อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับซูจิ่นซีที่กำลังขมวดคิ้วมุ่น ท้ายที่สุด อู๋จุนก็ต้องยอมจำนน เขาเดินไปหาซูจิ่นซีและเดินไปพร้อมกับนาง โดยมีมู่หรงอวิ๋นไห่เดินตามมาด้านหลัง
พวกเขาเดินไปได้ไม่ไกลนัก เป็นดั่งที่นางพูดไว้ มีตะขาบพิษจำนวนมากเดินเข้ามาหาพวกเขาจริงๆ
ตะขาบเหล่านี้ถูกเลี้ยงด้วยพิษ หัวของมันเมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดใหญ่กว่าปกติสี่ถึงห้าเท่า ลำตัวของมันเรืองแสง ขณะที่พวกมันเดินบนพื้นจะเกิดเสียง ‘ซี้ด ซี้ด’ ทั้งเสียดหูและน่าขนลุก
เห็นได้ชัดว่าสัตว์เทพกิเลนอยู่ข้างหน้า คงไม่มีปัญหาอันใด ทว่าอู๋จุนยังยืนอยู่เบื้องหน้าซูจิ่นซีเพื่อแสดงท่าทีปกป้องนาง
ซูจิ่นซีไม่ได้คัดค้าน
ตะขาบพิษเหล่านั้นเดินเข้ามาหาพวกเขาด้วยท่าทีดุดัน ภาพเหตุการณ์ช่างน่าสะพรึงกลัว ทันใดนั้น มันก็พุ่งเข้ามาหาซูจิ่นซีกับพรรคพวก ราวกับพวกเขาเป็นเหยื่อ
อย่างไรก็ตาม พวกมันยังไม่ทันได้เข้าใกล้ซูจิ่นซีกับพรรคพวก ความน่าเกรงขามของสัตว์เทพกิเลนก็ทำให้พวกมันตกใจกลัว
ตะขาบพิษที่หัวเล็กหน่อยค่อยๆ หดหัวถอยไปด้านหลัง ส่วนพวกที่หัวโตหน่อยก็มารวมตัวกันอยู่แถวหน้า
ตะขาบพิษกับสัตว์เทพกิเลนเผชิญหน้ากัน สถานการณ์หยุดชะงักชั่วครู่ พวกมันต่างสงบนิ่งและเตรียมพร้อม
สัตว์เทพกิเลนยืนอยู่ตำแหน่งเดิม ไม่มีท่าทีผิดปกติ และไม่ทำอันใดแม้แต่น้อย ทว่าต่อให้มันยืนอยู่ที่เดิมไม่ทำอันใด ก็สามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามหวาดกลัวได้
เนื่องจากหัวของมันใหญ่มาก ทั้งฐานะของสัตว์เทพกิเลนก็เพียงพอที่จะคุกคามพวกมันได้แล้ว
ครู่หนึ่ง ตะขาบพิษที่มีขนาดหัวใหญ่ที่สุดก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ตะขาบพิษที่เหลือต่างค่อยๆ ถอยหลังตามไปเช่นกัน ทว่าถอยไปได้ไม่กี่ก้าว เหล่าลูกสมุนตะขาบพิษก็ใช้ขาตะกุยพื้นอย่างแรงจนเกิดเสียงดังเสียดหู จากนั้นเหล่าตะขาบพิษก็ราวกับเม็ดถั่วที่ถูกเทลงมาจากจาน พวกมันพุ่งเข้าโจมตีซูจิ่นซีกับพรรคพวกอย่างดุดัน
“โฮก! ”
สัตว์เทพกิเลนยกเท้าหน้าขึ้น และกระทืบลงบนพื้นอย่างแรง จากนั้นจึงชูคอคำรามเสียงดังกึกก้อง เสียงนั้นเต็มไปด้วยพลังรุนแรง เหล่าตะขาบพิษที่กำลังพุ่งเข้ามาราวกับฝุ่นตลบต่างตกใจกลัวจนต้องถอยกลับไป
ทว่าตัวจ่าฝูงที่มีขนาดหัวใหญ่ที่สุดกลับหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย
ดูแล้ว ตะขาบพิษที่เฝ้าประตูทางออกจะมีที่มาไม่ธรรมดา แตกต่างจากตะขาบพิษทั่วไป
หลังจากสถานการณ์หยุดชะงัก ตะขาบพิษที่ตื่นตกใจก็กลับมารวมแถวกันอีกครั้ง และพุ่งเข้าโจมตีจุดที่ซูจิ่นซียืนอยู่
สัตว์เทพกิเลนแผดเสียงคำรามก้อง ตะขาบพิษจำนวนครึ่งหนึ่งพลันลอยกระเด็นออกไปไกล
อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ พลังของสัตว์เทพกิเลนรุนแรงกว่าก่อนหน้านี้มาก เมื่อตะขาบพิษกระเด็นไปกระแทกกับผนังหิน พวกมันก็ร่วงลงบนพื้น ร่างกายแข็งทื่อ และไม่ขยับเขยื้อนอีกเลย
ตะขาบพิษจ่าฝูงตัวสั่นเทาเล็กน้อย มันค่อยๆ ถอยหลัง ตะขาบพิษที่เหลือจึงถอยหลังตามเช่นกัน
