บทที่ 592 อธิบาย

บัลลังก์พญาหงส์

พอเห็นสภาพของไทเฮา ถาวจวินหลันก็ตึงเครียดทันที ตอนที่คิดจะถาม ฉับพลันก็คิดได้ว่าจะต้องทำความเคารพฮ่องเต้ก่อน แต่ยังไม่ทันทำความเคารพ หลี่เย่ก็เอ่ยปากถามว่า “ให้หมอหลวงมาดูหรือยังพ่ะย่ะค่ะ?” 

 

 

นี่ถือว่าไร้มารยาทแล้ว ฮ่องเต้เหลือบมองมาทันที แต่ใบหน้ากลับเรียบเฉย 

 

 

ถาวจวินหลันรีบดึงหลี่เย่เอาไว้ หลี่เย่ถึงได้ค้อมหัวทำความเคารพ “ลูกทำความเคารพเสด็จพ่อ” 

 

 

“หม่อมฉันถาวซื่อทำความเคารพฮ่องเต้ ทำความเคารพไทเฮาเพคะ” ถาวจวินหลันก็ทำความเคารพเช่นกัน จากนั้นพูดเสียงเบาว่า “ไม่ทราบว่าอาการของไทเฮาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ? ให้หมอหลวงดูแล้วหรือยังเพคะ?” 

 

 

ฮ่องเต้ย่อมไม่พูดอะไร แต่จางหมัวหมัวที่คุกเข่าอยู่ข้างตั่งดูแลไทเฮาเป็นคนตอบแทน “หมอหลวงมาดูแล้วเจ้าค่ะ บอกว่าอาจจะกระทบถึงกระดูก อีกทั้งหัวยังกระแทก ไทเฮาถึงยังไม่ได้สติ อาการค่อนข้างรุนแรง เป็นไปได้ว่า…อาจจะตื่นขึ้นมาไม่ได้อีก” 

 

 

พอได้ยินคำพูดนี้ ภายในห้องพลันเงียบสงัด จากนั้นก็ได้ยินเสียงหลี่เย่แฝงไว้ด้วยความโกรธเกรี้ยวเล็กน้อย “อะไรนะ?” 

 

 

ไทเฮาเอ็นดูหลี่เย่มาแต่ไหนแต่ไร ความสัมพันธ์ย่าหลานดีมาโดยตลอด ดังนั้นไทเฮาเป็นเช่นนี้ หลี่เย่จะโกรธก็ไม่น่าแปลก 

 

 

ถาวจวินหลันคิดจะยื่นมือไปจับมือของหลี่เย่เอาไว้ตามสัญชาตญาณ หวังว่าสามารถปลอบประโลมและเป็นที่พึ่งให้เขาได้ แต่เพิ่งจะขยับนิ้ว ก็คิดได้ว่าฮ่องเต้อยู่ข้างหน้า จึงชักมือเก็บกลับไป 

 

 

กลัวว่าหลี่เย่อาจจะพูดอะไรให้ฮ่องเต้ไม่พอใจ ถาวจวินหลันจึงรีบพูดแทรก “ไทเฮาบุญบารมีคำฟ้า ย่อมไม่เป็นไรแน่ ควรเชิญหมอหลวงหลายคนมาตรวจพร้อมกันถึงจะดีนะเพคะ” หมอหลวงคนเดียวไม่อาจหาวิธีรักษาได้ ถ้าเช่นนั้นเชิญคนมามากเสียหน่อยก็จะต้องมีสักวิธี ไม่ว่าจะใช้ยาหรือฝังเข็ม จะต้องมีวิธีอย่างแน่นอน หมอหลวงในวังทำไม่ได้ นอกวังหลวงก็ยังมีหมอ 

 

 

ในที่สุดฮ่องเต้ก็ยอมเอ่ยปาก “ไทเฮาจะต้องไม่เป็นไรแน่นอน” น้ำเสียงฉายแววเหน็ดเหนื่อยและรู้สึกผิดเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ไม่อยากเห็นไทเฮาเป็นเช่นนี้ เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ 

