บทที่ 595 เตรียมตาย

บัลลังก์พญาหงส์

“พูดเยอะเช่นนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะไว้ชีวิตเจ้าหรืออย่างไร?” ฮ่องเต้อับอายแค้นใจจนเกิดโทสะ จึงได้พูดเช่นนี้ 

 

 

 

 

 

           ถาวจวินหลันหลุบตาลง ตอบว่า “หม่อมฉันไม่ได้คิดเช่นนี้เพคะ” 

 

 

 

 

 

           “ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะพูดมากทำไม?” ฮ่องเต้แค่นหัวเราะ 

 

 

 

 

 

           “เพียงแค่ไม่อยากให้ฮ่องเต้ละเลยความหวังดีของไทเฮาเท่านั้นเพคะ ทำให้ฮ่องเต้เข้าใจว่าเรื่องนี้แท้จริงแล้วใครคือคนผิด ไม่ว่าอย่าไรหม่อมฉันก็ต้องตาย หม่อมฉันย่อมต้องอยากตายอย่างมีคุณค่าเพคะ” ถาวจวินหลันพูดอย่างเปิดเผย มองไปยังฮ่องเต้ “ฮ่องเต้ พระองค์เป็นโอรสสวรรค์ คิดว่าคงไม่ได้พาลไปถึงคนอื่นเพราะว่าหม่อมฉัน ท่านอ๋องเป็นลูกชายของพระองค์ พระองค์ย่อมไม่มีทางละเลยพาลไปถึงท่านอ๋องเป็นแน่เพคะ มีเพียงแค่ซวนเอ๋อร์และหมิงจูที่หม่อมฉันไม่วางใจ ขอให้ตอนที่ฮ่องเต้เลือกพระชายาองค์รัชทายาทจะต้องเลือกสตรีมีศีลธรรม คุณธรรมงดงาม พื้นฐานอารมณ์อ่อนน้อม ซวนเอ๋อร์ก็แล้วแต่เขาเถิด แต่เรื่องแต่งงานของหมิงจูขอให้ฮ่องเต้และท่านอ๋องรอบคอบหนักแน่นด้วย จะต้องเลือกคนดีให้แก่นาง อย่าทำให้นางได้รับความไม่ยุติธรรมเลยเพคะ” 

 

 

 

 

 

           พอพูดจบถาวจวินหลันก็ก้มหมอบอย่างสวยงาม ไม่พูดอะไรออกมาอีก ท่าทีผ่าเผยพร้อมรับความตาย 

 

 

 

 

 

           หลี่เย่เห็นท่าทางของถามจวินหลันก็ตกใจ แทบจะพูดออกมาในทันทีว่า “ลูกมีความผิดมากที่สุดพ่ะย่ะค่ะ ขอให้เสด็จพ่อได้โปรดไว้ชีวิตถาวซื่อด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ซวนเอ๋อร์และหมิงจูยังเด็ก ไม่อาจขาดแม่แท้ๆ ดูแลได้นะพ่ะย่ะค่ะ! ตอนที่ลูกยังเด็กก็เคยพบพานกับความลำบากเช่นนี้ จึงไม่อยากให้ลูกของตนเองต้องมาเจอเรื่องเดียวกันอีก! คนอื่นจะดีอย่างไรก็ยังไม่ใช่แม่แท้ๆ อยู่ดี จะเอามาแทนที่กันได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?” 

 

 

 

 

 

           หลี่เย่พูดด้วยน้ำเสียงแทบจะสะอึกสะอื้น 

 

 

 

 

 

           ถาวจวินหลันไม่เห็นท่าทีของหลี่เย่ แต่น้ำตาเริ่มไหลลงมาจนเปียกพื้นพรม และหายไปอย่างไร้ร่องรอย พูดตามจริงแล้ว นางรู้สึกผิดอยู่บางส่วน นางเพียงแค่คิดว่าฮ่องเต้จะเห็นแก่จวนตวนชินอ๋องอย่างมากก็ลงโทษสถานเบาวิจารณ์สถานหนัก คงไม่ถึงขั้นจะเอาชีวิตนาง แต่คิดไม่ถึงว่า… 

 

 

 

 

 