ครั้งนี้พวกมันถอยจริงๆ
ทว่า ขณะที่ทุกคนคิดว่าตะขาบพิษตกใจกลัวสัตว์เทพกิเลนและกำลังล่าถอยออกไป ทันใดนั้น ตะขาบพิษจ่าฝูงก็งอตัวก้มหัวลงไปที่ท้องของมัน จากนั้นก็เกิดเสียงปริแตกดังขึ้น ร่างกายของมันค่อยๆ ปรากฏรอยแตก
รอยแตกนั้นเป็นเหมือนปากของตัวอ่อน ปากนั้นค่อยๆ อ้ากว้าง เมื่ออ้ากว้างจนถึงขีดสุด ทันใดนั้น ตะขาบพิษจำนวนนับร้อยก็คลานออกมาจากด้านใน
หัวของตะขาบเหล่านั้น แม้จะมีขนาดเล็ก ทว่าลำตัวของพวกมันเป็นสีแดงโลหิต อีกทั้งตำแหน่งที่ถูกพวกมันสัมผัสจะเกิดเป็นไอพิษสีแดงฟุ้งกระจาย
หลังจากนั้น เหล่าตะขาบพิษที่เหลือต่างทำเหมือนกับจ่าฝูงของพวกมัน ภายในร่างกายของพวกมันมีตะขาบพิษสีแดงโลหิตนับร้อยตัวคลานออกมา
แมลงร้อยขา ตายแล้วฟื้นคืนชีพ เหล่าตะขาบพิษก่อนหน้านี้ตายหมดแล้ว ตะขาบพิษที่ขยายพันธุ์ขึ้นมาใหม่ หัวของพวกมันมีขนาดเล็กกว่าตัวก่อนหน้า ทว่าพวกมันร้ายกาจกว่าตัวก่อนหน้ามากนัก
ระบบถอนพิษของซูจิ่นซีส่งเสียงร้องเตือนดัง ‘ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด’ ไม่หยุด เสียงนั้นดังมากจนแก้วหูของนางแทบแตก
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาของอู๋จุนภายใต้หน้ากากเย็นชาปรากฏความนิ่งขรึม ใบหน้าของมู่หรงอวิ๋นไห่ซีดขาว
พลังของพวกมันร้ายกาจยิ่งกว่าสมุนไพรกินคนที่นางพบก่อนหน้านี้มาก ไม่รู้ว่าสัตว์เทพกิเลนจะรับมือได้หรือไม่
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังรู้สึกกระวนกระวายใจ สัตว์เทพกิเลนที่เผชิญหน้ากับตะขาบพิษสีแดงโลหิตก็ค่อยๆ ถอยหลังลงมา
สัตว์เทพกิเลนล่าถอย แสดงให้เห็นว่ามันเองก็ไม่มั่นใจ และไม่แน่ว่าจะสามารถรับมือกับตะขาบพิษโลหิตฝูงนี้ได้
แววตาของซูจิ่นซีเผยความดุดัน สองมือกำหมัดแน่นเตรียมพร้อมต่อสู้ หากอีกสักพักสัตว์เทพกิเลนต้านไม่ไหว นางจะลงมือเอง ด้วยขั้นตอนที่รวดเร็วแต่ซับซ้อน จากความสามารถของนางในตอนนี้ คงไม่มีปัญหาในการรับมือกับเหล่าตะขาบพิษ
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ทุกคนต่างคิดว่าสัตว์เทพกิเลนไม่สามารถรับมือกับฝูงตะขาบพิษโลหิตกลายพันธุ์ สัตว์เทพกิเลนที่ล่าถอยออกมาพลันหมอบลง ก่อนจะพุ่งกระโจนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับคำรามเสียงดัง และพ่นเปลวเพลิงกิเลนใส่ตะขาบพิษเหล่านั้น
แม้ตะขาบพิษโลหิตกลายพันธุ์จะร้ายกาจ ทว่าพวกมันไม่มีโอกาสได้แสดงความน่ากลัวอีกต่อไป
เมื่อเผชิญหน้ากับเปลวเพลิงกิเลน พวกมันต่างส่งเสียงร้อง ‘ซี้ด ซี้ด ซี้ด’ ไม่หยุด ร่างสีแดงโลหิตเมื่อถูกเปลวเพลิงกิเลนแผดเผาก็กลายเป็นควันสีเขียวลอยหายไป ไม่เหลือแม้แต่ซาก
นี่มัน…
คิ้วที่ขมวดแน่นของซูจิ่นซีพลันคลายลง นางยกยิ้มมุมปากมองสัตว์เทพกิเลนด้วยใบหน้าชื่นชม
อู๋จุนก็มองสัตว์เทพกิเลนด้วยสีหน้าปลาบปลื้มเช่นกัน
เจ้าสัตว์เทพตัวนี้… มีอารมณ์เข้าใจมนุษย์เหมือนกัน! ทั้งยังมีกลวิธีการต่อสู้ที่ไม่เลวทีเดียว
นี่คือวิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง!
