ตอนที่ 378 เวลาเปลี่ยน คนย่อมเปลี่ยน / ตอนที่ 379 ทำไมคุณเพียงคนเดียว

หมอยาหวานใจท่านประธาน

ตอนที่ 378 เวลาเปลี่ยน คนย่อมเปลี่ยน

 

 

ฟางจื่อชิวกัดริมฝีปากเบาๆ เมื่อมองตามหลังเฉวียนหมิงซึ่งเดินไปข้างหน้า ดวงตาฉายแววผิดหวังและไม่ยอมแพ้ แต่เธอเก็บความรู้สึกอย่างรวดเร็ว มีรอยยิ้มบนใบหน้าขณะที่เดินตรงไป

 

 

เฉวียนหมิงยังเป็นเฉวียนหมิงคนนั้น เหมือนคนเดิม เย่อหยิ่งและเย็นชา นี่จึงจะเป็นเขา คนที่ทำให้คนอื่นอดไม่ได้ที่จะอยากเอาชนะ อยากได้มาครอบครอง

 

 

คนแบบนี้ถ้าเกิดใจหวั่นไหว อีกฝ่ายต้องถูกชูไว้ใจกลางฝ่ามือแน่นอน เธออยากเป็นผู้หญิงคนนั้น ไม่สิ จะต้องเป็นผู้หญิงคนนั้นให้ได้ เขาต้องมีเธอเท่านั้น

 

 

เธอต้องเสียสละมากมายแค่ไหนเพื่อจะได้อยู่กับเขา มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้

 

 

“มากันแล้ว เชิญนั่ง เชิญนั่ง” ตาแก่ฟางดื่มชาอยู่ แล้วร้องเชิญทันทีเมื่อเห็นเฉวียนสือกับหลานชายเข้ามาในห้อง

 

 

“วันนี้เราถือโอกาสพบปะสังสรรค์กันตามสบาย ไม่มีคนนอก ทุกคนวางตัวตามสบายเลย” คำพูดเขามีความนัยว่านี่เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ

 

 

ฟางจื่อชิวยิ้มแล้วเดินมา “ปู่พูดถูก คุณปู่เฉวียน เฉวียนหมิงรีบนั่งค่ะ” จากนั้นก็ดึงเก้าอี้ออกให้นายท่านผู้เฒ่าอย่างเอาใจใส่ คล่องแคล่วและรู้จักวางตัว

 

 

นี่ดีกว่าตอนที่อีลั่วเสวี่ยพบเขาครั้งแรกมากมาย ฉลาดมีไหวพริบ สรุปแล้วเวลานี้อยู่ต่อหน้านายท่านผู้เฒ่า ดูอย่างไรฟางจื่อชิวก็น่าพอใจอย่างยิ่ง

 

 

หลานสะใภ้ที่เขาต้องการต้องเป็นแบบนี้ ไม่ใช่แบบเด็กสาวคนนั้น เอาแต่ตีหน้าเย็นชา เวลาพูดก็มักทำให้คนอื่นรู้สึกว่าสูงส่งกว่า ทำให้คนไม่พอใจ

 

 

จะอย่างไรเขาก็เป็นผู้อาวุโส ทำไมไม่อ่อนน้อมต่อเข้ามากกว่านี้

 

 

ถ้าอีลั่วเสวี่ยได้ยินคำพูดประโยคนี้ ต้องตอบเขาแน่นอน คำตอบคือทำไม่ได้ นี่นับว่าเห็นแก่หน้าเฉวียนหมิงแล้ว ถือว่าเธอให้ความเคารพอีกฝ่ายมากแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน ต่อให้เป็นคนที่มีอำนาจสูงสุด เธอก็ยังไม่ไว้หน้า

 

 

ในฐานะหมอปีศาจ บางทีสำหรับโลกนี้อาจไม่สลักสำคัญ แต่ที่โลกนั้น เป็นบุคคลที่คนในวงการนักเลงไม่กล้าบาดหมางด้วย เป็นคนที่ยืนมองดูคนอื่นจากที่สูงลงมา คุณจะให้เธอแหงนมอง จะเป็นไปได้หรือ

 

 

“เป็นจื่อชิวที่มีความกตัญญู เวลานี้ฉันเองก็อยากได้หลานสาวอย่างนี้ รู้จักดูแลเอาใจใส่ ไม่เหมือนเจ้าหนูนี่หรอก คอยยั่วโมโห” ขณะที่นายท่านผู้เฒ่าเฉวียนพูดชมฟางจื่อชิวก็ไม่ลืมที่จะชำเลืองมองหลานชายตนเอง

 

 