           ฮ่องเต้ไม่เหมือนในอดีตอีกต่อไป ฮ่องเต้ในตอนนี้หาความเมตตาและใจดีเหล่านี้ไม่เจออีกแล้ว มีแต่ความโหดเ**้ยม ไร้เยื่อใย 

 

 

 

 

 

           นางไม่ได้คิดเสียใจที่ออกรับผิดแทนถาวซินหลัน แต่คิดว่าตนเองบุ่มบ่ามเกินไป น่าจะคิดหาวิธีอื่น ไม่ใช่เหมือนตอนนี้ อีกทั้งนางเองก็ไม่ควรทำให้ฮ่องเต้โกรธ 

 

 

 

 

 

           แต่ฮ่องเต้เป็นเช่นนี้ นางจะรู้สึกผิดไปก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นในใจของนางจึงหนักเหมือนมีหินก้อนใหญ่ตกลงไปในบ่อน้ำลึกไม่เห็นก้นบ่อ ไม่เห็นขอบสระ 

 

 

 

 

 

           ถาวจวินหลันถอนหายใจ ในใจนั้นมีความรักและตัดใจไม่ขาดอย่างลึกซึ้ง และยังมีความรู้สึกผิดต่อหลี่เย่ แม้ว่าจะตาย ก็ควรตายอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่ร้องไห้เจ็บปวดทรมาน ขี้ขลาดอ่อนแอ 

 

 

 

 

 

           ผ่านไปนานฮ่องเต้ก็ยังไม่พูด แต่กลับมองสลับไปมาระหว่างหลี่เย่กับถาวจวินหลันด้วยสายตาซับซ้อน  

 

 

 

 

 

           จางหมัวหมัวคุกเข่าขอร้องแทนถาวจวินหลัน “ขอร้องฮ่องเต้ไว้ชีวิตถาวซื่อด้วยเถิดเพคะ” 

 

 

 

 

 

           ขันทีเป่าฉวนก็คุกเข่าเช่นเดียวกัน “ฮ่องเต้ ได้โปรดคิดให้ถี่ถ้วนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

 

 

 

           สุดท้ายแล้วฮ่องเต้ก็ไม่ได้ฟังคำขอร้องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับพูดว่า “ในเมื่อถาวซื่อคิดว่าตนเองไร้ความผิด พูดจาถกเถียงถือว่าทำผิด ให้แก้โทษเป็นประทานเหล้าพิษหนึ่งจอก” 

 

 

 

 

 

           จากที่ฮ่องเต้ดูแล้ว การเปลี่ยนโทษเป็นเหล้าพิษหนึ่งจอก ถือว่าเป็นการให้เกียรติแล้ว 

 

 

 

 

 

           ถาวจวินหลันตื่นตกใจ และกลัวว่าหลี่เย่จะพูดอะไรเพราะความใจร้อนอีก จึงพูดขอบพระทัยก่อน “หม่อมฉันขอบพระทัยฮ่องเต้เพคะ ขอให้ฮ่องเต้ทรงพระเจริญเพคะ!” 

 

 

 

 

 

           ฮ่องเต้มองไปยังถาวจวินหลันทีหนึ่ง จู่ๆ ก็พูดว่า “แต่งตั้งถาวซื่อเป็นตวนคังฮูหยิน ฝังศพตามยศพระชายา และจดชื่อใส่ตราหยก” 

 

 

 

 

 

           นี่ถือเป็นการแต่งตั้งพระชายาหลังเสียชีวิต ถาวจวินหลันคิดไม่ถึงว่าตนเองทุ่มเทแรงกายแรงใจมามากมายขนาดนี้ก็ยังไม่บรรลุสิ่งที่หวังไว้ แต่หลังจากเสียชีวิตแล้วจะสำเร็จได้ แน่นอนว่านางไม่คิดว่าฮ่องเต้ทำไปเพราะว่าใจอ่อนกับนาง คิดดูแล้วก็เพียงเพราะซวนเอ๋อร์และหมิงจูเท่านั้นเอง แม้จะบอกว่าหลังจากตายไปจะถูกแต่งตั้งเป็นพระชายาตวนชินอ๋อง แต่ก็ถือว่าได้ตำแหน่งแล้ว เช่นนั้นซวนเอ๋อร์และหมิงจูก็ถือว่าเป็นลูกชายคนโตและลูกสาวคนโตจากภรรยาเอก 

 

