหรี่ดวงเนตรลง มองดูเจ้าอ้วนน้อยที่อยู่ข้างกาย ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วในร่างของนางมีพลังเช่นใดกันแน่ 

 

 

ในทันใดนั้นเอง พระองค์ก็คว้าเอวของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ สายลมหมุนวนใต้ฝ่าเท้า สะกิดเท้าเพียงสองครั้งก็ข้ามสะพานไปแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกถึงสายลมไหลวูบผ่านใบหู บาดเนื้อตัวจนเจ็บ 

 

 

รอจนสองเท้ายืนบนพื้นที่มั่งคงอีกครั้ง สะพานสีเขียวขจีที่อยู่ด้านหลังก็หายลับไปจากสายตาแล้ว เหนือหุบเหวมีแต่หมอกหนาๆ มีเพียงกลีบดอกไม้มากมายที่ยังคงโบยบินอย่างเคว้งคว้าง ก่อนจะค่อยๆ ร่วงหล่นลงสู่หุบเหว 

 

 

เงาดำที่บินอยู่สูงขึ้นไปเหนือศีรษะของพวกเขาก็จากไปแล้วเช่นกัน 

 

 

จีเฉวียนและตู๋กูซิงหลันกวาดตามองขึ้นไปอยู่ครู่หนึ่ง 

 

 

“ฝ่าบาท บุรุษดอกท้อผู้นั้นไม่อยู่แล้ว” ตู๋กูซิงหลันมองดูหมู่เมฆบนท้องฟ้า ก็คิดถึงบุรุษรูปงามชุดม่วงผู้นั้น 

 

 

จีเฉวียนปราศจากคำพูด แต่ประกายในดวงเนตรหงส์กลับเข้มขึ้นกว่าเดิม 

 

 

ครั้งนี้เขามิได้รีบร้อนพาตู๋กูซิงหลันเดินทางแล้ว เห็นเขายืนอยู่ริมหน้าผา ปล่อยวิญญาณทมิฬให้กลับไปอยู่บนบ่าของตู๋กูซิงหลัน จากนั้นพระหัตถ์ทั้งสองแสดงปางมือออกมา ริมพระโอษฐ์ร่ายคาถา 

 

 

เพียงครู่เดียว ฉลองพระองค์ก็โบกโบยขึ้นมา 

 

 

บนร่างของเขาปรากฏกลุ่มแสงสีดำที่เข้มข้นขุมหนึ่ง จากนั้นแสงสีดำก็เคลื่อนออกจากร่างของเขา ค่อยๆ กลายเป็นเงาร่างสีดำสูงสามเมตรอยู่ด้านข้าง 

 

 

เงาสีดำนั้นมีปีกสองข้าง รูปร่างคล้ายกับกิเลน [1] บนหัวของมันมีเขาที่ทั้งยาวและแหลมคมคู่หนึ่ง รอบปากยังมีหนวดสีดำมากมายหลายเส้น 

 

 

ยามที่เจ้าตัวนี้ปรากฏตัวขึ้นมา ตู๋กูซิงหลันก็ตกใจแทบจะกระโดดแล้ว 

 

 

นี่คือ….สัตว์อสูรที่จีเฉวียนทำพันธสัญญาด้วย? 

 

 

จีเฉวียนสร้างความประหลาดใจให้กับนางเป็นระลอก นางคิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะมีกระทั่งสัตว์อสูรในพันธสัญญา 

 

 

ก่อนหน้านี้ช่างเก็บงำได้ดีนัก! 

 

 

สัตว์อสูรในพันธสัญญา ในโลกปัจจุบันนั้นมีแต่ยอดนักพรตระดับสูงเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะครอบครอง สัตว์อสูรเหล่านี้ ก่อนที่จะถูกกำราบได้นั้นโดยมากล้วนดุร้ายอย่างยิ่ง หากไม่มีพลังที่ยิ่งใหญ่ย่อมไม่มีทางที่จะกำราบและควบคุมพวกมันเอาไว้ได้ 

 

 

นี่ยิ่งแสดงให้เห็นชัดเลยว่า จีเฉวียนนั่นมิใช่ธรรมดา 

 

 

เจ้าตัวนี้ยังมีร่างจิตเพียงครึ่งเดียว มันคล้ายดั่งหลุมดำกลุ่มหนึ่ง สามารถมองร่างเห็นเพียงคร่าวๆ เท่านั้น แม้แต่นางก็ยังมองไม่ออกว่าเจ้าสิ่งนี้ที่จริงแล้วคืออะไรกันแน่ 

