ตอนที่ 262 รุ่งเรืองสู่ล่มสลาย

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ต่อให้เป็นเจ้าติ๊งต๊องก็ยังสู้เจ้านี่ไม่ได้เลย!

 

 

ขนาดตู๋กูซิงหลันยังได้แต่กลืนน้ำลายลงไป นางมองดูหัวงูยักษ์ที่ถูกเหยียบเละเสียจนจะกลายเป็นซอสเนื้อ ก็ชักจะรู้สึกรับไม่ไหวขึ้นมา

 

 

นางชักจะเชื่อแล้วว่าความรู้สึกที่ฮ่องเต้สุนัขมีให้นางนั้นคงจะเป็นเรื่องจริงอยู่บ้าง

 

 

มิเช่นนั้นไม่ต้องให้เขาลงมือ แค่ส่งเจ้าเมียเมียนี่ออกมาก็สามารถทำให้นางลอยไปสวรรค์ได้แล้ว

 

 

“ไม่ต้องกลัว เมียเมียใจดีมากจริงๆ” ฮ่องเต้เอาแต่ย้ำเตือนอยู่ข้างกายนางตลอด

 

 

ใช่สิ ใจดีมากเลย ไม่เห็นหรือว่าตลอดทางที่กระโดดไปกระโดดมานี้ มันเหยียบสัตว์อื่นตายไปเจ็ดแปดตัวแล้ว

 

 

ยิ่งลึกเข้าไปในป่า พลังวิญญาณยิ่งมาก สิ่งมีชีวิตก็ยิ่งหลากหลาย

 

 

พงหญ้าสูงเท่าตัวคน ใบไม้แต่ละใบใหญ่เท่าร่มคันเล็กๆ

 

 

อากาศชื้นจัด ทั้งยังมีหยดน้ำค้างไหลลงมาจากใบไม้อยู่ไม่ขาด

 

 

ฮ่องเต้ทรงถอดฉลองพระองค์ชั้นนอกของตนเองออกมา คลุมไว้เหนือพระเศียร ให้พระองค์และตู๋กูซิงหลันหลบอยู่ด้านใน

 

 

“น้ำในป่าส่วนมากมีพิษ หากหล่นลงมาโดนใบหน้าก็อาจจะทำให้เสียโฉมได้

 

 

น้ำค้างหยดติ๋งติ๋งลงมาตลอดเวลา แต่ละครั้งเป็นต้องทำให้วิญญาญทมิฬต้องรู้สึกเหมือนถูกราดด้วยน้ำเย็น

 

 

วิญญาณทมิฬที่ไม่เกิดเรื่องอะไรทั้งสิ้นก็อดที่จะกรอกตาบนไม่ได้ มันไม่เห็นที่จะหน้าเละเสียโฉมตรงไหนเลย?

 

 

ความสามารถในการพูดโกหกของฮ่องเต้สุนัขช่างไร้ขีดจำกัดจริงๆ

 

 

ตอนนั้นก็เป็นเพราะฝีปากแบบนี้แหละที่สามารถทำให้รองมหาเสนาบดีผู้นั้นป่วยจนลุกไม่ขึ้น

 

 

ตอนนี้ก็ยังจะเอาคำพูดเหลวไหลเลอะเทอะเหล่านั้นมาไล่จีบตู๋กูซิงหลันอีก

 

 

ใบหน้าของตู๋กูซิงหลันแทบจะแนบติดกับเขา แค่ผินใบหน้าไปเล็กน้อยก็สามารถมองเห็นดวงพักตร์งดงามที่ไร้ตำหนินั้นได้

 

 

ขนตายาวๆ ของเขามีละอองน้ำเกาะอยู่ ดวงตาเป็นประกายสดใสดั่งลูกแก้ว เมื่ออยู่ในป่าแห่งนี้ก็สะท้อนสีเขียวจางๆ ออกมา

 

 