 

 

หลี่เย่กลับไม่พูดอะไร แล้วก้าวขึ้นไปดูไทเฮา 

 

 

ถาวจวินหลันเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ก็เริ่มเป็นห่วงและสงสาร ไทเฮาเป็นเช่นนี้ หลี่เย่คงรู้สึกไม่ดี 

 

 

ขันทีเป่าฉวนเห็นว่าฮ่องเต้ก็ยอมพูด ก็คลายกังวลทันที ถึงได้ก้าวขึ้นไปค้อมตัวสอบถามว่า “ฮ่องเต้จะจัดการเรื่องด้านนอกก่อนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” 

 

 

นักพรตกู่เสียชีวิตเฉียบพลัน ตอนนี้ร่างยังคงถูกวางไว้ตรงนั้น แม้จะบอกว่าสภาพตอนตายไม่ได้น่ากลัว แต่วางศพไว้ตรงนั้นก็ไม่น่ามองและเป็นลางไม่ดีมิใช่หรือ? โดยเฉพาะตอนนี้มีคนไปคนมา ไม่เหมาะสมมิใช่หรือ? 

 

 

ขันทีเป่าฉวนคิดว่าผ่านไปนานขนาดนี้ ในตอนนี้พูดขึ้นมาอีกรอบก็ถือว่าไหลไปตามน้ำ แต่คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้กลับเงยหน้าขึ้นมามองเขา พูดเสียงเย็นว่า “เรื่องราวยังไม่ทันจะชัดเจน ย่อมไม่อาจไปขยับได้” 

 

 

ขันทีเป่าฉวนนิ่งอึ้งไปทันที บนหน้าผากมีเหงื่อผุดออกมา ความหมายของฮ่องเต้นั้นคือต้องการจะเอาความอย่างนั้นหรือ? แต่ไทเฮาเป็นเช่นนี้แล้ว ยังจะเค้นถามต่อไปได้อย่างไร? อีกทั้งไทเฮาเองก็ยอมรับแล้ว ยังจะต้องซักไซ้ไล่เลียงอะไรอีก? หรือว่าจะให้ไทเฮาชดใช้อย่างนั้นหรือ? หรือต้องการลงโทษไทเฮา? 

 

 

ขันทีเป่าฉวนไม่กล้าพูดออกไป จึงทำได้แค่ก้มหน้าถอยไปอีกทางหนึ่ง 

 

 

ฮ่องเต้มองไปทางจางหมัวหมัว จากนั้นพูดว่า “นักพรตก็ตายไปแล้ว แต่เรื่องวุ่นวายจนถึงขั้นนี้แล้ว จะต้องมีคนออกมารับผิดชอบ ข้าไม่โทษไทเฮา แต่ปล่อยคนที่คิดแผนให้ไทเฮาไว้ไม่ได้ หมัวหมัวอยู่ข้างกายไทเฮาทั้งวัน คิดว่าจะต้องรู้ทุกอย่างเป็นแน่” 

 

 

ความหมายนี้คือจะต้องมีคนออกมารับผิดชอบเรื่องนี้ ไทเฮาย่อมไม่อาจออกมารับผิดชอบเองได้ ดังนั้นจึงทำได้แค่หาตัวต้นเรื่อง 

 

 

จางหมัวหมัวรู้ความรุนแรงของเรื่องนี้ดี ไม่ว่าจะพูดชื่อใครออกไป ก็ต้องมีผลลัพธ์ที่ไม่ดีแน่นอน เพราะไม่ว่าใคร ขอแค่ไม่ใช่ไทเฮา ฮ่องเต้ก็ลงโทษได้อย่างง่ายดาย 

 

 

ดังนั้นจางหมัวหมัวจึงแค่ส่ายหน้า พูดอย่างเด็ดเดี่ยว “นี่เป็นความคิดของไทเฮาเพคะ บ่าวไม่กล้าพูดโกหก นี่เป็นความคิดของไทเฮาจริงๆ ไม่เคยมีใครยุยงส่งเสริมเลยเพคะ” 

