ตอนที่ 264 จับไปทำสัตว์เลี้ยงแสนรัก

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ภูเขาแห่งนี้เปี่ยมไปด้วยอันตราย ยิ่งปีนขึ้นไปก็ยิ่งรู้สึกว่าพละกำลังในร่างกายถูกสูบออกไปเรื่อยๆ 

 

 

คนส่วนใหญ่ในหมู่พวกเขาเป็นผู้มีวรยุทธ์และนักพรต พละกำลังของร่างกายย่อมดีเยี่ยม ที่ผ่านมาล้วนเคยผ่านการปีนภูเขามาไม่น้อย แต่ว่าเมื่อมาถึงที่นี่กลับรู้สึกว่าร่างกายแก่ชราลงไป ปีนขึ้นมายังไม่ทันถึงครึ่งภูเขา ก็พากันหอบหายใจอย่างหนักหน่วงแล้ว 

 

 

เหล่านักพรตจากแคว้นใหญ่ยังมีสภาพดีกว่าอยู่บ้าง มีบ้างที่ยอดเยี่ยมกว่าก็สามารถเหาะไปในอากาศได้ 

 

 

ยามนั้นยังได้ยินคนพูดอีกว่า กระทั่งนักพรตจากภูเขาฮว่าชิ่งซานต่างก็พากันมาถึงแล้ว ภูเขาฮว่าชิ่งซานคือที่ใดกัน? 

 

 

จากคำเล่าลือในแผ่นดินเหล่านักพรตที่สูงส่งเป็นพิเศษล้วนผ่านการฝึกฝนมาจากภูเขาฮว่าชิ่งซาน 

 

 

นักพรตที่ฝึกตนอยู่ในที่นั่น เกรงว่าแต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นระดับสุดยอดทั้งนั้น หากติดตามพวกเขาอยู่ด้านหลังย่อมต้องไม่ผิดพลาดแน่นอน 

 

 

ดูท่าแล้วนักพรตที่เหาะอยู่เหนือเมฆนั้น ก็คงจะมาจากภูเขาฮว่าชิ่งซานด้วยเช่นกัน 

 

 

ภูเขาเทียนซานดำทะมึนไปทั้งลูก ทั้งยังมีไม้ฤดูหนาวสีดำอยู่มากมาย ไม่รู้ว่ามันเป็นพืชหรืออะไรกันแน่ เพียงแค่สัมผัสโดนก็สร้างความเจ็บปวดจากผิวเนื้อไปจนถึงกระดูก 

 

 

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะระมัดระวังกันอย่างยิ่งแล้ว แต่ก็ยังมีคนถูกทิ่มแทงไปไม่น้อย 

 

 

ท่ามกลางหมู่เมฆ ตู๋กูซิงหลันมองลงไป ก็เห็นว่าบนยอดสีดำของเขาเทียนซาน มีทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง 

 

 

หิมะสีขาวที่ร่วงหล่นจากหมู่เมฆลงไปพอสัมผัสโดนน้ำในทะเลสาบก็ถูกย้อมเป็นสีดำในทันที 

 

 

หิมะที่อยู่เหนือทะเลสาบกลายเป็นชั้นน้ำแข็งสีดำ 

 

 

บริเวณรอบๆ ทะเลสาบมีไม้หนามจำนวนนับไม่ถ้วน ไม้หนามเหล่านั้นลำต้นอวบหนา แต่ละต้นมีขนาดไม่เล็กไปกว่าข้อมือของบุรุษฉกรรจ์ ขึ้นรายล้อมอยู่รอบๆ สระสวรรค์จนแน่นขนัดไปหมด 

 

 

ราวกับว่ากำลังปกป้องไม่ให้สระสวรรค์ถูกรบกวน 

 

 

เมียเมียไม่กล้าบินต่ำเกินไป มันกระพือปีกอยู่ตลอด อุ้งเท้าหน้าทั้งสองก็จับเจ้าเสือหิมะตัวใหญ่เอาไว้แน่น 

 

 

เจ้าเสือถูกบีบคอที่เป็นจุดชีวิตเอาไว้ ก็ถึงกับตาเหลือกขาว ใกล้จะขาดใจตายอยู่รอมร่ออยู่แล้ว 

 

 

นี่มันถูกสัตว์อสูรในพันธสัญญาตัวหนึ่งจับมาเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักหรือ? 

