ตอนที่ 263 เราคิดถึงเจ้าอยู่เสมอ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ริมพระโอษฐ์ที่เย็นจนแข็งถึงกับบิดเบี้ยวไป ผ่านไปอีกพักใหญ่ถึงจะกลับสู่ปกติ

 

 

เขาสมควรจะต้องพิจารณาตนเอง ว่ากล่าวคำหวานได้ไม่กินใจเพียงพอหรือไร ทำไมพอถึงช่วงดีๆ นางถึงคอยแต่จะทำลายบรรยากาศอยู่เรื่อยไป

 

 

ลมบนยอดเขายิ่งทียิ่งพัดแรง ไม่รู้ว่าเมียเมียไปเสาะหาเสือหิมะตัวใหญ่มาจากที่ใด มันใช้อุ้งเท้าคีบเอาไว้ ซ้ำยังใช้ปากเลียเจ้าเสือหิมะที่มีขนปุกปุยจนทั่ว

 

 

เจ้าเสือหิมะมีขนขาวตลอดร่าง ศีรษะก็ใหญ่โต รูปร่างแต่ละส่วนมีกล้ามเนื้อสมบูรณ์ชัดเจน แต่ดวงตาข้างหนึ่งกลับบอดไป จึงดูคล้ายกับมหาโจรตัวเป็นๆ

 

 

ตอนนี้พอมันถูกเมียเมียจับเอาไว้ด้วยอุ้งเท้า ตัวของมันก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง กระทั่งเคราของมันก็ยังสั่นระริกไม่มีหยุด ขณะที่เมียเมียกำลังจะบี้มันลงไป มันก็ส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ คำหนึ่ง

 

 

“เมี้ยววว” เมียเมียอารมณ์ดีขึ้นมาในทันที อุ้งเท้าขนาดใหญ่วางอยู่บนเจ้าเสือหิมะจับมันกลิ้งไปกลิ้งมาไม่หยุด

 

 

ฮ่องเต้ทรงทำพระองค์เป็นดั่งบิดาชราผู้หนึ่ง ที่มีสีหน้าปลื้มปริ่ม “เมียเมียเก็บตัวมาตั้งแต่เล็ก ตนเองไม่มีขน ดังนั้นจึงชอบพวกสัตว์เล็กๆ ที่มีขนเป็นพิเศษ โดยเฉพาะพวกแมว เจ้าแมวขาวตัวใหญ่ตัวนี้ถูกใจมันมากเลย”

 

 

ตู๋กูซิงหลันและวิญญาณทมิฬ เหลือบมองดูเสือหิมะแวบหนึ่ง เอ่อ…ท่านแน่ใจหรือว่านี่คือแมวขาวตัวใหญ่?

 

 

เสือหิมะตัวสั่นสะท้านไปหมด พอได้ยินฝ่าบาททรงเรียกขานมันเช่นนี้ ก็อยากจะถอดกรงเล็บทิ้งเสียให้หมด ดูถูกขนาดร่างกายของมันไปแล้วก็แล้วไปเถอะ แต่ตอนนี้แม้แต่ศักดิ์ศรีความเป็นเสือของมันก็ยังถูกดูถูก

 

 

มันเองก็มีชีวิตอยู่มาร้อยกว่าปีแล้วนะ มันอาศัยอยู่บนภูเขาได้รับเหยื่อที่มีพลังวิญญาณไปแล้ว ตอนนี้จึงเริ่มมีพลังและสติปัญญาขึ้นมาอยู่บ้าง นับว่าสามารถใช้ชีวิตอย่างภาคภูมิได้พอสมควร แต่ตอนนี้กลับถูกมนุษย์เรียกว่าแมวขาวตัวใหญ่?