ขณะที่นางกำลังใจลอยอยู่นั้น เมียเมียที่แสนจะใจดีก็กระโดดโลดเต้นอีกครั้ง

 

 

“เมีย~ ”

 

 

รอบนี้พอมันกระโดด เลยทำให้ตู๋กูซิงหลันโผเข้าไปหาจีเฉวียน ริมฝีปากแดงดุจกลีบดอกไม้ของนางประทับลงไปบนมุมพระโอษฐ์

 

 

ฮ่องเต้พลิกพระหัตถ์โอบเอวนางเข้ามาในทันที จากนั้นก็ขยับเข้าไปจุมพิตมุมปากของนางครั้งหนึ่ง

 

 

พระอารมณ์ดีอย่างยิ่ง “เสี่ยวซิงซิง จะเป็นฝ่ายจู่โจมหรือ?”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…..” พูดไปท่านก็คงไม่เชื่อ มันเป็นเพราะฝีมือของเจ้าเมียเมียต่างหาก

 

 

“อยากจูบเรา จะจูบเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องแอบจู่โจมหรอก” ฮ่องเต้สุนัขทำเป็นไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น มุมพระโอษฐ์ขยับยก “หากว่าเสี่ยวซิงซิงชมชอบการจู่โจมแบบนี้ละก็ เราก็ยินดีจะร่วมมือ”

 

 

ตู๋กูซิงหลันปวดฟันไปหมดแล้ว

 

 

นางกรอกตาอยู่ในใจไปหลายรอบ หากไม่ใช่เพราะว่าเขาหน้าตาดีเหลือเกินแล้วล่ะก็ คำพูดแบบนี้ วิธีการเช่นนี้ มันเลี่ยนเกินไปแล้วจริงๆ

 

 

จีเฉวียนเชยคางของนางขึ้นมา ประทานจุมพิตลงไปที่มุมปากของนางอีกครั้ง

 

 

“จูบเราครั้งหนึ่ง เราต้องเอาคืนเป็นสองครั้ง”

 

 

จุมพิศดุจแมลงปอแตะผิวน้ำ ทำให้หัวใจผู้คนคันนิดๆ

 

 

คงเพราะถูกเขาจูบไปหลายทีแล้ว ตู๋กูซิงหลันจึงชักจะไม่ค่อยกังวลมากเท่าไร

 

 

นางหันหน้าไปทางอื่น ไม่คิดจะต่อความอีก

 

 

วิธีการหยอกนิดหยอดหน่อยกับมารดาเลี้ยงตัวน้อยเช่นนี้ ไม่นับว่าสง่างามในที่ใด

 

 

เมื่อมองออกไป ก็เห็นว่าเมียเมียกำลังพาพวกนางปีนขึ้นไปบนยอดเขาเรื่อยๆ

 

 

บนยอดเขามีหิมะเกาะบางๆ

 

 

ภูเขาแห่งนี้มีสี่ฤดู เชิงเขาเป็นหน้าร้อน ยอดเขาเป็นหน้าหนาว

 

 

ยามนี้บนท้องฟ้ามีละอองหิมะตกลงมาน้อยๆ บนพื้นจึงลื่นมาก บนยอดเขามีทั้งลมทั้งหิมะ จึงหนาวเย็นอย่างที่สุด

 

 

ตลอดทางที่ผ่านมาเมียเมียกินสัตว์อสูรต่างๆ มาไม่น้อย ตอนนี้จึงต้องเรอออกมาชุดใหญ่ จากนั้นก็นั่งหมอบอยู่บนยอดเขามองดูทิวทัศน์โดยรอบ

 

 

มันอ้าปากแลบลิ้นเลียอากาศอยู่ไปมา จนหนวดยาวๆ รอบๆ ริมฝีปากพลอยกระดุ๊กกระดิ๊กไปด้วย

 

 

ยิ่งมันทำกริยาเช่นนี้ ดูไปแล้วยิ่งคล้ายแพะตัวใหญ่จริงๆ

 

 