 

 

 

 

           ฐานะพุ่งขึ้นกว่าเท่าตัว แม้หลังจากนี้หลี่เย่จะตบแต่งพระชายาคนใหม่อีก ก็ไม่มีทางข่มขู่ซวนเอ๋อร์และหมิงจูได้ 

 

 

 

 

 

           บางทีนี่ก็ถือว่าฮ่องเต้ใจอ่อนคล้อยตาม และทำเพื่อหลี่เย่ คำพูดของหลี่เย่นั้นสุดท้ายแล้วก็ยังมีผลต่อฮ่องเต้ 

 

 

 

 

 

           เพียงไม่นาน ถาวจวินหลันก็สับสนจนพูดไม่ออก ทำได้แค่เพียงขอบพระทัยอีกครั้ง 

 

 

 

 

 

           “ลากตัวออกไป” ฮ่องเต้สะบัดมือ ไม่มองหลี่เย่แม้แต่น้อย น้ำเสียงมีความเหน็ดเหนื่อยแฝงอยู่เล็กน้อย 

 

 

 

 

 

           หลี่เย่มองฮ่องเต้นิ่ง คิดจะเอ่ยปากพูด เขาคิดว่าหากถาวจวินหลันจากไป ตัวเขายังมีความหมายอะไรอีก? ต่อให้ในอนาคตจะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน แล้วยังมีความหมายอะไร? นอกจากจะกลายเป็นพ่อม่ายตัวคนเดียวเท่านั้น 

 

 

 

 

 

           ยังไม่ทันให้เขาได้พูดอะไร ก็ได้ยินเสียงไทเฮาดังขึ้นมากะทันหัน “ฮ่องเต้ เจ้ายังคงดื้นรั้นไม่ได้สติหรืออย่างไร?” 

 

 

 

 

 

           ทุกคนตื่นตะลึง ล้วนมองไปทางไทเฮาทันที กลับเห็นว่าไทเฮาลืมตานอนมองอยู่อย่างที่คาดไว้ มองฮ่องเต้ด้วยสายตาเฉียบคม ใบหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง 

 

 

 

 

 

           ทุกคนดีใจ จากนั้นก็ปาดเหงื่อ ไทเฮาเพิ่งได้สติก็พูดเช่นนี้แล้ว ฮ่องเต้คงจะต้องโมโหอีกใช่หรือไม่? 

 

 

 

 

 

           แต่ไทเฮาไม่กลัว อย่างไรนางก็เป็นแม่แท้ๆ ของฮ่องเต้ ไทเฮายังมีอะไรต้องกลัวกัน? แม้ว่าใต้หล้านี้ไร้คนกล่าวโทษหรือขัดใจฮ่องเต้ แต่นางกล้า 

 

 

 

 

 

           หลี่เย่เหมือนมองเห็นความหวัง มองไทเฮาอย่างเปี่ยมด้วยความหวัง ขาดแค่เพียงเอ่ยปากพูดขอร้องไทเฮาให้ช่วยถาวจวินหลันเท่านั้น 

 

 

 

 

 

           ถาวจวินหลันก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หากไทเฮาปกป้องนาง คิดว่านางคงมีความหวังแล้วเช่นเดียวกัน 

 

 

 

 

 

           ฮ่องเต้กลับขมวดคิ้วหงุดหงิด “เสด็จแม่เพิ่งจะได้สติ พักผ่อนให้ดีเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ต้องการบอกให้ไทเฮาอย่าเข้ามายุ่งกับเรื่องเหล่านี้ และดูแลร่างกายตนเองให้ดี 

 

 

 

 

 