 

 

กรงเล็บของมันกำลังจะกางออกมา เมียเมียก็เตะอย่างหยอกเย้าไปครั้งหนึ่ง ทำเอาเล็บของมันหักจนหมดสิ้น

 

 

คราวนี้เสือหิมะขาวจึงเปลี่ยนเป็นเชื่องเชื่อขึ้นมา

 

 

ฝ่าบาททรงสรวลอย่างนุ่มนวล “ซิงซิง เจ้าดูสิ เมียเมียรักมันจริงๆ”

 

 

ลูกเตะเมื่อครู่ทำเอาตู๋กูซิงหลันรู้สึกเป็นฝ่ายเจ็บฝ่ามือตนเองแทน แต่นางกลับเห็นสีพระพักตร์ของจีเฉวียนมีรอยแย้มสรวลอบอุ่น ราวกับว่าเขาได้เห็นบุตรของตนเองกระทำเรื่องที่ทำให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญขึ้นมา

 

 

ในตอนนั้นเอง อยู่ๆ นางก็คิดขึ้นมาว่า หากว่าจีเฉวียนมีลูกล่ะก็เกรงว่าคงจะเอาอกเอาใจเสียจนลอยขึ้นฟ้าอย่างแน่นอน

 

 

แล้วนางก็พาลคิดไปถึงพระราชนัดดาองค์โตที่กำลังอยู่ในครรภ์ของพระสนมซูคนงาม ตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้เลยว่าหลานชายคนโตผู้นี้ในอนาคตต้องถูกเลี้ยงขึ้นมาท่ามกลางการประคบประหงมเหมือนดั่งโตขึ้นมาจากไหน้ำผึ้งอย่างแน่นอน

 

 

พอได้รับคำชมจากจีเฉวียน เมียเมียก็ยิ่งอารมณ์ดีมากขึ้นไปอีก มันคีบหัวที่มีขนปุกปุยของเจ้าเสือหิมะเอาไว้ ลากมาหาจีเฉวียนพลางส่งเสียงร้องเมียเมีย

 

 

หากมิใช่ว่ามันยังมีร่างจิตเพียงครึ่งเดียว ตู๋กูซิงหลันย่อมต้องสามารถมองเห็นดวงตาที่โค้งดั่งจันทร์เสี้ยวของมันได้อย่างชัดเจน

 

 

“ถ้าชอบก็เอาไปด้วย” จีเฉวียนในตอนนี้ดูไปคล้ายดั้งบิดาผู้เปี่ยมไปด้วยรักและเมตตา [1]

 

 

 

 

“ลองดูสิว่ายังมีอะไรที่ถูกใจอีกหรือไม่ เอากลับไปให้ซิงซิงสักหลายๆ ตัว เมื่อนางกลับไปที่วังจะได้ไม่เหงา” โปรดปรานสัตว์เลี้ยงก็ส่วนหนึ่ง แต่ว่าตั้งแต่ต้นจนจบฝ่าบาทไม่ทรงลืมเจ้าอ้วนน้อยที่ยืนอยู่ข้างพระองค์เลยสักครั้ง

 

 

สำหรับพระองค์แล้ว เสี่ยวซิงซิงที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู เหมาะกับสัตว์ตัวเล็กพวกที่มีขนเยอะๆ

 

 

“ไม่ต้องคิดเป็นห่วงหม่อมฉันหรอก จริงๆ นะเพคะ” ตู๋กูซิงหลันรีบส่ายศีรษะปฏิเสธ นางมีวิญญาณทมิฬและติ๊งต๊องอยู่แล้ว ไม่คิดจะมี ‘สัตว์ตัวน้อย’ อื่นๆ อีก

 

 

เป็นถึงไทเฮาของแคว้นหนึ่งแต่ถึงกับเปิดสวนสัตว์เอาไว้ในวังหลัง เหมาะสมที่ไหนกัน?

 

 

“เราคิดถึงและห่วงใยเจ้าอยู่ตลอดเวลา” จีเฉวียนแย้มสรวลเพิ่มขึ้น สายพระเนตรอันอบอุ่นแทบจะทำให้ตู๋กูซิงหลันจมน้ำตายอยู่แล้ว

 

 

ส่วนวิญญาณทมิฬที่อยู่ข้างๆ ก็ใกล้จะอืดตายแล้วเช่นกัน ดูสิว่าเจ้ามนุษย์นี้ทำอะไรลงไป?

 

 

ถึงแม้ว่าร่างเดิมของมันจะเป็นหมาป่าดำตัวหนึ่ง แต่ก็ต้องถือว่ามันเป็นหมาป่าโสดอยู่ตัวคนเดียวเหมือนกันนะ มาทำเช่นนี้เห็นใจมันบ้างหรือไม่?