 

 

แค่คิดถึงจุดจบ เสือหิมะก็อยากจะน้ำตาไหล 

 

 

แต่พอมันได้เห็นภาพทิวทัศน์เบื้องล่างแล้ว ที่เมื่อครู่อยากจะร้องไห้ ก็เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกขึ้นมา 

 

 

แม่เสือของลูกเอ๋ย! ทำไมมันถึงต้องถูกจับมาตายที่นี่? 

 

 

ภูเขาเทียนซานแห่งนี้แม้แต่พวกมันที่เป็นสัตว์อสูรยังไม่กล้าเข้าใกล้เลยด้วยซ้ำ! 

 

 

“เมี๊ยว เมี๊ยว เมี๊ยว…….” มันรีบส่งเสียงร้องออกมา 

 

 

เมียเมียก้มหัวลงมามองดูมันแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันกลับไปมองดูฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนหลัง ส่งเสียงเมียเรียกเขาครั้งหนึ่ง 

 

 

บรรยากาศรอบสระสวรรค์แห่งนี้ดูประหลาดเกินไป มันเต็มไปด้วยกลิ่นไอของความตายและไอหยิน ให้ความรู้สึกประหนึ่งว่าที่นี่คือสุสานขนาดใหญ่ 

 

 

เป็นความรู้สึกราวกับว่าที่นี่เป็นหลุมศพของผู้คนนับพันนับหมื่น 

 

 

บรรยากาศที่น่าอึดอัดเช่นนี้ แม้แต่ตัวมันก็ยังไม่อยากจะเข้าไปใกล้ 

 

 

“ไม่ต้องกลัว” จีเฉวียนยังคงสงบนิ่ง ดวงเนตรหงส์คู่นั้นเหลือบมองลงไปด้านล่าง 

 

 

ผิวทะเลสาบมีน้ำแข็งหนาๆ อยู่ชั้นหนึ่ง มองดูสงบเงียบ 

 

 

นอกจากต้นไม้หนามที่ขึ้นอยู่แน่นขนัดแล้ว รอบด้านคล้ายกับว่าไม่มีสิ่งอื่นใดอีก 

 

 

ดูเหมือนว่าสิ่งที่เป็นอันตรายนั้นยังไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมา แม้แต่บนท้องฟ้าก็ยังไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติ 

 

 

ในโลกก่อนโน้นตู๋กูซิงหลันเองก็เคยเผชิญเหตุการณ์สำคัญๆ มามากมาย สถานที่ที่มีอันตรายถึงชีวิตเช่นนี้ ยิ่งเข้าไปใกล้แรงดึงดูดก็จะยิ่งมาก 

 

 

แม้แต่สิ่งที่สามารถโบยบินในอากาศก็ไม่อาจโผบินขึ้นมาได้ 

 

 

ตอนนี้การบินของเมียเมียยังไม่ได้รับผลกระทบ พวกนางสามารถยืนดูสถานการณ์จากด้านบนได้อย่างปลอดภัย ราวกับว่าทั้งหมดมีแต่ความราบลื่น 

 

 

ราบลื่นเสียจนทำให้คนไม่สบายใจ 

 

 

นางยืนอยู่ข้างกายจีเฉวียน มองลงไปอย่างเงียบๆ นอกจากไอหยินและคลื่นจิตวิญญาณแล้ว ก็คล้ายกับว่าไม่มีสิ่งอื่นใดอีก 

 

 

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในทะเลทราย เพราะการปรากฏตัวของปีศาจไร้หน้าเหล่านั้น ทำให้นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย แต่ว่าพอมาถึงที่นี่กลับหายวับไปจนหมด 

 

 

