บทที่ 593 ไม่ผิด

บัลลังก์พญาหงส์

พอได้ยินฮ่องเต้พูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็สบายใจทันที ขอเพียงฮ่องเต้ยอมเปิดโอกาสให้นางอธิบาย นางก็ยังพอมีโอกาสรอด แค่เกรงว่าฮ่องเต้จะไม่ให้โอกาสนาง 

 

 

สูดลมหายใจเข้าลึก ถาวจวินหลันหมอบตัวลงพลางโขกหัวอย่างจริงจัง แล้วถึงได้เอ่ยปากพูดช้าๆ “ไทเฮาแค้นนักพรตกู่หลอกลวงฮ่องเต้ ทำให้ฮ่องเต้หลงเชื่อวิชาอายุวัฒนะ จนถึงขั้นมีร่างกายทรุดโทรม ดังนั้นไทเฮาถึงได้ขบคิดทุกวิถีทางเพื่อกำจัดนักพรตกู่ ไทเฮาเป็นห่วงพระองค์ในฐานะมารดา คิดว่าฮ่องเต้ก็คงสัมผัสได้เพคะ” 

 

 

ฮ่องเต้มองถาวจวินหลันนิ่ง ไม่ได้พูดอะไรออกมา ท่าทีไม่ได้คล้อยตาม เหมือนว่าคำพูดของถาวจวินหลันไม่ได้เกิดผลอะไรแม้แต่น้อย 

 

 

ถาวจวินหลันหมอบคลานอยู่บนพื้น มองไม่เห็นอะไร ดังนั้นจึงพูดต่อไปว่า “ที่จริงแล้วหม่อมฉันก็คิดเช่นเดียวกับไทเฮา แม้ว่าหม่อมฉันเป็นฮูหยิน แต่ก็เข้าใจเรื่องอายุวัฒนะ ล้วนเป็นสิ่งเพ้อฝันลวงตามาตั้งแต่ไหนแต่ไร อีกทั้งเคยเห็นคนที่ร่างกายทรุดโทรมเพราะพิษจากยาอายุวัฒนะ แต่กลับไม่เคยได้ยินว่าใครทานยาอายุวัฒนะแล้วอายุยืนนานเพคะ ดังนั้นหม่อมฉันจึงไม่เชื่อยาอายุวัฒนะของนักพรตกู่ รู้สึกแค่ว่าตั้งแต่ฮ่องเต้ใช้ยาอายุวัฒนะ ร่างกายก็แย่ลงกว่าแต่ก่อนไม่น้อย ดังนั้นถึงได้กังวลมากเพคะ” 

 

 

ฮ่องเต้ยังไม่เปิดปากพูด แต่ท่าทีดูเย็นชามากกว่าเดิม 

 

 

หลี่เย่มองดูอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกว่าฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ ในใจเคร่งเครียด เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย จะต้องรู้ว่าคำพูดของถาวจวินหลันฟังแล้วไม่เข้าหู ฮ่องเต้ฟังแล้วดีใจถึงจะน่าแปลก 

 

 

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากพูดขัดถาวจวินหลัน แต่พอได้ยินน้ำเสียงนิ่งสงบของถาวจวินหลัน เขาก็ต้องข่มความคิดนี้เอาไว้ สุดท้ายแล้วก็คลายมือที่กำเข้าหากันแน่น คิดในใจว่า ช่างเถิด เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ตนเองจะออกหน้าขอร้องให้ฮ่องเต้ให้อภัยก็ได้ อย่างไรเสด็จพ่อก็คงต้องไว้หน้าเขาบ้าง 

 

 

อีกทั้งในใจของเขาก็มีความหวังบางส่วน รู้สึกว่าบางทีถาวจวินหลันอาจจะทำสำเร็จ 

 

 

“ไทเฮาเสนอให้หม่อมฉันไปหายามาเพคะ หม่อมฉันรับคำ อย่างแรกเพราะปกติแล้วไทเฮาช่วยจวนตวนชินอ๋องหลายอย่าง หม่อมฉันก็อยากจะตอบแทนไทเฮาบ้าง อย่างที่สองก็ด้วยเพราะต้องการช่วยไทเฮากำจัดสิ่งชั่วร้าย ทำให้ฮ่องเต้ได้สติกลับมาเพคะ” ถาวจวินหลันไม่พูดคำหลอกลวงที่หวานไพเราะ เพียงแค่พยายามพูดให้เรียบง่าย 

 

 

ฮ่องเต้เห็นว่าถาวจวินหลันพูดจบแล้ว สุดท้ายก็ไม่นิ่งเงียบอีกต่อไป แต่กลับตบมืออย่างเย็นชา เหมือนว่ากำลังชื่นชม แต่คำพูดที่ออกจากปากกลับชวนให้สั่นสะท้าน “ดีๆๆ ข้าไม่เห็นรู้ว่าถาวซื่อใจกว้างและกล้าหาญเช่นนี้” 