 

 

เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ไม่เชื่อ หลังยืดตรงนั่งนิ่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ มองจางหมัวหมัวนิ่งไม่พูดจา 

 

 

จางหมัวหมัวคุกเข่าลงไป 

 

 

ภายในห้องเงียบสงัด ฮ่องเต้ไม่เอ่ยปากพูด จางหมัวหมัวย่อมไม่อาจลุกขึ้นได้ 

 

 

ถาวจวินหลันรู้สึกหนักใจแทนจางหมัวหมัว จางหมัวหมัวอายุมากแล้ว คุกเข่านานๆ เช่นนี้ย่อมรับไม่ไหว และท่าทีของฮ่องเต้ เห็นได้ชัดว่าหากไม่บรรลุจุดประสงค์ก็จะไม่ยอมแพ้ 

 

 

แต่นี่ก็ถือเป็นความตั้งใจของไทเฮาจริง ไม่มีใครยุยงส่งเสริมให้ทำแม้แต่น้อย ในความเป็นจริงแล้วคิดว่าคงไม่มีใครกล้าจะยุยงส่งเสริมเรื่องนี้กระมัง? 

 

 

เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้เพียงแค่อยากหาคนมาระบายอารมณ์เท่านั้น สำหรับไทเฮาแล้วเขาไม่อาจทำอะไรได้ แต่สำหรับคนอื่นนั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้นไม่ว่าสุดท้ายจะมีคนหรือไม่ เขาก็แค่ต้องหาคนเช่นนี้ออกมาให้ได้ก็พอแล้ว 

 

 

พูดง่ายๆ ก็คือพาลโกรธและระบายอารมณ์ 

 

 

แต่เขาเป็นฮ่องเต้ ใครจะกล้าปฏิเสธ? เขาต้องการหา ก็ทำได้แค่หา ในเมื่อเขาไม่เชื่อ เช่นนั้นจางหมัวหมัวก็ทำได้แค่คุกเข่าจนกว่าเขาจะเชื่อ 

 

 

หรือจะพูดว่าไม่ได้รับคำตอบที่พอใจจากปากของจางหมัวหมัว เขาไม่ได้ลงโทษจางหมัวหมัว ก็ถือว่าไว้หน้าไทเฮาแล้ว หากเป็นคนอื่นอาจจะไม่สามารถคุกเข่าอยู่ตรงนี้แล้วก็เป็นได้ 

 

 

หลี่เย่เริ่มนั่งไม่ติดที่ เอ่ยปากขอร้องแทนจางหมัวหมัว “จางหมัวหมัวเป็นคนสนิทของไทเฮา และเป็นคนเก่าแก่ที่ดูแลไทเฮามานานหลายปี ตอนนี้ไทเฮาเป็นเช่นนี้แล้ว หากจางหมัวหมัวเป็นอะไรไปอีก แล้วใครจะดูแลไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ? ขอเสด็จพ่อคิดถึงเรื่องนี้ด้วยเถิด ให้จางหมัวหมัวลุกขึ้นมาก่อน พอไทเฮาได้สติขึ้นมา คิดว่าคงไม่อยากเห็นจางหมัวหมัวเป็นเช่นนี้แน่พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ฮ่องเต้เบือนหน้าออกจากร่างจางหมัวหมัว แล้วมองหลี่เย่นิ่ง 

 

 

หลี่เย่ก้มหัวลงเล็กน้อย ท่าทีดูสงบนิ่งเป็นอย่างมาก 

 

 

“พูดไปแล้ว ข้าก็ยังสงสัย” ฮ่องเต้พูดช้าๆ น้ำเสียงนิ่งสงบ “ไทเฮาอยู่ในวังลึกเช่นนี้ ยาพิษนี้ได้มาจากที่ใดกัน? ตวนชินอ๋อง เจ้ารู้บ้างหรือไม่?” 