 

 

“โอ้โห สุดยอดไปเลย” วิญญาณทมิฬกอดคอตู๋กูซิงหลันเอาไว้ ยามที่เจ้าตัวนี้โผล่ออกมา มันก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่หนักหน่วง แม้แต่ตัวมันเองก็แทบจะทนไม่ไหว 

 

 

ที่แท้เจ้าฮ่องเต้สุนัขนี้เก่งกาจมากเลยหรือ? แม้แต่สัตว์อสูรพันธสัญญาก็ยังมีระดับที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ 

 

 

แม้แต่มันเองก็ยังไม่เคยเห็น ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคืออะไรกันแน่ 

 

 

จีเฉวียนมิได้ตรัสอะไร หากแต่กอดเอวตู๋กูซิงหลันเอาไว้อีกครั้ง สะกิดปลายเท้านิดเดียวก็ขึ้นไปอยู่บนหลังของสัตว์อสูรแล้ว 

 

 

สัตว์อสูรตัวนี้ถึงแม้ว่าจะมีร่างจิตเพียงแค่ครึ่งเดียว แต่ยามที่ยืนขึ้นมา ก็สามารถรู้สึกได้เลยว่าบนร่างกายของมันเต็มไปด้วยเกล็ดใหญ่โตแผ่นหนา 

 

 

“เมียเมีย [2] ขึ้นไปบนเขาเทียนซานช้าๆ” จีเฉวียนออกคำสั่ง 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “เมียเมีย?” 

 

 

“นี่เป็นชื่อของมัน เจ้าจะเรียกมันว่าเมียน้อยก็ได้” จีเฉวียนตรัสอย่างพระพักตร์ไม่เปลี่ยนสี พระทัยก็ไม่ตื่นเต้น 

 

 

มุมปากของตู๋กูซิงหลันถึงกับเหยเกไปแล้ว 

 

 

พูดกันตามจริงเลยนะ นางรู้สึกว่าจีเฉวียนกับหยวนเฟยสมควรจะเป็นพี่น้องกัน ก็ดูรสนิยมในการตั้งชื่อของคนทั้งคู่สิ 

 

 

ตัวหนึ่งก็หวังฉาย ตัวหนึ่งก็เมียเมีย เข้าขากันดีมากเลย 

 

 

ทันใดนั้นนางก็รู้สึกขึ้นมาว่าชื่อของวิญญาณทมิฬยิ่งใหญ่เกรียงไกรขึ้นมาเลยทีเดียว แม้แต่ติ๊งต๊องก็ยังฟังดูทันสมัยกว่าเลย 

 

 

เมื่อได้รับพระบัญชา เมียเมียก็หุบปีกเอาไว้ด้านข้าง ขยับอุ้งเท้า วิ่งตึงตึงมุ่งหน้าเข้าไปในป่า 

 

 

ยามมันวิ่งคล้ายกับการก้าวกระโดดไปข้างหน้า เชิดหัวยืดอก ทุกครั้งที่ขยับอุ้งเท้าเป็นต้องส่ายสะโพกโยกหางครั้งหนึ่ง 

 

 

แต่เมื่อประกอบกับร่างกายที่ใหญ่โตโอฬารของมัน ดูไปแล้วจึงมิได้แปลกประหลาดสักเท่าไร 

 

 

ตู๋กูซิงหลันและวิญญาณทมิฬได้แต่ทำสีหน้าปวดใจอย่างทำอะไรไม่ได้ 

 

 

เดินไปได้ไม่ทันไร ก็บังเอิญเจอกับจระเข้ยักษ์ ที่โผล่หัวใหญ่ๆ ออกมาพุ่มหญ้ารกชัฏตัวหนึ่ง 

 

 

จระเข้ยักษ์ยังไม่ทันได้อ้าปากขึ้นมา ก็ถูกสัตว์อสูรของจีเฉวียนกระทืบด้วยเท้าเดียวจนแหลกเละไปแล้ว 

 

 

กลิ่นคาวโลหิตพวยพุ่งขึ้นมา ฟุ้งกระจายไปทั่วพงหญ้า 

 

 

ในที่สุดมันก็หยุดลง มองดูใต้อุ้งเท้าที่เลอะเทอะไปด้วยเลือดสดๆ มันตกตะลึงไปครู่ใหญ่ก็ส่งเสียงร้องออกมาครั้งหนึ่ง “เมีย~” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันและวิญญาณทมิฬ “!!!” 

 

 

เสียงแบบนี้มัน ให้ตายเถอะแม่เอ๊ย 

 

 

นี่ที่ฮ่องเต้สุนัขตั้งชื่อให้มันว่าเมียเมียก็นับว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง 

 

 

“ฝ่าบาท มันเป็นแกะหรือเพคะ?” ตู๋กูซิงหลันทั้งตื่นตระหนกและขัดเขินนางอดจะใช้ฝ่ามือทาบอกไม่ได้ 

 

 

จีเฉวียนส่ายพระเศียร “ตอนยังเด็กมันดื่มนมแกะจนเติบโต เลยร้องเมียเมียมาจนติด” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…..” สัตว์อสูรสุดรักสุดหวงนี้เขาเลี้ยงดูมันตั้งแต่เด็กจนโต? 

 

 

“เมียเมียมีนิสัยอ่อนโยน บางครั้งไม่ทันระวังไปเหยียบสิ่งมีชีวิตตาย มันกำลังสำนึกเสียใจ” จีเฉวียนตรัสอย่างเป็นเรื่องสามัญธรรมดา 

 

 

พอตรัสพึ่งจบไป ก็เห็นเมียเมียก้มหัวลง ทันใดนั้นก็อ้าปากกว้าง กลืนกินร่างของจระเข้ยักษ์ลงท้องไปในคำเดียว 

 

 

วิญญาณทมิฬสะดุ้งตกใจจนเกือบจะฉี่ราด 

 

 

แบบนี้ที่บ้านพ่อเรียกว่านิสัยอ่อนโยน? ฮ่องเต้สุนัขเข้าใจคำว่าอ่อนโยนสองคำนี้ผิดไปหรือไม่? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็ทำปากเหวอ รู้สึกว่าที่ก่อนหน้านี้ตนเองไปหาเรื่องตายต่อหน้าจีเฉวียน แต่แล้วยังไม่ได้ถูกเขาฆ่าตาย ต้องนับว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์แล้ว 

 

 

“เมียเมียติดตามเราอยู่เสมอ ตั้งแต่เล็กจนโตก็รู้ดีว่าไม่ควรทำอะไรให้สิ้นเปลือง ถึงมันจะสำนึกเสียใจ แต่ว่าร่างของเจ้าจระเข้ตัวนี้ทิ้งเอาไว้ก็มีแต่จะบูดเน่าเสียเปล่า มันกินลงไปก็ช่วยเก็บกวาดไปเรื่องหนึ่ง” 

 

 

ฝ่าบาทยังคงตรัสโดยพระพักตร์ไม่เปลี่ยนสีต่อไป 

 

 

ระหว่างที่พูดคุยกัน เมียเมียก็เริ่มกระโดดโลดเต้นขึ้นมา ราวกับแกะที่เสียสติ มันพุ่งไปทางซ้ายแล้วก็ย้ายไปทางขวาเข้าไปในกลางป่าลึก 

 

 

ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนหลังของมัน รู้สึกหัวสั่นตัวคลอนราวกับนั่งรถไฟเหาะ 

 

 

หากมิใช่เพราะว่าฮ่องเต้สุนัขคอยกระหนาบอยู่ข้างกายนางตลอดเวลา นางกับวิญญาณทมิฬคงจะถูกเหวี่ยงหล่นลงไปนานแล้ว 

 

 

กระโดดไปสักพัก เมียเมียที่อ่อนโยนก็เหยียบงูหลามดำตัวเขื่องตายไปอีกตัว 

 

 

งูหลามดำถูกเหยียบจนกระดูกหักไปหลายท่อน แต่ร่างของมันยังคงพยายามฝืนต้านทาน ก็ถูกเมียเมียใช้อุ้งเตะหัวขาดกระเด็น 

 

 

มันก้มหัวลงไปด้วยความรู้สึกผิด ใช้จมูกเขี่ยดูเล็กน้อย พอแน่ใจว่าตายแน่นอนแล้ว ก็อ้าปากชุ่มเลือดขึ้นมา งูเหลือมดำก็ถูกมันกลืนลงไปจนเกลี้ยงเกลา 

 

 

วิญญาณทมิฬรู้สึกหัวชา มันรู้สึกว่าตนเองคงต้องยอมถอยออกจากตำแหน่งจอมตะกละเสียแล้ว 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] 麒麟 

 

 

[2] 咩咩 : เสียงแม่แกะร้องเรียกลูก