 

 

น้ำเสียงของฮ่องเต้เย็นชา ทั้งยังมีความหมายเย้ยหยัน 

 

 

ถาวจวินหลันหมอบอยู่บนพื้น ไม่พูดอะไรออกมา 

 

 

“ถาวซื่อเอ๋ย คิดจะกำจัดสิ่งชั่วร้ายงั้นรึ!” ฮ่องเต้ระเบิดอารมณ์ออกมาติดต่อกัน เสียงก็พุ่งขึ้นสูงขึ้นหลายส่วน “เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าที่เชื่อวิชามาร ก็ถือว่าเป็นผู้นำเลวอย่างนั้นสิ! เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าไม่เพียงแค่ปล่อยเจ้าไป แต่ยังต้องตกรางวัลให้เจ้าอย่างนั้นหรือ?” 

 

 

ไม่ว่าใครก็มองออก ฮ่องเต้กำลังกริ้วโกรธ อีกทั้งระบายไฟโกรธก่อนหน้านี้ใส่ร่างถาวจวินหลันทั้งหมด 

 

 

ถาวจวินหลันรู้ดีแก่ใจ แต่ก็ไม่กล้าโต้แย้งอะไร เพียงแค่โขกหัวพูดว่า “หม่อมฉันไม่กล้าคิดเช่นนี้เพคะ” เพียงแค่ฮ่องเต้ไม่เอาเรื่องเอาราวกับนางก็ควรต้องขอบคุณฟ้าขอบคุณสวรรค์แล้ว ยังจะคิดถึงรางวัลอะไรอีก? 

 

 

ฮ่องเต้มองไทเฮาทีหนึ่ง และมองถาวจวินหลันอีกที สุดท้ายไม่รู้ว่าคิดอะไรได้ ใบหน้ามืดมนมองไปทางหลี่เย่อีกที 

 

 

ภายในห้องพลันเงียบสงัด 

 

 

ถาวจวินหลันคุกเข่าอยู่บนพื้น แม้จะบอกว่าตอนนี้อากาศเพิ่งกลับมาอุ่นจึงใส่เสื้อผ้าหนา แต่คุกเข่าอยู่นานๆ เช่นนี้ร่างกายก็เริ่มรับไม่ไหว ตอนที่ยังเป็นนางกำนัลบางทีอาจจะยังไม่รู้สึกทรมานขนาดนี้ แต่หลายปีนี้มีชีวิตสุขสบาย ไฉนเลยจะรับความทรมานเช่นนี้ได้อีก? 

 

 

ถาวจวินหลันรู้สึกว่าเข่าทั้งสองข้างเริ่มชาและบวมจนแทบจะรับไม่ไหว แม้จะบอกว่านางไม่ได้ยืดหลังตรงนั่งคุกเข่า แต่หมอบกราบอยู่บนพื้น นานๆ เข้าก็ทรมานมาก โดยเฉพาะฝ่ามือเริ่มมีเหงื่อออก เหนียวติดบนพรม แม้แต่พรมก็เริ่มเปียกชื้น รู้สึกเหนอะหนะน่ารำคาญ 

 

 

ถาวจินหลันเพียงแค่จ้องเขม็งไปที่ลายปักบนพื้นพรมเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ 

 

 

ผ่านไปนาน สุดท้ายฮ่องเต้ก็เอ่ยปากพูดอีกครั้ง แม้ว่าน้ำเสียงเรียบนิ่งไปมากแล้ว แต่ก็ยังให้หนาวเหน็บอยู่ดี “นี่เป็นความคิดของไทเฮาหรือความคิดของพวกเจ้า? ไทเฮามีเมตตา จะใช้วิธีเช่นนี้ได้อย่างไร?” 

 

 

นี่ถือเป็นการสงสัยอย่างเปิดเผย สงสัยหลี่เย่ และสงสัยจวนตวนชินอ๋อง 

 

 

ถาวจวินหลันตื่นตกใจ แทบจะเงยหน้าขึ้นทันที พูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ฮ่องเต้ทรงพระปรีชา! แต่นี่เป็นความคิดของไทเฮาจริงเพคะ แม้ว่าหม่อมฉันจะช่วยเหลือไทเฮา แต่ก็ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับท่านอ๋องเพคะ!” 

 

 

บางทีความตั้งใจปกป้องของนางคงเห็นชัดเกินไป ฮ่องเต้ไม่เพียงไม่เชื่อ แต่ยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม “อย่างนั้นหรือ? ไม่กล้าบอกตวนชินอ๋อง? ตวนชินอ๋อง เจ้าพูดสิว่าเจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่?” 