           “ฮ่องเต้ ตอนแรกเสด็จพ่อของเจ้าเคยคิดกำจัดเจ้ามาก่อนหรือ? เสด็จพ่อของเจ้าเคยหวาดระแวงเจ้ามาก่อนหรือ? ลองคิดดู ตอนนั้นเสด็จพ่อของเจ้าเลี้ยงดูเจ้าอย่างไร สอนราชการทีละอย่างด้วยมือของตนเองไม่ใช่หรือ?” ไทเฮาไม่มองฮ่องเต้อีก เพียงแค่หลับตาลง น้ำเสียงนั้นยิ่งผิดหวังและเจ็บปวดมากกว่าเดิม “พวกเจ้าพี่น้องก็เคยมีการทะเลาะเบาะแว้งมาก่อน แต่เสด็จพ่อของเจ้าก็ยังปกป้องเจ้ามากที่สุด ทำไมเล่า? เพราะว่าฮ่องเต้องค์ก่อนเข้าใจว่า เจ้าเป็นคนที่เหมาะสมเป็นฮ่องเต้ที่สุด เพื่อประชาชนในแผ่นดิน เพื่อกิจการของแผ่นดิน เขายังสนับสนุนเจ้าอย่างสุดกำลังตัว มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าตอนที่เสด็จพ่อสวรรคตไป เจ้าจะได้จับสิทธิ์ทางราชสำนักอย่างง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร?” 

 

 

 

 

 

           “แต่เจ้าเองเคยดูหรือไม่ว่าตัวเองทำอะไร!” เสียงของไทเฮาดุดันขึ้นทันที เสียงดังก้องจนทำให้ตื่นจากภวังค์ 

 

 

 

 

 

           ฮ่องเต้นิ่งเงียบในทันใด แต่ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เพียงแค่พูดว่า “เสด็จพ่อฉลาดเฉลียว” 

 

 

 

 

 

           “หากฮ่องเต้องค์ก่อนรู้ว่าเจ้าจะมีวันนี้ พระองค์ไม่มีทางสนับสนุนเจ้าแน่นอน” ไทเฮาพูดอย่างเจ็บปวด “หากเขารู้ว่าเจ้าจะหลงเชื่อวิชามาร หากรู้ว่าเจ้าหวาดระแวงองค์ชายรัชทายาทวางตัวเป็นใหญ่ ปล่อยตามใจองค์ชายคนอื่น ให้พวกเขามาบีบบังคับองค์ชายรัชทายาท หากเขารู้ว่าเจ้าจะมีวันที่ต่อต้านเช่นนี้ จะโหดเ**้ยมไร้เมตตา ไร้เหตุผลจนถึงขั้นบีบบังคับลูกชายตนเอง เขาไม่มีทางเลือกเจ้ามาสืบทอดตำแหน่งของเขาเป็นแน่ ในตอนนั้นฮ่องเต้องค์ก่อนทำอย่างไรเมื่อรู้สึกว่าร่างกายทนไม่ไหวแล้ว? พระงอค์พยายามปูทางให้เจ้ามากที่สุด แต่เจ้าเล่า?! เจ้าบอกข้า ว่าเจ้าทำอย่างไร!” 

 

 

 

 

 

           ไทเฮามีร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว หลังจากพูดติดต่อกันยาวเช่นนี้ ก็เริ่มจะหายใจไม่ทันแล้ว 

 

 

 

 

 

           จางหมัวหมัวกังวลมาก พูดเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำตานองหน้า “ไทเฮาได้โปรดระงับโทสะเถิดเพคะ พระองค์ต้องรักษาสุขภาพนะเพคะ!” 

 

 

 

 

 

           ฮ่องเต้อ้าปาก แต่ก็พบว่าตนเองนั้นไม่อาจพูดอธิบายอะไรได้แม้แต่คำเดียว ไทเฮาพูดถูกทั้งหมด เขาสู้ฮ่องเต้องค์ก่อนไม่ได้จริงๆ เขาช่าง… 

 

 

 

 

 

           ไทเฮามองฮ่องเต้นิ่งเย็น พอลมหายใจเริ่มสงบลงแล้วถึงได้พูดต่อ “ฮ่องเต้ ทำไมเจ้าไม่พูดอะไรเล่า? เพราะพูดคำโต้แย้งไม่ออกอย่างนั้นหรือ? ควรเป็นผู้นำอย่างไร ฮ่องเต้องค์ก่อนเคยสอนเจ้าเอาไว้ ทำไมเจ้าถึงได้ลืมเล่า? ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้นำที่ดี แต่ตอนนี้ฮ่องเต้ลองถามใจของตนเอง ลองมองสวรรค์ดูว่าเจ้าเป็นฮ่องเต้ที่ดีหรือไม่! กลุ่มกบฏบีบเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แผ่นดินตกอยู่ในอันตาย เจ้าไม่คิดจะปราบความโกลาหล แต่กลับหลงใหลไปกับเรื่องยาอายุวัฒนะที่หลอกลวงเพ้อฝันเหล่านี้ เจ้าทำดีต่อประชาชนตาดำๆ แล้วอย่างนั้นหรือ? เจ้าทำตามคำสั่งเสียของฮ่องเต้องค์ก่อนแล้วหรืออย่างไร?  