ก่อนหน้านี้ เหล่าตะขาบพิษใช้กลวิธีถอยเพื่อรุก ทว่าสำหรับสัตว์เทพกิเลนแล้ว วิธีการนั้นกลับไร้ประโยชน์ มันไม่เพียงไม่ได้ผลเท่านั้น ทว่าสัตว์เทพกิเลนได้ใช้วิธีของพวกมันคืนสนองพวกมันกลับไปอย่างทันท่วงที และใช้เพลิงกิเลนเผาพวกมันจนไม่เหลือซาก
ที่สำคัญคือ การใช้เปลวเพลิงกิเลนในครั้งนี้ สัตว์เทพกิเลนสามารถควบคุมพลังและความรุนแรงของเพลิงได้
พลังของเปลวเพลิงที่พ่นออกมา เพียงเพื่อจัดการตะขาบพิษเหล่านั้น ไม่ได้สร้างความเสียหายต่อเส้นทางเดินภายในถ้ำ เมื่อเป็นเช่นนี้ ศัตรูที่เผชิญหน้ากับมันต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน
เจ้านายของมันอย่างซูจิ่นซีก็เพิ่งค้นพบเป็นครั้งแรก ทั้งยังเป็นการค้นพบศักยภาพอันน่าทึ่งอีกด้วย
หลังจากกำจัดตะขาบพิษจนหมด สัตว์เทพกิเลนก็รีบกลายร่างเป็นสัตว์ตัวน้อยน่ารักทันที มันกระโดดขึ้นไปในอ้อมอกของซูจิ่นซี และมองซูจิ่นซีด้วยสีหน้าอ้อนวอน ต้องการของรางวัล
ครั้งนี้สัตว์เทพกิเลนแสดงฝีมือได้ไม่เลว ทั้งยังถูกใจซูจิ่นซีอย่างมาก นางจึงหยิบสมุนไพรชั้นเลิศระดับสองจำนวนสองชิ้นให้สัตว์เทพกิเลน จากนั้นก็นำมันกลับเข้าไปในอาคมกำไลปี่อั้น
ทั้งสามคนมุ่งหน้าต่อไป พวกเขาเดินผ่านผงขี้เถ้าสีขาวที่เกิดขึ้นหลังจากตะขาบพิษถูกเปลวเพลิงแผดเผา
ตามทางไม่พบอันตรายหรือสิ่งมีพิษอื่นใดอีกเลย พวกเขาเดินมาถึงปลายทางได้อย่างราบรื่น ไม่มีสิ่งใดขัดขวาง
อย่างไรก็ตาม ปลายทางเป็นประตูเหล็กเสวียนจิน บานประตูมันวาวส่องประกาย ทั้งยังเป็นบานประตูแผ่นเดียวกัน ไม่มีรอยต่อ และไม่มีกลอนประตู
หากคิดจะออกจากประตูบานนี้ คงไม่ง่าย
มู่หรงอวิ๋นไห่รู้สึกสงสัยเล็กน้อย
“นางหนู เจ้ามั่นใจหรือว่าทางนี้คือทางออก? ”
หรือพวกเขาจะเดินมาถึงใจกลางรังของพวกแคว้นไหวเจียง?
คงไม่มีผู้ใดสร้างประตูเหล็กเสวียนจินสีดำขลับขวางทางออกกระมัง?
เป็นไปไม่ได้กระมัง?
หรือว่าพวกเขาจะเดินสวนทาง?