บทที่ 594 โบยจนตาย

บัลลังก์พญาหงส์

ฮ่องเต้พูดแรงจูงใจออกมา ไม่ว่าจะเป็นองค์ชายคนไหน พอได้ยินเช่นนี้เกรงว่าคงหนีไม่พ้นชื่อความทะเยอทะยานโฉดชั่ว 

 

 

หลี่เย่กำหมัดแน่น น้ำเสียงยิ่งเรียบเย็นมากกว่าเดิม “ลูกไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ” เขาไม่กล้าพูดว่าเขาไม่อยากเป็นองค์ชายรัชทายาท เขาอยากเป็นองค์ชายรัชทายาท อยากเป็นฮ่องเต้ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าพูดความจริง ว่าเขาไม่กล้า 

 

 

ฮ่องเต้ย่อมคาดเดาความคิดของหลี่เย่ได้ จึงแค่นหัวเราะออกมา “ไม่กล้าพูดว่าไม่อยากเป็นองค์รัชทายาท หรือว่าไม่กล้าคิดเช่นนี้กันแน่?” 

 

 

ถาวจวินหลันเองก็กำหมัดแน่นอย่างอดไม่ไหว เล็บยาวจิกเข้าไปกลางฝ่ามือจนชา ฮ่องเต้เค้นถามเช่นนี้ ยังเป็นบิดาผู้เมตตาอยู่หรือ? แม้ว่าหลี่เย่จะคิดเช่นนี้ แต่เขาเคยคิดทำเรื่องผิดศีลธรรมมาก่อนหรือ? เขาแย่งชิง ก็เพราะเขามีคุณสมบัติมากพอ และเพราะฮ่องเต้มอบคุณสมบัตินั้นแก่เขา 

 

 

“เสด็จพ่ออยากพูดอะไรกันแน่พ่ะย่ะค่ะ?” หลี่เย่ได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ ก็เริ่มโมโหเช่นกัน จึงเงยหน้าขึ้นมา สบตากับฮ่องเต้อย่างสงบนิ่ง “เสด็จพ่ออยากให้ลูกคืนอำนาจในมือ ลูกก็ไม่มีทางทัดทานอะไรเป็นแน่ หากเสด็จพ่ออยากโยนโทษมาให้ลูก ลูกก็ไม่ทัดทานเช่นเดียวกัน ขอแค่เสด็จพ่ออย่าเป็นเช่นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ทำไมถึงอยากกำจัดนักพรตกู่นักเล่า?” ฮ่องเต้มองตาของหลี่เย่ด้วยสายตาลุกโชน เค้นถามว่า “เพราะเจ้ากลัวว่านักพรตกู่จะต่อชีวิตให้ข้าใช่หรือไม่! เจ้ากลัวว่ายาอายุวัฒนะของนักพรตกู่จะทำให้ข้ากลายเป็นคนหนุ่ม! พอเป็นเช่นนี้เจ้าก็จะไม่มีโอกาสไต่เต้าใช่หรือไม่!” 

 

 

ถาวจวินหลันเงยหน้าอย่างตื่นตะลึง จากนั้นก็มองเห็นสีหน้าเกรี้ยวโกรธแทบคลั่งของฮ่องเต้ ไม่น่าดูอย่างยิ่ง ฉับพลันนางก็คิดได้ว่า ความหวังดีของไทเฮาอาจจะเสียแรงเปล่า ฮ่องเต้คลั่งไปแล้ว คงกู่ไม่กลับอีกแล้ว 

 

 

กลัวว่าหลี่เย่จะพูดอะไรให้ฮ่องเต้บันดาลโทสะอีก ถาวจวินหลันจึงชิงพูดก่อนว่า “เรื่องกำจัดนักพรตกู่เป็นความคิดของหม่อมฉันกับไทเฮาเพคะ ฮ่องเต้ทรงพระปรีชา ท่านอ๋องไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ เพคะ” 

 

 

ฮ่องเต้มองถาวจวินหลันพลันก็หัวเราะ พูดอย่างโหดเ**้ยม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต เข้ามา ลากถาวซื่อไปโบยจนตาย!” 