 

 

 

 

 

           สุดท้ายฮ่องเต้ก็ทนไม่ไหว ลุกขึ้นคุกเข่าลงไป “ไทเฮาระงับโทสะเถิด ลูกผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

 

 

 

           “เจ้าทำผิดจริง” ไทเฮาหลับตา น้ำเสียงเหน็ดเหนื่อยผิดหวัง “เพื่อนักพรตคนเดียว เจ้ายังกล้าไล่เลียงข้าเช่นนี้ ดูท่าทางเจ้าเป็นฮ่องเต้มานาน คงไม่เห็นใครอยู่ในสายตาแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบที่ข้าเข้ามายุ่ง คิดว่าข้าเข้ามาขัดขวางแผนการอายุวัฒนะของเจ้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ขัดขวางเจ้าแล้ว แค่นำเหล้าพิษจอกนั้นที่มอบให้ถาวซื่อมาให้ข้าก็พอ” 

 

 

 

 

 

           พอพูดจบทุกคนล้วนตื่นกลัว ฮ่องเต้เองยิ่งรู้สึกผิด รีบโขกหัวในทันใด “เสด็จแม่!” 

 

 

 

 

 

           “เงียบปาก! ข้าไม่มีลูกชายเลอะเลือนเช่นเจ้า!” ไทเฮาพูดเสียงเย็น สายตาเฉียบคมเหมือนมีด หันไปทางขันทีเป่าฉวน “ขันทีเป่าฉวน ยังไม่รีบไปเอาเหล้ามาอีก” 

 

 

 

 

 

           ขันทีเป่าฉวนย่อมไม่กล้า เพียงแค่โขกหัวติดต่อกัน แม้แต่พูดก็ยังพูดไม่ออก 

 

 

 

 

 

           จางหมัวหมัวก็เริ่มเอ่ยปากเกลี้ยกล่อม 

 

 

 

 

 

           “ช่างเถิด จางหมัวหมัวเจ้าไปเสีย” ไทเฮาสั่งอย่างเหน็ดเหนื่อย สุดท้ายแล้วก็ลืมตามองถาวจวินหลัน พูดออกมาว่า “ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนช่างแผนการ แต่ต้องยอมรับว่าเจ้าสืบทอดศักดิ์ศรีของถาวจื้ออู้มา และเป็นพี่สาวที่ดี แต่ครั้งนี้เจ้าเข้าใจผิดไปแล้ว ซินหลันไม่เคยแอบเอายาพิษมาให้ข้า ยานั้นข้าเหลือมาจากสมัยก่อน” 

 

 

 

 

 

           ถาวจวินหลันนิ่งอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะออกมาเช่นนี้ 

 

 

 

 

 

           ไทเฮาก็ยังพูดต่อไป คราวนี้หันไปพูดกับฮ่องเต้ “ท่าทางที่นักพรตกู่ตาย ฮ่องเต้คิดว่าคุ้นตาหรือไม่? หลินซื่อก็ตายเช่นนี้เหมือนกัน เจ้าจำได้หรือไม่? เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับถาวซื่อ เจ้าอย่าเอาผิดนางเลย และยิ่งไม่ต้องคิดว่ามีความเกี่ยวกับเย่เอ๋อร์ เขาไม่รู้อะไรทั้งสิ้น หลังจากข้าตายไป ช่วยฝังข้าไว้ข้างกายเสด็จพ่อของเจ้า นอกจากนั้นแล้วข้ายังตามหานักพรตจากสำนักเดียวกัน อาจารย์คนเดียวกันมาได้ คิดว่านักพรตคนนั้นคงทำได้ทุกอย่าง เจ้ายินยอมให้เขาปรุงยาอายุวัฒนะต่อไป หรือจะถามเขาว่ายังมีชีวิตยืนยาวได้หรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า” 

 

 

 

 

 

           พอพูดเรื่องเหล่านี้จบ ไทเฮาก็ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว หลับตาโดยไม่มองใครอีก