 

 

หลี่เย่ถูกโยนคำถามใส่ ก็ลังเลอยู่เช่นเดียวกัน แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เพียงแค่พูดเสียงเบาว่า “แม้ลูกไม่รู้เรื่องนี้ แต่ก็ถือว่ามีโทษที่ละเลยหน้าที่ ถึงปล่อยให้ถาวซื่อทำเรื่องโง่เง่าเช่นนี้ แล้วยังพลอยให้ไทเฮาเหนื่อยไปด้วย” 

 

 

คำพูดนี้ถือเป็นการบอกว่าเขาไม่รู้เรื่องนี้จริง แต่ก็เป็นการแสดงท่าทีอย่างดีที่สุด ทำให้ฮ่องเต้ลดความโกรธลงได้ 

 

 

ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็น “โทษละเลยหน้าที่อย่างนั้นหรือ เป็นถึงตวนชินอ๋อง สตรีในจวนของตนเองทำเรื่องเช่นนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องอย่างนั้นหรือ?” 

 

 

บอกได้ว่าฮ่องเต้ยังไม่เชื่อ 

 

 

ถาวจวินหลันเริ่มร้อนรน แต่ก็ยังไม่กล้าเอ่ยปากพูด กลัวว่าจะเผลอทำให้หลี่เย่เดือดร้อนไปด้วย 

 

 

“ถาวซื่อ เจ้ารู้ว่าผิดหรือไม่?” ยังดีที่สุดท้ายแล้วฮ่องเต้ไม่ต้องการให้หลี่เย่ตอบ เพียงแค่หยุดไปครู่หนึ่งแล้วหันกลับมามองถาวจวินหลันอีกครั้ง 

 

 

ท่าทีของฮ่องเต้ดูเรียบนิ่งสบายใจ แล้วยังเป็นมิตรอยู่เล็กน้อย เหมือนว่าขอเพียงแค่ถาวจวินหลันเอ่ยปากสำนึกผิด เขาก็ลบเรื่องนี้ทิ้งได้อย่างง่ายดาย 

 

 

แต่ในใจของถาวจวินหลันไม่เชื่อว่าฮ่องเต้จะลบเรื่องนี้ทิ้งไปอย่างง่ายดาย ดังนั้นหลังจากนางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ส่ายหน้าพูดอย่างมุ่งมั่น “หม่อมฉันไม่คิดว่าทำผิด และยังไม่คิดว่าไทเฮาทำผิดเช่นกัน ไทเฮาหวังดีต่อฮ่องเต้จากใจจริง ขอให้ฮ่องเต้ได้โปรดคำนึงถึงจิตใจของไทเฮาด้วยเถิดเพคะ! แม้หม่อมฉันไม่ควรช่วยไทเฮาหายาพิษ แต่หม่อมฉันก็ไม่รู้สึกเสียใจ! หากให้โอกาสหม่อมฉันเลือกอีกครั้งหนึ่ง หม่อมฉันก็ยังยินยอมเลือกเช่นนี้อีกเพคะ! ฮ่องเต้จะทรงเชื่อวิชามารหลอกลวงไม่ได้นะเพคะ! ขอให้ฮ่องเต้ได้สติโดยเร็วเถิดเพคะ!” 

 

 

ถาวจวินหลันขึ้นคำสุดท้ายด้วยเสียงสูง ไม่เพียงแค่คนในห้องที่ได้ยิน แม้แต่คนเฝ้าประตูก็ได้ยินเช่นกัน 

 

 

ทุกคนรู้สึกตะลึงตาค้างเพราะความเหิมเกริมไม่หวั่นเกรงของถาวจวินหลัน จนอดปาดเหงื่อแทนถาวจวินหลันไม่ได้ คิดว่าครั้งนี้ถาวจวินหลันคงทำให้ฮ่องเต้กริ้วแล้ว จากนี้คงมีผลร้ายตามมาแน่นอน 

 

 

แต่ถาวจวินหลันกลับเหมือนว่าไม่เกรงกลัวต่อความตายใดๆ ทั้งสิ้น 

 

 

หลี่เย่รู้สึกเหมือนหัวใจบีบแน่น จนจังหวะการเต้นผิดจังหวะ แม้กระทั่งจะหายใจก็ยังติดขัดด้วยเครียดจนเกินไป 

 

 

ถาวจวินหลันใจกล้ามากนัก ใช่แล้ว นางเป็นคนใจกล้ามาโดยตลอด ตั้งแต่นางกล้าขอให้ไทเฮาปล่อยนางออกจากวังหลวง เขาก็รู้ว่านางไม่ได้อ่อนแอเหมือนรูปลักษณ์ภายนอก 

 

 

ฮ่องเต้หรี่ตาลงทันที จ้องเขม็งไปทางถาวจวินหลันอย่างเฉียบขาด 

 

 