เมื่อมองจากยอดเขาลงไป ก็ยิ่งเป็นภาพที่สวยสดงดงามเกินบรรยาย

 

 

ภูเขาลูกนี้ยังไม่ใช่ลูกที่อยู่สูงที่สุด แต่ก็มีระดับเดียวกับทะเลหมอกแล้ว

 

 

ราวกับว่าได้อยู่บนสวรรค์ ทะเลหมอกสีขาวมากมายม้วนตัวเป็นคลื่นอยู่ด้านหน้า ไม่ไกลจากที่ที่พวกเขาอยู่คือภูเขาเทียนซานที่เป็นจุดศูนย์กลาง

 

 

ส่วนบนของภูเขาเทียนซานล้วนอยู่เหนือหมู่เมฆขึ้นไป มองเผินๆ ดูดำทะมึนไปหมด ราวกับว่าภูเขาทั้งลูกถูกสีดำย้อมลงไป

 

 

ทั้งๆ ที่เห็นว่าบนท้องฟ้ากำลังมีหิมะตก แต่พอตกลงมาบนภูเขาเทียนซาน กลับกลายเป็นสีดำไปหมด

 

 

“ภูเขาเทียนซานลูกนั้น เดิมทีเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงของแคว้นเซอปี่ซือ” จีเฉวียนพาตู๋กูซิงหลันมายืนอยู่บนหัวไหล่ของเมียเมีย มองดูเทียนซานที่ห่างไปไม่ไกล ฉลองพระองค์ตัวนอกยังคลุมอยู่เหนือศีรษะของทั้งคู่ ลมบนยอดเขาพัดมาไม่ขาด ทำให้ฮ่องเต้ที่แต่เดิมก็มีพระวรกายเย็นยะเยือกอยู่แล้วยิ่งหนาวเย็นกว่าเดิม

 

 

ยังดีที่เจ้าอ้วนน้อยข้างพระองค์ร่างกายอบอุ่นเป็นปกติ สำหรับจีเฉวียนตอนนี้นางอบอุ่นเหมือนเตาอุ่นใบน้อยเลยทีเดียว

 

 

จีเฉวียนยืนแนบชิดกับนาง หยิบยืมไออุ่นจากนางอย่างอาจหาญมาเสริมความอบอุ่นให้กับร่างกายของตนเอง

 

 

แคว้นเซอปี่ซือเป็นแคว้นที่ประหลาดนัก คนในแคว้นนี้มีอายุยืนยาว ครอบครองทรัพยากรเหล่านี้ ใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมดสิ้น แต่สุดท้ายแว่นแคว้นกลับล่มสลายเพราะความเกียจคร้าน เจ้าเชื่อหรือไม่?”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน ‘เชื่อกับผีนะสิ มันจะมีเรื่องที่ทั้งแคว้นพากันขี้เกียจจนตายได้ที่ไหนกัน?’

 

 

นับตั้งแต่เข้ามาในหุบเขา ก็รู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณที่เข้มข้น นางก็รู้แล้วว่าความลับที่ทำให้มีอายุยืนยาวของแคว้นเซอปี่ซือนั้นจะต้องเกี่ยวพันกับพลังวิญญาณเหล่านี้แน่

 

 

ส่วนเรื่องที่พากันขี้เกียจจนตายไปทั้งแคว้นนั้น ช่างไร้สาระจนเกินไปแล้ว

 

 

นางส่ายศีรษะ “สวรรค์มีความยุติธรรมเสมอ ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่คงอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ การมีชีวิตยืนยาวเกินไปก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดี”

 

 

“หรืออาจบางที สวรรค์ได้มอบช่วงชีวิตที่ยืนยาวให้กับพวกเขา แต่กลับดึงเอาบางสิ่งไป ฝ่าบาททรงสนพระทัยในสาเหตุการล่มสลายของแคว้นเซอปี่ซือหรือเพคะ?”