เขาไม่เชื่อว่าหลานชายจะฟังความนัยที่แอบแฝงอยู่ในคำพูดเหล่านี้ไม่ออก

 

 

“หรือว่าปู่คิดจะแต่งงานใหม่ แล้วมีอาให้ผม เสร็จแล้วก็มีอาหญิง?” เฉวียนหมิงหรี่ตา เหลียวมองปู่ตนเอง

 

 

คำพูดเขาทำให้นายท่านผู้เฒ่าที่กำลังยกชาบนโต๊ะขึ้นดื่มถึงกับผงะ มือสั่นจนน้ำชากระฉอกเปื้อนเสื้อ หน้าแดงทันที ไม่รู้ว่าโกรธหรืออาย

 

 

“เจ้าหนู ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”

 

 

“ฮ่าฮ่า ฉันว่าข้อเสนอของเฉวียนหมิงดีมาก คุณลองดูได้นะ?” ตาแก่ฟางพูดอย่างมีความหมาย สีหน้าล้อเล่น ส่วนนายท่านผู้เฒ่าโมโห วางถ้วยชากลับลงไปบนโต๊ะ

 

 

เขามองดูหลานชายตนเองเห็นสีหน้าไร้ความรู้สึก “แกจะให้ปู่พูดอย่างไรดี” เขานึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าหลานชายตนจะมาไม้นี้

 

 

ฟางจื่อชิวสั่นหัว “ปู่เฉวียนอย่าโมโหเลยค่ะ เฉวียนหมิงก็แค่อยากจะทำให้บรรยากาศคึกคักขึ้นเท่านั้นเอง เพียงแต่ไม่เจอกันหลายปี คิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้จักพูดล้อเล่น หนูจำได้ว่าเขาไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน”

 

 

เฉวียนหมิงไม่แม้แต่จะมองฟางจื่อชิว เขานั่งเย็นชาอยู่กับที่ “เรื่องนี้ไม่แปลกหรอก เวลาเปลี่ยน คนย่อมเปลี่ยน ทำไมคุณถึงคิดว่าผมจะเป็นผมเมื่อก่อน?”

 

 

คำพูดย้อนถามนี้ทำให้ฟางจื่อชิวไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ยกชาบนโต๊ะขึ้นดื่ม

 

 

ตาแก่ฟางกลอกตารอบหนึ่ง “เอาละ หลานสองคนไม่ต้องคิดถึงอดีตแล้ว กินข้าวก่อน กินข้าวก่อน มีอะไรจะพูดก็กินไปคุยไป มีเวลาถมเถไป”

 

 

 

 

ตอนที่ 379 ทำไมคุณเพียงคนเดียว

 

 

จากนั้นตาแก่ฟางจึงเหลือบมองพนักงานที่ยืนรออยู่ที่ข้างประตู ผงกหัวให้ อีกฝ่ายเข้าใจความหมายของเขา จึงผละไปทันที

 

 

ระหว่างการยกอาหารมาจัดวาง มีเพียงเฉวียนสือที่สอบถามฟางจื่อชิวไม่หยุด ถามสภาพที่เธออยู่ในต่างประเทศรวมทั้งแผนการของเธอเมื่อกลับมาแล้ว ดูเหมือนจะเป็นการถามแทนเฉวียนหมิง

 

 

ไม่สิ กลับเหมือนพ่อแม่สองฝ่ายกำลังดูตัวหาคู่ให้ลูกตนเอง สอบถามสภาพครอบครัวของอีกฝ่าย พยายามทำให้อีกฝ่ายชื่นชม ช่วยพูดคุยแทนลูกตนเองที่ไม่ชอบพูด

 

 

“ก็ดีค่ะ แต่คิดถึงทุกอย่างที่นี่ คิดถึงเพื่อนที่นี่” ขณะที่พูดคำว่าเพื่อน ไม่เพียงจะยกหางเสียงขึ้น ยังจงใจเหลือบมองเฉวียนหมิง

 

 

ราวกับจะบอกว่าเพื่อนที่เธอพูดถึงหมายถึงเฉวียนหมิง แต่เขาไม่รู้สึกรู้สา เหมือนไม่ได้ยิน ก้มหน้าเล่นมือถือ เขาเป็นถึงผู้กุมอำนาจบริหารเฉวียนกรุ๊ป อยู่ข้างนอกใส่ใจมารยาทมาก เวลานี้กลับทำตัวเหมือนคนชั้นล่าง

 

 

ฟางจื่อชิวรู้สึกไม่พอใจ แต่คิดว่าคงเพราะเธอพูดมากเกินไปทำให้เขารำคาญ จึงเปลี่ยนเรื่องพูด

 

 