หลังจากความนิ่งสงัด ฮ่องเต้ก็เอ่ยปากพูดช้าๆ “เจ้าสกุลถาวใช่หรือไม่? เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับถาวจื้ออู้” แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมเคยมีคนพูดกับฮ่องเต้มาก่อน แต่ฮ่องเต้ไม่ได้ใส่ใจ และไม่มีทางคิดมากเรื่องชายารองของลูกชายสักคน ดังนั้นจำไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก 

 

 

ใจของถาวจวินหลันสั่นสะท้าน เริ่มใจไม่ดี นางถอนหายใจเบาๆ พยายามบังคับให้เสียงตัวเองนิ่งสงบ “ทูลฮ่องเต้ ถาวจื้ออู้เป็นบิดาของหม่อมฉันเพคะ” 

 

 

ฮ่องเต้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเรียบๆ ว่า “ท่าทางของเจ้าทำให้ข้าคิดถึงถาวจื้ออู้ในตอนนั้นได้ เจ้ากับเขาเหมือนกันมาก สมแล้วที่เป็นพ่อลูก ถาวจิ้งผิง เป็นลูกชายของถาวจื้ออู้ใช่หรือไม่? ไม่ค่อยเหมือนกันนัก” 

 

 

ฮ่องเต้พูดถึงเรื่องนี้ย่อมทำให้คนแปลกใจมาก ไม่ใช่ว่ากำลังโมโหอยู่หรืออย่างไร? ทำไมฉับพลันก็หวนรำลึกเรื่องเก่าเล่า? 

 

 

ตอนที่ทุกคนเริ่มสงสัย ฮ่องเต้กลับพูดว่า “แต่เจ้ากับถาวจื้ออู้เหมือนกันที่สุด พวกเจ้าช่างน่าเบื่อหน่าย เข้าใจว่าตนเองกระทำถูกต้อง ทั้งที่เหิมเกริมทำชั่วเหมือนกัน!” 

 

 

เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย ความโกรธของฮ่องเต้ก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศภายในห้องเคร่งเครียดในพริบตา 

 

 

“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครถึงได้กล้ามาสอนข้า?” ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็นติดต่อกัน “แต่ก่อนนี้พูดกันว่าตวนชินอ๋องตามใจเจ้า ข้ายังไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่วันนี้ดูแล้วเห็นท่าว่าตวนชินอ๋องจะตามใจเจ้ามากเกินไปจริงๆ เจ้าถึงได้ใจกล้าบ้าบิ่นได้ขนาดนี้!” 

 

 

หลี่เย่ได้ยินเช่นนั้นก็คุกเข่าใหม่ รีบพูดว่า “เพราะลูกสั่งสอนได้ไม่ดีเองพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“เจ้าสั่งสอนได้ไม่ดีจริง!” ฮ่องเต้นตำหนิหลี่เย่เสียงดัง “เจ้าเพียงแค่สั่งสอนไม่ดีอย่างนั้นหรือ? นี่เห็นชัดว่าเจ้าละเลยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้! เจ้าอย่าคิดว่าข้าแก่เลอะเลือนไม่รู้ความคิดของพวกเจ้า! ปกติแล้วดูกตัญญูมาก แต่ความเป็นจริงเล่า? คงคิดอยากให้ข้าตายไปเร็วกระมัง? พวกเจ้าสมรู้ร่วมคิดกับขุนนาง สร้างพรรคสร้างพวกของตนเอง คิดว่าข้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ?!” 

 

 

ใครก็คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะพูดเช่นนี้ ดังนั้นไม่ว่าเป็นใครก็ต้องนิ่งตะลึงไปเพราะคำพูดนี้ เรื่องเช่นนี้คิดอยู่ในใจถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่พอหลุดปากพูดออกมาแล้ว นั่นย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง 

 

 

ฮ่องเต้ไม่ได้หมายถึงหลี่เย่เพียงคนเดียวเท่านั้น คำว่า ‘พวกเจ้า’ นั้นรวมไปถึงลูกชายของเขาหมดทุกคน 

 

 

เห็นชัดว่าฮ่องเต้โมโหถึงขีดสุดแล้ว ดังนั้นถึงได้พูดอะไรเช่นนี้ออกมา 

 

 

พอฮ่องเต้กล่าวโทษและเค้นถาม หลี่เย่ก็ทำได้แค่โขกหัวเสียงดัง “ลูกมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ไม่กล้าหรือ?” ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็น “กล้าไม่กล้าเจ้ารู้ดีแก่ใจ เจ้ากล้าพูดว่าเจ้าไม่อยากเป็นรัชทายาทหรือไม่เล่า? ไม่อยากแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้? การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าและองค์รัชทายาท คิดว่าข้าตาบอดมองไม่เห็นหรืออย่างไร?!”