 

 

จีเฉวียนเงียบงันไปชั่วครู่ ค่อยตรัสตอบว่า “เรามักจะครุ่นคิดว่า ภายภาคหน้าแคว้นต้าโจวจะมีอนาคตเช่นไร”

 

 

ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่นั้น จะต้องรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง ทำให้แคว้นต้าโจวกลายเป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่ ขยายไปในทุกทิศทุกทาง

 

 

แต่เมื่อเขาจากไปแล้ว ชะตาของต้าโจวจะกลายเป็นเช่นไร?

 

 

“ที่ว่าข้ามผ่านประวัติศาสตร์นานนับศตวรรษล้วนเป็นแค่อุดมคติ ความเป็นไปในโลกล้วนจากกระจัดกระจายเป็นหลอมรวม จากหลอมรวมเป็นแตกแยก น้ำมากไปก็หลากล้น พระจันทร์กลมแล้วยังต้องเว้าแหว่ง สมบูรณ์แล้วบกพร่อง ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอไม่หยุดนิ่ง ฝ่าบาทเพียงกระทำทุกสิ่งในยามนี้ให้ดีก็พอแล้ว เรื่องของอนาคตก็ปล่อยให้ลูกหลานจัดการชะตาชีวิตของพวกเขาเองเถอะ ถึงท่านจะเป็นฮ่องเต้แต่ก็ไม่อาจอยู่ได้ไปชั่วนิรันดร์”

 

 

ยากนักที่ตู๋กูซิงหลันจะกล่าวอะไรที่เป็นจริงเป็นจังเช่นนี้ ทำให้จีเฉวียนต้องมองดูนางอีกหลายรอบ

 

 

ปกติแล้วการแสดงออกของตู๋กูซิงหลันย่อมมิใช่เช่นนี้

 

 

“ตกลงแล้วเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?” เมื่อมองดูใบหน้าที่กลมดั่งซาลาเปาของนาง เขาก็อดจะไถ่ถามไม่ได้

 

 

ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงไปครู่หนึ่ง สมองที่โดนลมหนาวพัดโชยใส่อยู่ตลอดพลันได้สติขึ้นมาไม่น้อย

 

 

ที่จีเฉวียนถามนางเช่นนี้ หรือเพราะรู้แล้วว่าภายใต้เนื้อหนังที่ห่อหุ้มนี้เป็นดวงจิตอีกดวงหนึ่ง?

 

 

แต่ก็ช่างเถอะ คนที่มีฝีมือแข็งแกร่งเช่นเขา ปิดบังไปยังจะได้อะไร?

 

 

ไม่รอให้ตู๋กูซิงหลันตอบพระองค์ ก็ได้ยินจีเฉวียนตรัสว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ต่อไปภายภาคหน้าก็คือสตรีของเรา”

 

 

“เสี่ยวซิงซิง ที่ผ่านมาเราล้วนอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง หัวในของเราเหน็บหนาวตั้งแต่เล็กจนโต เราหวังว่า ในอนาคตเมื่อรวบรวมแผ่นดินได้แล้ว เจ้าจะอยู่เคียงข้างเราเหมือนตอนนี้ มองดูแผ่นดินร่วมกัน”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “ไม่เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันหนาวมากแล้ว!”

 

 

ว่าแล้วนางก็ใช้มือลูบลงไปบนพระศอ ฝ่ามือของนางก็เย็นเป็นน้ำแข็ง ไม่ได้ดีไปกว่าเขาสักเท่าไหร่ “ดูสิเพคะ หนาวจนแข็งไปหมดแล้วใช่ไหม?”

 

 

เมื่อครู่จีเฉวียนสู้อุตส่าห์กลั่นอารมณ์ออกมา อยู่ๆ ก็ถูกนางทำลายบรรยากาศเสียหมดสิ้น

 

 

สตรีผู้นี้…..ช่างรู้จักยั่วโมโหผู้คนดีนัก!

 

 

 

 

——

 

 

* รุ่งเรืองสู่ล่มสลาย 盛极必衰 shèng jí bì shuāi