 

 

โบยจนตาย เป็นการทำโทษที่เห็นบ่อยที่สุดในวังหลวง คือการกดคนทั้งเป็นไว้กับที่ และใช้ท่อนไม้หนาโบยตีลงไปบริเวณสะโพก จนขาดอากาศหายใจตาย ปกติแล้วคนที่ถูกโบยจนตายนั้น ครึ่งล่างของร่างกายจะอาบไปด้วยเลือดไม่น่ามอง ไม่สามารถเห็นลักษณะที่สมบูรณ์ได้ 

 

 

การตายเช่นนี้เมื่อเทียบกับเหล้าพิษ ผ้าขาวหรือว่าตัดศีรษะแล้วยิ่งเจ็บปวดมากกว่า มีคนมากมายที่ตายเพราะความเจ็บปวด 

 

 

ฮ่องเต้พูดประโยคเช่นนี้ออกมาอย่างง่ายดาย เรียบนิ่ง จากที่คนนอกมองแล้วถาวจวินหลันได้รับความรัก ความโปรดปรานถึงที่สุด ฐานันดรสูงส่งเกียรติยศเต็มเปี่ยม แต่จากที่ฮ่องเต้เห็นแล้ว นางก็เป็นเพียงแค่มดตัวน้อยเท่านั้น สามารถบีบให้ตายได้ตามใจชอบ ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องใดทั้งสิ้น 

 

 

ถาวจวินหลันพลันตึงเครียด หน้าซีดเผือด มองไปทางหลี่เย่อีกที ใบหน้าไม่น่ามองเช่นกัน 

 

 

ฮ่องเต้ตั้งใจพูดตบหน้าหลี่เย่ อีกทั้งยังตั้งใจเตือนหลี่เย่อีกด้วย 

 

 

ภายในห้องนั้นมีแค่ขันทีเป่าฉวนและจางหมัวหมัวสองคน คนอื่นต่างล่าถอยออกไปตั้งแต่ตอนที่ฮ่องเต้บันดาลโทสะแล้ว พอขันทีเป่าฉวนได้สติกลับมาจากความตื่นตะลึงแล้ว ก็สบตากับจางหมัวหมัว มีความร้อนใจอยู่ในที 

 

 

ขันทีเป่าฉวนก้าวขึ้นไปข้างหน้าด้วยความลังเล พูดกล่อมฮ่องเต้เสียงเบา “ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ หากทำเช่นนี้คุณชายน้อยซวนเอ๋อร์และคุณหนูหมิงจู…” ที่จริงแล้วเขาอยากจะพูดว่าขอให้เห็นแก่หน้าตวนชินอ๋อง แต่พอคิดดูแล้ว ฮ่องเต้คงจะไม่เปลี่ยนคำพูดเพราะเหตุผลนี้ ดังนั้นจึงแก้เป็นซวนเอ๋อร์ก่อนจะพูดออกไป ไม่ว่าอย่างไรฮ่องเต้ก็เอ็นดูซวนเอ๋อร์กับหมิงจูจริง 

 

 

ฮ่องเต้ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้านิ่งเงียบไป 

 

 

ขันทีเป่าฉวนลอบถอนหายใจเบา คิดว่าน่าจะได้ผลแล้ว 

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จากการที่ฮ่องเต้นิ่งเงียบจะเป็น “หลังโบยถาวซื่อจนตายแล้ว ให้แต่งตั้งซวนเอ๋อร์เป็นพระโอรสองค์โตขององค์รัชทายาท ให้ตวนชินอ๋องเป็นองค์รัชทายาท และเลือกสตรีที่เพียบพร้อมมาเป็นพระชายา จะได้อบรมเลี้ยงดูซวนเอ๋อร์อย่างดี” 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็แทบจะสิ้นสติไป นี่หมายความว่าอะไร? นี่เป็นการปรึกษาว่าจะตบแต่งคนใหม่ให้หลี่เย่อย่างไร แล้วยังแย่งลูกชายของนางไปต่อหน้าต่อตา! 

