เล่มที่ 20 เล่มที่ 20 ตอนที่ 572 อันตรายมาเยือนอย่างเงียบเชียบ

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สีหน้าของมู่หรงอวิ๋นไห่แสดงออกอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น เขาเดินอ้อมอู๋จุนขึ้นไปตามอยู่ด้านหลังซูจิ่นซี อีกทั้งขณะที่เขากำลังเดินผ่านอู๋จุน เขายังจงใจใช้หัวไหล่กระแทกไหล่อู๋จุนอย่างแรง

การกระทำเช่นนี้ สำหรับบุรุษแล้ว นับเป็นการเหยียดหยามอย่างถึงที่สุด

ทว่าอู๋จุนไม่มีท่าทีโกรธเคือง เขายังยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาสุกสกาวหรี่ลงภายใต้หน้ากากเขี้ยวสัตว์เย็นชา พลางมองแผ่นหลังของมู่หรงอวิ๋นไห่ด้วยท่าทีที่แฝงไว้ด้วยอันตราย

อย่างไรก็ตาม ท่าทางที่เป็นอันตรายนั้นคงอยู่ได้ไม่นาน ครู่หนึ่งเขาก็เก็บอารมณ์กลับมาสงบนิ่งเช่นเดิม

เขาเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย แต่เห็นแก่ที่เฒ่ามู่หรงผู้นี้เป็นบิดาของแม่นางพิษน้อยและเป็นบิดาของเจ้าฉี ครั้งนี้ ข้าจะให้อภัยเจ้าก่อน

นี่ไม่ใช่ความกลัว ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นความใจกว้าง

ข้าไม่ต้องการหาเรื่องผู้อาวุโสที่มีอายุเกินครึ่งร้อยไปแล้ว

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ อู๋จุนก็กระชากเสียงเย็นชาและรีบสับเท้าตามให้ทันซูจิ่นซี เมื่อเดินมาด้านข้างซูจิ่นซี เขาก็แย้มยิ้มพลางพูดจาเจื้อยแจ้วกับซูจิ่นซีไม่หยุดปากเหมือนเคย แม้ซูจิ่นซีจะเมินเฉยไม่สนใจเขา ทว่าเขาสามารถพูดคนเดียวอย่างออกรสชาติและมีความสุขเพียงลำพัง

ทั้งสามเดินมาได้ครึ่งทาง ขณะที่เดินเลี้ยวตรงหัวมุม ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็หยุดเดิน ทั้งยังแสดงท่าทางจริงจัง

ใบหน้าที่กำลังแย้มยิ้มมีความสุขของอู๋จุนพลันเลือนหายไป และแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าจริงจังเช่นกัน

เมื่อครู่ เขาเห็นแม่นางพิษน้อยอารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก จึงจงใจเย้าหยอกเพื่อให้นางคลายความกังวล ทว่าเวลานี้ ไม่ต้องพูดถึงแม่นางพิษน้อยเลย กระทั่งเขาเองยังรู้สึกถึงความผิดปกติ ไม่มีอารมณ์ขำขัน สติทั้งหมดจดจ่ออยู่ในสภาวะเตรียมพร้อมตลอดเวลา

แม้มู่หรงอวิ๋นไห่ไม่มีความสามารถพิเศษในการรับกลิ่นสารพิษเหมือนซูจิ่นซีกับอู๋จุน ทว่าเขารับรู้ถึงสถานการณ์อันตรายได้จากใบหน้าของคนทั้งสอง ท่าทางของเขาจึงดูจริงจังขึ้นมาเช่นกัน

อู๋จุนค่อยๆ เดินไปอยู่ด้านหน้าซูจิ่นซี เพื่อปกป้องนาง

“สารพิษที่อยู่ด้านหน้ามีปริมาณไม่น้อยทีเดียว แม่นางพิษน้อย เส้นทางที่เหลือ พี่จุนจะนำทางเอง เจ้าคิดหาวิธีจัดการกับสารพิษเหล่านั้นเถิด”