พอคิดถึงเรื่องที่ภูติพฤกษาพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่กล้าชะล่าใจ 

 

 

จนผ่านไปอีกพักใหญ่ ในที่สุดจึงเห็นว่ามีคนปีนขึ้นมาถึงยอดเขาแล้ว 

 

 

คนที่นำขึ้นมาก็คือท่านอ๋องสิบแปดแห่งแคว้นฉิน อิ๋งฉี 

 

 

ที่ติดตามอยู่ข้างกายเขาคือเหล่านักพรตในชุดแบบเดียวกัน 

 

 

มีนักพรตบางคนที่บนร่างกายถูกอาบสีสันเพิ่มเติม คาดว่าคงจะโดนพวกไม้หนามทำให้บาดเจ็บ ที่เหลือยังคงอยู่ดี 

 

 

“คุณชาย ทะเลสาบนี้แปลกประหลาดมาก คุณชายโปรดระมัดระวังตัวอยู่ให้ห่างเข้าไว้จะดีกว่า” นักพรตจากแคว้นต้าฉินรายล้อมอยู่รอยกายอิ๋งฉี คอยดูแลเขาอยู่ตลอด 

 

 

ตลอดทางมานี้กลุ่มของพวกเขานำอยู่ด้านหน้าสุด กว่าจะป่ายปีนขึ้นมาได้มิใช่เรื่องง่ายดาย 

 

 

พอมองเห็นทิวทัศน์เบื้องหน้า หัวใจของพวกเขาก็เกิดความหวาดหวั่นขึ้นมา 

 

 

คนกลุ่มหนึ่งอยู่เหนือหมู่เมฆ ทะเลสาบทอดตัวอยู่เบื้องหน้า หมอกขาวทะเลสาบดำขลับ ยังมีไม้หนามที่แน่นขนัดรายล้อม ดูยังไงก็ลึกลับไม่ธรรมดา 

 

 

ใครจะไปรู้ว่าในทะเลสาบสีดำนั่นที่สุดแล้วมีภยันตรายใดรออยู่บ้าง? 

 

 

อิ๋งฉีจดจ้องไปยังทะเลสาบสีดำ จุดที่เป็นศูนย์กลางของทะเลสาบคล้ายจะมีกระแสน้ำหมุนวน แต่ว่าก่อนหน้านี้แรงดึงดูดที่น่ากลัวของน้ำวนนั้นยังไม่ทันได้หายไปก็ถูกทำให้กลายเป็นน้ำแข็งไปเสียก่อน 

 

 

ในทะเลสาบมีกลิ่นคาวโลหิตอยู่จางๆ แม้ว่าจะถูกน้ำแข็งปกปิดเอาไว้ กลิ่นก็ยังคงทำให้คนรู้สึกไม่ดีสักเท่าไร 

 

 

“ไม่มีผู้ใดมาถึงก่อนพวกเรา นี่นับเป็นโอกาสอันดี” อิ๋งฉีพูดพลางก็มองดูเงาที่อยู่บนท้องฟ้าแวบหนึ่ง 

 

 

จากนั้นก็เห็นเขาล้วงเอาแผนที่ขุมทรัพย์ครึ่งใบออกมา 

 

 

แผนที่ขุมทรัพย์แผ่นนั้นนอกจากภาพภูเขาลำธารแล้ว สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือภูเขาเทียนซานครึ่งลูก 

 

 

เขาสะกิดปลายนิ้วให้เป็นแผล หยดเลือดลงไปจากปลายนิ้ว มันไหลกวาดผ่านเบาๆ ลงไปบนแผนที่ขุมทรัพย์ เคลื่อนไหวไปตามเส้นทางแผนที่ขุมทรัพย์ 

 

 

สุดท้ายแล้วหยดเลือดเล็กๆ นั้นเคลื่อนไปหยุดอยูที่มุมหนึ่งของสระสวรรค์ 

 

 

“สามารถเข้าไปจากจุดนั้นได้” อิ๋งฉีเก็บแผนที่ มองดูสระสวรรค์ตรงหน้าอย่างละเอียด จากนั้นก็กำหนดเส้นทางขึ้นมา 