 

 

เขาเริ่มสงสัยหลี่เย่แล้ว ถาวจวินหลันพลันใจกระตุก คิดว่าไม่ดีแล้ว 

 

 

หลี่เย่ย่อมเข้าใจความหมายของฮ่องเต้ แต่เมื่อเทียบกับถาวจวินหลันแล้ว เขากลับมีสีหน้านิ่งสงบ “เสด็จพ่อพูดถูกพ่ะย่ะค่ะ คิดว่ายาพิษคงไม่ใช่ของภายในวังหลวงเป็นแน่ อย่างไรไทเฮาก็อาศัยอยู่ในวังหย่งโซ่ว ไม่ได้ออกไปที่ใด บรรดาหมอหลวงยิ่งไม่อาจผสมยาพิษให้ไทเฮาได้ คิดว่าคงจะเข้ามาจากนอกวังพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ฮ่องเต้ริมฝีปากกระตุก จากนั้นก็ออกคำสั่งกับขันทีเป่าฉวน “เป่าฉวน เจ้าลองไปสืบดู ช่วงนี้ไทเฮาพบใครมาบ้าง” 

 

 

ขันทีเป่าฉวนทำได้แค่รับคำ 

 

 

ถาวจวินหลันเม้มปากแน่น ช่วงนี้ไทเฮาได้พบเพียงนางและถาวซินหลัน แล้วพวกนางยังเป็นสตรีจากนอกวังหลวง ดังนั้นสุดท้ายแล้วสิ่งที่สืบได้ก็มีเพียงนางและถาวซินหลัน ซึ่งหมายถึงว่าสุดท้ายแล้วฮ่องเต้จะต้องสงสัยนาง หรือไม่ก็หลี่เย่ 

 

 

ตอนนี้ถาวจวินหลันก็คิดถึงความเป็นจริงข้อหนึ่ง ถูกต้องแล้ว ไทเฮาไม่ออกไปไหน ยาพิษเช่นนี้ย่อมไม่ได้หามาจากภายในวัง ดังนั้นยาจะต้องถูกนำเข้ามาจากข้างนอก แต่แท้จริงแล้วใครเป็นคนนำยาเข้ามาให้ไทเฮา? เห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่นาง 

 

 

ดังนั้น…ก็เหลือเพียงถาวซินหลัน 

 

 

หากไทเฮาขอให้ถาวซินหลันทำจริง ถาวซินหลันคงไม่มีทางปฏิเสธไทเฮาแน่นอน อีกทั้งจากนิสัยของถาวซินหลันแล้ว เกรงว่านางคงยินยอมด้วยซ้ำไป 

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งคิดอยู่ในใจ ไม่อาจให้ฮ่องเต้สงสัยถาวซินหลันได้ มิเช่นนั้นถาวซินหลันจะตกอยู่ในอันตราย ฮ่องเต้กำลังกริ้วโกรธ ไม่รู้ว่าจะสั่งบทลงโทษอย่างไร 

 

 

แม้ว่าจะประทานเมตตาเพราะดูจากหน้าของตระกูลเฉิน แต่ถาวซินหลันไฉนเลยจะทนรับความทรมานได้? นางยังตั้งครรภ์อยู่เลย 

 

 

ถาวจวินหลันตรึกตรองอยู่ในใจ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจได้ นางมองหลี่เย่อย่างลุแก่โทษทีหนึ่ง ก่อนคุกเข่าลง พูดเสียงขมขื่นว่า “ทูลฮ่องเต้ เรื่องนี้ไม่ต้องสืบหาเพคะ หม่อมฉันนำมาจากข้างนอกให้ไทเฮาเองเพคะ” 

 

 

ในเมื่อรู้ชัดเจนแล้วว่ายาถูกนำเข้ามาจากนอกวัง เช่นนั้นเรื่องต้องเปิดเผยไม่ช้าก็เร็ว คิดจะปกป้องถาวซินหลัน ย่อมทำได้เพียงรับผิดแทน 

 

 

อย่างไรตอนนี้คนที่เข้าวังหลวงมาพบไทเฮาก็มีเพียงนางและถาวซินหลัน นางไม่เอาตัวเองเข้าไปแทน แล้วใครจะเสนอตัว? 