ซูจิ่นซีไม่มีความคิดเห็น ทำเพียงถอยหลังไปหนึ่งก้าว

แท้จริงแล้ว สำหรับนาง ไม่ว่าผู้ใดอยู่ด้านหน้าก็ไม่ต่างกัน หากพิษปรากฏขึ้น ระบบถอนพิษจะแจ้งเตือนก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงแจ้งวิธีการรับมือ เช่นนั้น นางก็สามารถรับมือกับสารพิษได้อย่างรวดเร็วที่สุด

ซูจิ่นซีหยิบยาเม็ดจำนวนหนึ่งออกมาจากระบบถอนพิษ และแบ่งให้อู๋จุนกับมู่หรงอวิ๋นไห่

“ด้านหน้ามีหมอกพิษ ทานยาพวกนี้เข้าไปก่อนเถิด”

อู๋จุนรับยามาและทานโดยไม่มีท่าทีลังเล

ทว่ามู่หรงอวิ๋นไห่รับยามาถือไว้ในมือ พลางมองซูจิ่นซีด้วยสายตาซับซ้อน

อู๋จุนชักสีหน้าใส่มู่หรงอวิ๋นไห่

“วางใจได้ ไม่มีพิษ! ต่อให้แม่นางพิษน้อยคิดจะสังหารเจ้า ทว่านางไม่มีทางใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้แน่นอน”

หากคิดจะสังหารมู่หรงอวิ๋นไห่จริง ซูจิ่นซีไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตนเอง ข้างหน้าเต็มไปด้วยพิษที่สามารถสังหารเขาได้ทุกเมื่อ

เขาไม่รู้จักพิษ ต่อให้มีวรยุทธ์ร้ายกาจเพียงใดก็ไร้ผลกระมัง? เมื่อเผชิญหน้ากับสารพิษเหล่านั้น เขาก็ไม่ต่างอันใดกับลูกไก่ในกำมือ

ซูจิ่นซีมองมู่หรงอวิ๋นไห่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยและไม่พูดอันใด ทำเพียงเดินหน้าต่อ

ครู่หนึ่ง มู่หรงอวิ๋นไห่ก็ถามขึ้นว่า “นางหนู ข้าจำได้ว่ามารดาของเจ้ามีวิชาแพทย์ลึกล้ำ ทว่าไม่เคยเห็นนางเกี่ยวข้องกับพิษเลย ทักษะด้านพิษของเจ้า ผู้ใดเป็นคนสอนเจ้าหรือ? ”

จังหวะก้าวเดินของซูจิ่นซีชะงักเล็กน้อย ทว่านางรู้สึกว่าตนเองไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้ให้มู่หรงอวิ๋นไห่ฟัง นางจึงไม่ตอบอันใด

บรรยากาศในตอนนี้ อึดอัดอย่างเห็นได้ชัดเจน

อู๋จุนหัวเราะ แหะ แหะ

“มารดาของแม่นางพิษน้อยไม่ได้แต่งกับเจ้า เช่นนั้น นางจะแต่งกับยอดฝีมือด้านพิษไม่ได้หรือ? ”

 อู๋จุนจงใจพูดกระทบมู่หรงอวิ๋นไห่ เป็นไปตามคาด มู่หรงอวิ๋นไห่มีใบหน้าบึ้งตึงในทันที และมีแนวโน้มที่จะลงมือกับอู๋จุน

อู๋จุนหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว ทั้งยังหัวร่อมู่หรงอวิ๋นไห่

“แหะ แหะ ต้องการทำร้ายข้าใช่หรือไม่? ข้ายอมให้เจ้าทำร้าย ลงมือสิ! ลองดูว่าหากทำร้ายข้าแล้ว แม่นางพิษน้อยจะพาเจ้าออกไปด้วยหรือไม่? ”

มู่หรงอวิ๋นไห่ถลึงตาใส่อู๋จุน เขาโมโหจนหน้าบูดบึ้ง ทว่าไม่พูดตอบโต้ สุดท้ายก็สามารถอดกลั้นต่อความโกรธ และคลายฝ่ามือที่กำแน่น

เพราะในใจเขารู้ดี ด้วยอุปนิสัยของซูจิ่นซี หากเขาลงมือกับอู๋จุนเข้าจริงๆ นางต้องทิ้งเขาไว้ที่นี่อย่างแน่นอน