 

 

ที่น่าหงุดหงิดที่สุดก็คือฮ่องเต้ยังคงใช้น้ำเสียงสบายๆ พูดคุย ส่วนเรื่องแต่งตั้งหลี่เย่เป็นองค์รัชทายาทก็เหมือนพูดถึงการแลกเปลี่ยนหรือปลอบใจเท่านั้น และยังเป็นการบีบบังคับให้หลี่เย่เลือก เจ้าไม่ได้อยากเป็นองค์รัชทายาทหรืออย่างไร? เช่นนั้นก็เอาชีวิตของถาวซื่อมาแลก เจ้าเอ็นดูถาวซื่อมาตลอดมิใช่หรือไร? ข้าจะคอยดูว่าผู้หญิงสำคัญกว่าการไต่เต้าขึ้นตำแหน่งฮ่องเต้หรือไม่ 

 

 

ถาวจวินหลันเม้มปากแน่น ห้ามใจไม่ให้หันไปมองหลี่เย่ นางเชื่อมั่นในตัวหลี่เย่เต็มเปี่ยม หากหลี่เย่เลือกเก็บตำแหน่งและไม่สนใจความเป็นความตายของนาง ก็ขอตายไปจะดีกว่า! 

 

 

ฮ่องเต้ให้หลี่เย่เลือก ไม่ใช่เพียงถาวจวินหลันและหลี่เย่ที่หน้าเปลี่ยนสี แม้แต่จางหมัวหมัวและขันทีเป่าฉวนก็อดสั่นสะท้านไม่ได้เช่นกัน 

 

 

‘ฮ่องเต้คลุ้มคลั่งไปแล้ว’ 

 

 

นี่คือความคิดของทุกคน 

 

 

หลี่เย่ลองมองสีหน้าของฮ่องเต้ สูดลมหายใจลึกพูดอย่างมุ่งมั่นว่า “ลูกขอไม่เป็นองค์รัชทายาท ขอแค่ถาวซื่อปลอดภัย หากเสด็จพ่ออยากกำจัดถาวซื่อจริง เช่นนั้นก็จัดการลูกก่อนเถิด ลูกถือเป็นหัวหน้าครอบครัว ย่อมต้องรับผิดชอบเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

หลี่เย่พูดอย่างเปิดเผยและมั่นใจ เปี่ยมด้วยความหมายอยากปกป้อง 

 

 

ถาวจวินหลันลอบถอนหายใจ ฉับพลันก็รู้สึกอุ่นใจ หลี่เย่ตัดสินใจโดยไม่ลังเล เห็นชัดว่านางสำคัญกับเขามากเพียงใด ตนเองเป็นสตรี แล้วนางยังจะหวังอะไรอีก? 

 

 

“ฮ่องเต้โปรดพิจารณาด้วยเพคะ!” จางหมัวหมัวเองก็ทนนิ่งไม่ไหวแล้ว รีบเอ่ยปากขอร้อง “ฮ่องเต้เพคะ เรื่องนี้เป็นความคิดของไทเฮา เหตุใดต้องพาลไปถึงจวนตวนชินอ๋องด้วยเพคะ? อีกทั้งฮ่องเต้ก็เป็นเช่นนี้แล้ว ถือว่าเสริมชะตาให้ไทเฮา ได้โปรดให้อภัยชายารองถาวด้วยเถิดเพคะ อย่างไรชายารองถาวก็ให้กำเนิดและเลี้ยงดูซวนเอ๋อร์กับหมิงจูมา อีกทั้งนางยังมีผลงานเมื่อครั้งเกิดโรคระบาดครั้งนั้นด้วยเพคะ หากให้โบยตีนางจนตาย เกรงว่าประชาชนคงไม่พอใจแน่เพคะ” 

 

 

จางหมัวหมัวพูดถูกต้องที่สุด หลังจากผ่านเรื่องโรคระบาดมา แม้ว่านางเป็นเพียงสตรี แต่ก็มีชื่อเสียงและได้รับคำชื่นชมและใจจากราษฎรมากล้น ครอบครัวที่เคยประสบโรคระบาดมาก่อน ได้รับความเมตตาจากถาวจวินหลัน ในตอนนี้ก็ยังเคารพบูชายป้ายชื่อของถาวจวินหลันอยู่เลย 

 

 

หากสั่งโบยถาวจวินหลันจนตาย ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องบอกกับราษฎรอย่างไร 

 

 

แต่คำพูดของจางหมัวหมัวไม่เพียงแค่ไร้ผล แต่ยังทำให้ฮ่องเต้กริ้วกว่าเดิม ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็น “ด้วยเหตุนี้ถาวซื่อถึงได้ใจกล้า! ยิ่งนางเป็นเช่นนี้ ข้าก็ยิ่งต้องจัดการนาง เพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู!” 