 

 

ขอเพียงฮ่องเต้ไม่ทำให้นางลำบากใจมากเกินไปถึงจะดี 

 

 

แน่นอนว่าก่อนยอมรับเรื่องนี้ ถาวจวินหลันได้เตรียมใจไว้แล้ว นางคิดในใจว่า หากทำได้ดี คงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยดี 

 

 

แต่หากจัดการได้ไม่ดี แม้ว่านางอาจจะไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต และอาจจะเป็นไปได้เพราะหลี่เย่ถึงไม่ได้มีเรื่องอะไร แต่ก็ส่งผลกระทบก็ยิ่งใหญ่นัก และอาจจะส่งผลถึงหลี่เย่ด้วยเช่นกัน ด้วยเพราะฮ่องเต้คงสงสัยว่าหลี่เย่เป็นต้นคิด 

 

 

แต่นางยังมีตัวเลือกอื่นอีกหรือ? นางต้องปกป้องถาวซินหลันแน่นอน ต่อให้ส่งผลร้ายถึงหลี่เย่ นางก็จะต้องใจดีสู้เสือรับเรื่องนี้เอาไว้ 

 

 

ฮ่องเต้ย้ายสายตากลับมา ทอดมองที่ร่างของนาง 

 

 

ถาวจวินหลันพลันรู้สึกได้ถึงสายตาเย็นชาโหดเ**้ยมของฮ่องเต้ ความรู้สึกเช่นนั้นเหมือนมีดาบพาดอยู่บนคอของนาง เป็นความรู้สึกกลัวจนตัวสั่นสะท้าน 

 

 

ถาวจวินหลันคุกเข่าอยู่นิ่งๆ เหงื่อเย็นบนหลังค่อยๆ ซึมจนเสื้อเปียกชื้น 

 

 

“ดีมาก” ฮ่องเต้ไม่ได้ชักสีหน้าแสดงอารมณ์โกรธ แต่กลับหัวเราะพลางพูดออกมาเช่นนี้ แต่กลับทำให้คนอดหวาดผวาไม่ได้ 

 

 

ถาวจวินหลันรู้สึกได้ว่าคงไม่จบเช่นนี้เป็นแน่ 

 

 

จากนั้นฮ่องเต้ก็ตบที่พักแขนบนเก้าอี้อย่างแรง หยิบถ้วยชาเกือบจะเขวี้ยงลงไปบนพื้น แม้นสุดท้ายแล้วไม่ได้เขวี้ยงลงมา แต่เขาก็หัวเราะเสียงเย็นพูดว่า “ดี ดีมาก! ข้าไม่เห็นรู้ว่าลูกหลานตระกูลหลี่จะเหิมเกริมกันมากแล้ว! แม้แต่ฮูหยินของตระกูลหลี่ก็ยังก่อเรื่องได้ไม่เว้นแต่ละวัน! ยาพิษ ยาพิษช่างดีเหลือเกิน!” 

 

 

หลี่เย่ยืนต่อไม่ไหวแล้วเช่นกัน จึงทำได้แค่นั่งคุกเข่าลงไป ปากก็พูดว่า “เสด็จพ่อได้โปรดระงับโทสะ” ทว่ากลับพูดอย่างอื่นไม่ออก 

 

 

ถาวจวินหลันไม่มั่นใจว่าหลี่เย่จะโกรธนางด้วยเรื่องนี้หรือไม่ แต่นางไม่กล้ามองหลี่เย่ ทำได้แค่ก้มหน้าคุกเข่าลงไป รอคำตัดสินสุดท้ายของฮ่องเต้ 

 

 

แต่ยังดีที่สุดท้ายแล้วฮ่องเต้ให้โอกาสนางอธิบายเหมือนที่นางคาดการณ์เอาไว้ “ถาวซื่อ เจ้ามีอะไรอยากจะพูดอีกหรือไม่?”