ขณะที่นายท่านผู้เฒ่ามองเห็นท่าทีของเฉวียนหมิง ก็นึกโมโหในใจ แต่คิดว่าวันนี้เพิ่งผ่านเหตุการณ์แบบนั้น ก็เข้าใจดีว่าในใจเขาไม่พอใจ จึงพอจะเข้าใจได้

 

 

“กลับมาแล้วยังจะกลับไปอีกไหม?” ครู่หนึ่งนายท่านผู้เฒ่าก็อดถามไม่ได้

 

 

ฟางจื่อชิวเดิมตั้งใจจะอวดตัวเองต่อหน้าเฉวียนหมิง พอได้ยินจึงตอบไปตามตรง “ไม่ไปแล้วค่ะ อยากอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่กับพ่อแม่ หนูเลยรับคำเชิญของโรงพยาบาลชั้นนำในเมือง ต่อจากนี้จะทำงานที่นี่ ไม่เช่นนั้นความผูกพันกับเพื่อนเมื่อก่อนก็คงจืดจางลงไป”

 

 

คำพูดนี้เหมือนทั้งจงใจและไม่จงใจพูดเตือนเฉวียนหมิง เพื่อนที่เธอเอ่ยถึงก็คือเขานั่นเอง

 

 

“อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ฮ่าฮ่า จริงไหมเหล่าฟาง วันหลังยังมีเวลาอีกมากที่จะคุยอวดหลานสาวกับฉัน” เฉวียนสือหัวร่าร่า ราวกับฟางจื่อชิวเป็นหลานสาวตนเอง

 

 

ตาแก่ฟางเห็นเฉวียนหมิงไม่แสดงท่าทีอะไร สีหน้าก็ไม่พอใจ ฟางจื่อชิวเหลือบเห็นจึงรีบคีบอาหารให้เขา

 

 

“ปู่คะ จานนี้ปู่ชอบกิน ลองชิมหน่อย…”

 

 

 

 

ที่ร้านเสื้อผ้าแห่งหนึ่งไม่ไกลนัก อีลั่วเสวี่ยเพิ่งซื้อข้าวของไม่น้อย ถือไว้ในมือ เธอเดินออกมาจากห้องที่สว่างก็เดินเข้าไปในที่ร่ม คาดไม่ถึงว่าจะพบคนคนหนึ่ง

 

 

“ใครกัน เดินไม่รู้จักดูทาง รู้ไหมว่ารองเท้าคู่นี้แพงแค่ไหน?” เสียงก่นด่าดังขึ้น พอเห็นอีลั่วเสวี่ยก็แสดงสีหน้าดูถูก

 

 

“ลั่วเสวี่ย คุณนั่นเอง?” จากนั้นไม่รอให้ชายคนนั้นพูดอะไรอีก มีคนก้าวมายืนข้างหน้า ขวางชายที่กำลังจะพูด เขาคือหนานหลิวเฟิง

 

 

“คุณชายหนาน รู้จักเธอหรือครับ?” คนที่พูดรู้สึกร้อนตัว เหมือนตนเองทำผิดไป

 

 

หนานหลิวเฟิงขมวดคิ้ว “เธอเป็นเพื่อนผม ผู้จัดการโจว วันนี้คุยกันเท่านี้ก่อน วันหลังผมค่อยเชิญคุณกินข้าว”

 

 

“อ้อ ได้ได้ งั้นคุณชายหนาน ผมไปก่อนนะครับ” ชายคนนั้นอยากรีบไปให้พ้น พอพูดจบก็เผ่นไปเร็วยิ่งกว่ากระต่าย

 

 

เขาหยิบถุงใบหนึ่งที่ตกบนพื้นยื่นให้อีลั่วเสวี่ย “ลั่วเสวี่ย ทำไมมาอยู่ที่นี่คนเดียว เย็นมากแล้ว”

 

 

อีลั่วเสวี่ยยิ้มๆ “คุณชายหนานยังอยู่ที่นี่ได้ แล้วทำไมฉันจะอยู่ไม่ได้ อ้อ ขอบใจนะ ที่จริงฉันจัดการเองได้”

 

 

“ทุกครั้งที่คุณเจอผม ทำไมต้องทำตัวเป็นศัตรูด้วย? ผมยอมรับว่าเมื่อก่อนผมเป็นคนโง่ ทำเรื่องที่ทำให้คุณโกรธ ตอนนี้ผมขอโทษไม่ได้หรือไง?”

 

 

หนานหลิวเฟิงพูด สีหน้าจริงจัง

 

 

คงเพราะเมื่อครู่เขาช่วยเธอ ทำให้อีลั่วเสวี่ยไม่อาจเสียมารยาท ไม่สามารถฝืนทำอะไรตามอารมณ์