 

 

ถาวจวินหลันคุกเข่ากับพื้น ค่อยๆ ลุกขึ้นมา ไม่สนใจกฎเกณฑ์มารยาทอีกต่อไป ทว่าสบตากับฮ่องเต้และพูดว่า “ฮ่องเต้ต้องการกำจัดหม่อมฉัน หม่อมฉันเองก็ไม่มีคำวิงวอนใดๆ ทั้งนั้น แต่ก่อนตายมีบางคำถามที่อยากถามฮ่องเต้เพคะ” 

 

 

ใครก็คิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะเอ่ยปากพูดตอนนี้ ฮ่องเต้ก็มองถาวจวินหลันทีหนึ่ง พยักหน้าด้วยท่าทีสนใจ “ในเมื่อเจ้าจะตายแล้ว ข้าจะยอมฟังสักหน่อยแล้วกัน” 

 

 

ถาวจวินหลันขอบพระทัย “ขอบพระทัยฮ่องเต้เพคะ” หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยคำถามแรกออกมา “หม่อมฉันขอถามฮ่องเต้ว่าแท้จริงแล้วหม่อมฉันทำอะไรผิดหรือเพคะ?” 

 

 

ฮ่องเต้นิ่งไป จากนั้นใบหน้าก็เผยความโกรธออกมา “ทำผิดตรงไหน? เจ้าเอายาพิษเข้ามาในวังหลวง แค่เรื่องนี้ก็สมควรตายแล้ว! เจ้าวางยาทำให้คนที่มีฐานันดรตาย นี่ก็เป็นความผิด ตนเองเป็นฮูหยินของคนในราชสำนัก ทำผิดทั้งที่รู้อยู่แก่ใจก็ยิ่งมีความผิดทบทวีคูณขึ้นไปอีก!” 

 

 

“หม่อมฉันยอมรับว่านำยาพิษเข้ามาในวังหลวง แต่หม่อมฉันมิได้ทำร้ายคนมีฐานันดร หากฮ่องเต้บอกว่าเป็นนักพรตกู่ นักพรตกู่ตายในวังหลวง หม่อมฉันยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน แล้วจะบอกว่าวางยาได้อย่างไรเพคะ? ส่วนเรื่องที่หม่อมฉันเป็นฮูหยินของคนในราชสำนัก หม่อมฉันคิดว่าตัวหม่อมฉันมีส่วนต้องความรับผิดชอบปกป้องแผ่นดินคุ้มครองความยุติธรรม ทำให้ผู้นำเป็นผู้นำที่ดี นักพรตกู่ใช้เรื่องอายุวัฒนะมาล่อลวงฮ่องเต้ให้ลุ่มหลง คนเช่นนี้ถึงจะสมควรตายเพคะ!” ถาวจวินหลันพูดรายงานด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน มีพลังและอำนาจโน้มน้าวจิตใจ  

 

 

ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็น “คนเป็นฮูหยินควรจะดูแลสามีเลี้ยงดูลูกอยู่ที่บ้าน ถึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เจ้ามาร้อนรนเรื่องเช่นนี้ก็เป็นแค่สตรีที่เข้ามายุ่งการเมืองเท่านั้น อีกทั้งเจ้าเองก็สามารถให้ตวนชินอ๋องส่งฎีกาเกลี้ยกล่อม แล้วทำไมจะต้องคิดหาวิธีเช่นนี้ด้วย? เป็นเพราะเจ้าเล่ห์เท่านั้นเอง” หยุดไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ก็พูดอีกว่า “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องที่เอายาพิษเข้ามา ก็มีโทษสมควรตายแล้ว” 

 

 