วรยุทธ์ของเขาสูงส่ง ทว่าเขาไม่รู้เรื่องพิษ! เมื่อไม่รู้เรื่องพิษ หากต้องการหนีออกจากฐานที่มั่นของแคว้นไหวเจียง ย่อมยากดั่งเข็นครกขึ้นภูเขา

อู๋จุนเห็นเขาไม่กล้าลงมือ จึงเชิดหน้าใส่ด้วยท่าทางลำพองใจ จากนั้นก็สะบัดตัวเดินไปด้านข้างซูจิ่นซี

แท้จริงแล้ว อู๋จุนไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มแผ่วเบาที่มุมปากของนาง นางยิ้มได้แล้ว

ครั้งนี้ได้ผลดีกว่าเมื่อครู่ที่เขาพยายามเย้าหยอกเพื่อทำให้นางมีความสุขเสียอีก

ทั้งสามค่อยๆ มุ่งหน้าต่อไป เดินไปราวครึ่งชั่วยาม ซูจิ่นซีก็หยุดเดินและค่อยๆ หลับตาทำสมาธิ ตั้งใจฟังเสียงโดยรอบอย่างละเอียด

นางได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิตเสียดสีกับก้อนหิน ทั้งยังมีจำนวนมากอีกด้วย

อู๋จุนก็ได้กลิ่นแปลกประหลาดเช่นกัน ทว่าเขาไม่มั่นใจนัก

“แม่นางพิษน้อย ด้านหน้าคือตัวอันใดหรือ? ”

“เป็นตะขาบพิษ”

“บัดซบ มีจริงๆ ! ” อู๋จุนพูดพลางเดินไปด้านหน้าเพื่อปกป้องซูจิ่นซี

มู่หรงอวิ๋นไห่มีท่าทีจริงจังอย่างมาก ร่างกายอยู่ในสภาวะเตรียมพร้อม

ซูจิ่นซีผลักอู๋จุนให้หลีกทาง และพูดว่า “ไม่ต้อง! ” จากนั้นจึงโบกมือเรียกสัตว์เทพกิเลนออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้น

เมื่อตกลงบนพื้น สัตว์เทพกิเลนก็รีบกลายร่างเป็นร่างเดิม รูปร่างใหญ่โตน่าเกรงขาม เท้าทั้งสี่ของมันเหยียบอยู่บนเปลวเพลิงสีฟ้า ค่อยๆ เดินนำหน้าเปิดทางให้พวกเขาทั้งสามคน

ตอนอยู่ที่ดินแดนต้องห้ามก่อนหน้านี้ เหล่าสมุนไพรกินคนล้วนหวาดกลัวสัตว์เทพกิเลน คิดว่าการรับมือกับตะขาบพิษเหล่านี้คงไม่ยากนัก การให้สัตว์เทพกิเลนเดินเป็นแนวหน้า เป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดที่สุด

ทว่าอู๋จุนกลับยืนกอดอกอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ทั้งยังแสดงท่าทางขุ่นเคือง และมองสัตว์เทพกิเลนที่กำลังเยื้องย่างอย่างสง่างามอยู่เบื้องหน้า

ซูจิ่นซีเดินไปได้สองก้าว นางรู้สึกว่าอู๋จุนที่ยืนอยู่ด้านหลังไม่ขยับเขยื้อน จึงหันกลับไปถามว่า “เกิดอันใดขึ้น? มีปัญหาอันใดหรือ?”

ไม่มีปัญหา ทว่าเขากำลังโกรธและเดือดดาลมากทีเดียว!

เมื่อเห็นสัตว์เทพกิเลนเดินชูคอด้วยท่าทางภาคภูมิใจ เขาก็อยากใช้เท้าถีบมันเสียจริง ถีบส่งไปให้พวกตะขาบพิษกินเป็นอาหารเช้า

ออกมาแสดงความสามารถไม่รู้เวลา! หากมันไม่ออกมา คนที่เดินอยู่แถวหน้าและได้แสดงความเข้มแข็งให้นางเห็น ย่อมเป็นเขา

กว่าเขาจะได้มีโอกาสแสดงความสามารถต่อหน้าแม่นางพิษน้อย ทว่าความดีความชอบนี้กลับถูกมันแย่งไปต่อหน้าต่อตา เขาจะไม่โมโหได้หรือ?