 

 

เหล่าจอมยุทธ์และนักพรตจากแคว้นฉินต่างรับฟัง มุ่งไปยังจุดที่เขากำหนด 

 

 

ตลอดทางขึ้นเขามานี้ พวกเขามีอุปกรณ์มาด้วยอย่างครบครัน ราวกับว่ารู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าจะมีชั้นน้ำแข็งหนารออยู่ ดังนั้นจึงเตรียมอุปกรณ์ที่สามารถจัดการกับน้ำแข็งได้เป็นจำนวนมาก 

 

 

ในมุมลับตาอีกด้านหนึ่ง เหยียนเฉียวหลัวคลี่ยิ้มเย็นออกมา 

 

 

“ต่างก็ว่ากันว่าอ๋องสิบแปดแห่งแคว้นฉินผู้นี้เฉลียวฉลาดปราชญ์เปรื่อง คิดไม่ถึงว่าดูดีแค่หน้าตา แต่คนกลับใช้การไม่ได้” เหยียนเฉียวหลัวเบ้ปาก เก็บสายตากลับมา มองไปยังบุรุษชุดม่วงที่อยู่ข้างกายอีกครั้ง 

 

 

จากนั้นนางก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า “พวกเขาทุบทำลายน้ำแข็งอย่างสะเทือนเลือนลั่นเช่นนี้ มิเท่ากับบอกให้สิ่งที่อยู่ในทะเลสาบรู้หรือว่ามีคนคิดจะบุกเข้าไป?” 

 

 

บุรุษชุดม่วงยืนอยู่ใต้พุ่มต้นไม้หนาม ปลายหนามเส้นหนึ่งเกี่ยวชายเสื้อผ้าของเขา สะกิดเส้นด้ายขึ้นมาเส้นหนึ่ง 

 

 

เขาเหลือบตาดูแวบหนึ่ง ปลายนิ้วตวัดผ่านไปเบาๆ ต้นไม้หนามที่กีดขวางเขาอยู่เมื่อครู่ก็สลายกลายเป็นละอองขี้เถ้า 

 

 

ต้มไม้หนามเหล่านี้ยามที่ถูกเผาไหม้ก็ระเหยกลิ่นที่เหมือนกับเนื้อไหม้ออกมา เหยียนเฉียวหลัวรู้สึกเหมือนกับว่าได้ยินเสียงกรีดร้องเบาๆ 

 

 

เพียงแต่ยังไม่ทันได้ยินให้ชัดเจน เสียงกรีดร้องนั่นก็เงียบหายไปเสียก่อน 

 

 

ในใจของนางพลันตระหนกขึ้นมา คืนนั้นนางและเหยียนหยุนถูกปีศาจไร้หน้ารายล้อมเอาไว้ จากนั้นนางก็สลบไป 

 

 

โชคดีที่ได้รับการช่วยชีวิตจากคุณชายชุดม่วงผู้นี้ ทั้งยังนำนางมายังภูเขาเทียนซานด้วยกัน ถึงแม้จะรู้สึกตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา แค่ใช้เพียงปลายนิ้วก็สามารถแผดเผาต้นไม้หนามเหล่านี้ได้ นับว่าน่าตระหนกอย่างยิ่ง 

 

 

เพราะว่า…….ต้นไม้พวกนี้สร้างขึ้นจากกระดูกและเลือดเนื้อ 

 

 

“เจ้าเองก็เป็นคนที่เคยผ่านการฝึกฝนในภูเขาฮว่าชิ่งซานมาก่อน ไม่รู้สึกว่า ภูเขาลูกนี้จงใจสร้างแรงดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาหรอกหรือ?” ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง บุรุษชุดม่วงค่อยหัวเราะเสียงเย็นออกมา “ในเมื่อตั้งใจจะล่อลวงเข้ามา หากว่าสิ่งนั้นไม่เคลื่อนไหว ก็แสดงว่ามิได้ตื่นตระหนก”