“หม่อมฉันเป็นคนรุ่นหลัง แต่เดิมควรจะเชื่อฟังผู้ใหญ่ ไทเฮาเสนอเรื่องยาพิษขึ้นมา หม่อมฉันขอถามฮ่องเต้เสียหน่อยว่าหม่อมฉันควรให้ หรือไม่ควรให้เพคะ?” ถาวจวินหลันถามฮ่องเต้กลับเช่นนี้ แต่ไม่ทันที่ฮ่องเต้เอ่ยปากก็พูดต่อไปว่า “หากไม่หามาให้ หม่อมฉันก็ถือว่าอกตัญญูไม่เชื่อฟัง หากหามาให้ หม่อมฉันก็นำยาพิษเข้ามาในวัง ทั้งสองอย่างล้วนมีความผิด หม่อมฉันควรจะเลือกอย่างไรเพคะ? อีกอย่างว่ากันตามตำแหน่งฐานะ หากหม่อมฉันไม่ทำตามที่ไทเฮาสั่ง นั่นก็ถือว่ามีความผิดฐานต่อต้าน มีโทษสมควรตายเช่นเดียวกัน หม่อมฉันควรจะทำอย่างไรเพคะ?” 

 

 

ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายเหลืออดเล็กน้อย “เป็นแค่เพียงการเถียงอย่างแยบยลเท่านั้น หากเจ้าฝากให้ตวนชินอ๋องมาบอกเรื่องนี้กับข้า โศกนาฏกรรมนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร? แม้แต่ไทเฮาเป็นเช่นนี้ก็เพราะเจ้า” 

 

 

“เป็นเพราะหม่อมฉันจริงหรือเพคะ?” ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ นิ่งมองฮ่องเต้ พร้อมถามกลับเสียงเบา “หากฮ่องเต้ไม่เคยลุ่มหลงไปกับวิชามาร แล้วยังเชื่อคำพูดของไทเฮา ไทเฮายังต้องใช้วิธีนี้หรือเพคะ? ฮ่องเต้ก็ตรัสเองว่า ปกติแล้วไทเฮามีเมตตา ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ แต่พระองค์ลองคิดดูว่าทำไมไทเฮาจะต้องทำเช่นนี้เล่าเพคะ? ถ้าไม่ใช่เพราะพระองค์ ถ้าไม่ใช่เพราะลูกชายที่นางรัก ไทเฮายังต้องทำถึงขั้นนี้หรือเพคะ? หม่อมฉันเป็นแม่คนเหมือนกัน ย่อมเข้าใจความรู้สึกขมขื่นของไทเฮา ถึงได้ยินยอมช่วยไทเฮาทำการนี้เพคะ” 

 

 

“นักพรตกู่เป็นคนบำเพ็ญเพียรสูงส่ง จะใช้วิชามารได้อย่างไร?” ฮ่องเต้ได้ยินถาวจวินหลันพูดว่าวิชามารเห็นชัดว่าไม่เห็นด้วย สุดท้ายแล้วก็พูดโต้แย้ง 

 

 

“ขอถามฮ่องเต้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีใครเคยกินยาอายุวัฒนะแล้วเป็นอมตะบ้างเพคะ?” ถาวจวินหลันไม่ได้กลัวฮ่องเต้ที่กริ้วโกรธ เพียงแค่ส่งเสียงถาม 

 

 

ฮ่องเต้ตะลึงไป จากนั้นก็พูดว่า “แม้ว่าคนที่เป็นอมตะล้วนเป็นคนบำเพ็ญเพียรขั้นสูงละทางโลก เคยที่จะเอาออกมาพูดไปทั่วหรืออย่างไร? อีกอย่างในอดีตก็เคยมีฮ่องเต้หลายคนได้เป็นเซียน แล้วยังมีผู้เฒ่าลัทธิเต๋า ไม่ใช่ว่ากลายเป็นเซียนหมดอย่างนั้นหรือ? สตรีความรู้น้อยเช่นเจ้าไม่เชื่อเรื่องเหล่านั้นเท่านั้นเอง” 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นพวกเขาเสวยยาอายุวัฒนะจนกลายเป็นเซียนหรือเพคะ?” ถาวจวินหลันถามกลับ 

 

 

ฮ่องเต้พลันชะงักไป