 

 

ฮ่องเต้สุนัขที่เป็นภูเขาน้ำแข็งอันแสนจะสูงส่งนั้น ที่จริงแล้วเป็นเพียงการเสแสร้งหรอกหรือ?

 

 

ดูวิธีที่เขาใช้จีบตู๋กูซิงหลันสิ เขาทำไร้ยางอายทำอย่างไม่เลือกวิธีการ ราวกับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

 

 

ตู๋กูซิงหลันขนลุกชันจนจะพาลร่วงหมดแล้ว

 

 

คำหวานของฮ่องเต้สุนัขบอกว่ามาเป็นต้องมา ทั้งยังมิให้ผู้คนได้ตั้งตัว

 

 

นางกระแอมเสียงครั้งหนึ่ง หันเหสายตาไปทางภูเขาเทียนซานที่อยู่ไม่ไกลออกไป

 

 

ในตอนนั้นเอง บริเวณเมฆหมอกที่อยู่รอบภูเขาเทียนซานก็มีเงาผู้คนเคลื่อนไหว

 

 

ภูเขาเทียนซานเป็นสีดำ กลุ่มเมฆเป็นสีขาว หนึ่งดำหนึ่งขาวก่อให้เกิดการเปรียบเทียบอย่างชัดเจน

 

 

กลางหมู่เมฆ เหล่านักพรตที่ฝึกวิชาเซียนจนถึงระดับเหนือธรรมดา ก็เริ่มเปิดการบุกขึ้นไปบนภูเขา

 

 

ถึงแม้ว่าจะยังอยู่ห่างออกไปค่อนข้างมาก แต่ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังหยินที่กระจายออกมาเป็นระลอกๆ

 

 

เมื่อทะลุผ่านหมู่เมฆไปได้ ที่รออยู่เบื้องหน้าพวกเขาก็คือสายลมกรรโชกแรงที่เหน็บหนาว ราวกับว่าด้านหน้ามีภูเขาน้ำแข็งตั้งอยู่ ลมหนาวเหล่านั้นพัดโหมผ่านภูเขาน้ำแข็งออกมา

 

 

“เริ่มกันแล้ว” ตู๋กูซิงหลันมองดูความเคลื่อนไหวบนภูเขาเทียนซาน มุมปากก็ขยับขึ้นมา ตอนนี้ แม้แต่ดวงตาของนางก็เป็นประกายด้วยความตื่นเต้นน้อยๆ

 

 

จีเฉวียนเห็นนางยิ้มออกมา ในพระทัยก็เกิดความพึงพอใจ

 

 

พระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกไปดึงชายเสื้อของตู๋กูซิงหลัน “ตรงนี้ยังไม่ใช่มุมมองที่ดีเท่าไหร่”

 

 

เพียงแค่กระตุกชายเสื้อเบาๆ ก็ดึงตู๋กูซิงหลันเข้ามาในอ้อมพระอุระ

 

 

จากนั้นจีเฉวียนก็มีรับสั่งออกมา “เมียเมีย ไปกันเถอะ”

 

 

เมียเมียขยับตัวลุกขึ้น ปีกสีดำขนาดใหญ่คู่นั้นกางออก ในขณะเดียวกันเหนือศีรษะของพวกเขาก็มีเงาดำพาดผ่าน

 

 

ปีกขนาดใหญ่เมื่อกางออกก็ยาวกว่าสามจั้ง [2] บนปีกยังมีละอองหมอกสีดำปกคลุมบางๆ ให้ความรู้สึกลึกลับที่คล้ายคลึงกับจีเฉวียน

 

 

กรงเล็บของเมียเมียกำเจ้าเสือหิมะเอาไว้ มันขยับปีกเบาๆ พอส่งเสียงร้องครั้งหนึ่งก็โผจากยอดเขาบินเข้าไปในชั้นเมฆของภูเขาเทียนซาน

 

 

เมื่อไม่ต้องกระโดดแต่อาศัยการโบยบิน เมียเมียที่เดิมทีก็สง่างามมากอยู่แล้วจึงยิ่งดูยอดเยี่ยมขึ้นไปอีก

 

 

สำหรับตู๋กูซิงหลันแล้ว ครั้งก่อนที่เคยรู้สึกเช่นนี้ คือยามที่วิญญาณทมิฬพานางพุ่งทะยานตอนที่อยู่ในโลกก่อนโน้น

 

 

เสียงลมพัดอู้อยู่ริมหู ขณะเดียวกันก็ดึงเอาความทรงจำในโลกก่อนของนางกลับมาพร้อมกัน

 

 

ยามนี้แม้จะมีละอองหิมะมากมายเกาะบนใบหน้านางก็ไม่ได้สนใจ

 

 

วิญญาณทมิฬถูไถมือสั้นๆ ของมัน ทั้งเนื้อทั้งตัวระอุอุ่นขึ้นมา

 

 

มันสามารถรู้สึกได้ ว่าเบื้องหน้ามีอันตรายรออยู่ ภูเขาเทียนซานสีดำที่ใหญ่โตลูกนี้ก็เป็นเหมือนดั่งดอกฝิ่นขนาดยักษ์ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดสำหรับมัน

 

 

ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีอันตราย แต่ก็อดจะเข้าใกล้ไม่ได้

 

 

บางทีที่นี่อาจจะมีโอกาสยิ่งใหญ่รออยู่ ไม่แน่ว่าอาจจะมีหนทางกลับไปสู่โลกปัจจุบันโน้นก็เป็นได้?

 

 

ผ่านไปเพียงครู่เดียว เมียเมียก็พาพวกนางบินผ่านชั้นเมฆขึ้นมา ยิ่งเข้าใกล้เขาเทียนซาน ทั้งคลื่นพลังหยินที่หนาวเย็นและกระแสจิตวิญญาณก็ยิ่งปะปนกันจนยุ่งเหยิง

 

 

เมียเมียไม่ได้พาพวกนางเข้าไปในภูเขาเทียนซาน เพียงแต่หยุดอยู่ในระยะห่างเกือบร้อยเมตร

 

 

พวกนางลอยอยู่เหนือก้อนเมฆ คนที่ด้านล่างก็รู้สึกเพียงแค่ว่าเหนือชั้นเมฆขึ้นไปมีเงามืดเงาหนึ่งอยู่ด้านบน แต่ไม่สามารถมองให้ชัดว่าเป็นอะไรกันแน่

 

 

ที่จริงก่อนหน้านี้เพียงครู่ใหญ่ ก็มีเงาสายหนึ่งทะลุชั้นเมฆลงมา พุ่งเข้าสู่ศูนย์กลางของเขาเทียนซาน

 

 

เห็นดังนั้นจิตใจของพวกเขาก็พากันเคร่งเครียดขึ้นมา รีบติดตามเงาสายนั้นเข้าไปในเทียนซาน

 

 

ก่อนหน้านี้ยังอยู่ห่างออกไป จึงอาจไม่ได้สัมผัสได้ถึงความเข้มข้น ตอนนี้เมื่อขึ้นมาบนเขาเทียนซานแล้ว ทั่วทั้งร่างก็รู้สึกถึงแรงกดดันจนแทบจะหายใจไม่ออก

 

 

กลิ่นอายที่มืดหม่นเกาะกุมจากปลายเท้าซึมเข้าไปในร่าง ทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ กลับทำให้พวกเขาหนาวยะเยือกเหมือนจะกลายเป็นน้ำแข็งไปทั้งตัว

 

 

การที่พวกเขาป่ายปีนขึ้นมาจากตีนเขาเทียนซาน ที่จริงสูญเสียพลังงานไปมากมายแล้ว

 

 

หากเปรียบเทียบกับเหล่าแคว้นใหญ่และเหล่านักพรตที่มีตบะสูง พวกเขานับว่าอ่อนแอกว่ามากจริงๆ ป่ายปีนมาถึงตรงนี้ได้ก็เกือบจะเหลือแค่ครึ่งชีวิตแล้ว เดิมทีพวกเขาคิดว่าจะเกาะติดเหล่าแคว้นใหญ่ขอปันน้ำแกงบ้างสักคำ ตอนนี้ดูท่าแล้ว แม้แต่น้ำแกงก็ใช่ว่าจะได้ดื่มลงไปง่ายๆ

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] 淋漓尽致 lín lí jìn zhì

 

 

[2] 10เมตร