โม่เทียนเกอได้สูตรยาโบราณมากมายจากโรงเรียนตานติ่ง สูตรหนึ่งคือสูตรสำหรับยารวมวิญญาณ ซึ่งเหมาะที่จะใช้โดยผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ส่วนสูตรอื่นๆ นั้นคือสูตรสำหรับยาวิเศษของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง อย่างเช่น ยาฟ้ากระจ่าง ยาคงพลังวิญญาณ ยาคงรูป และแม้แต่ยาอายุวัฒนะ
ประโยชน์ของยารวมวิญญาณดูเหมือนจะธรรมดา เสมือนว่าเป็นเพียงแค่ยาวิเศษสามัญทั่วไปที่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังใช้เพื่อเพิ่มระดับการฝึกตน แต่ในความเป็นจริง ประโยชน์ของสูตรยาโบราณนี้มีมากกว่ายาเพิ่มพลังจิตวิญญาณของสมัยใหม่มากนัก หลักการเดียวกันยังใช้ได้กับยาฟ้ากระจ่างเช่นกัน
ส่วนยาคงพลังวิญญาณ ยาคงรูป และยาอายุวัฒนะก็ค่อนข้างมีประโยชน์เช่นเดียวกัน ยาคงพลังวิญญาณเป็นยาครอบจักรวาลที่ดีต่อการถนอมพลังวิญญาณและเหมาะที่สุดสำหรับคนที่เพิ่งถูกมารเข้าสิง ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอจะไม่ตกอยู่ในอันตรายจากการถูกมารเข้าสิงโดยบังเอิญอีกแล้ว แต่การมียาพวกนี้เตรียมพร้อมไว้เมื่อนางต้องทำการข้ามผ่านไปสู่ดินแดนถัดไปก็ยังมีประโยชน์มากอยู่
ในขณะเดียวกัน สำหรับยาคงรูปและยาอายุวัฒนะ แม้ว่าชื่อและฤทธิ์ของพวกมันจะเหมือนกับยาวิเศษในยุคใหม่แต่ประสิทธิภาพนั้นไม่เหมือนกัน ยาคงรูปในสมัยใหม่ทำได้เพียงสงวนรูปลักษณ์ของคนไว้ได้ประมาณสิบปี แต่ยาคงรูปในยุคโบราณสามารถทำให้คนผู้นั้นดูอ่อนเยาว์ตลอดไป ยาอายุวัฒนะของยุคโบราณก็เช่นเดียวกัน แทนที่จะเพิ่มอายุขัยคนไปอีกหนึ่งร้อย ปีเหมือนอย่างยาอายุวัฒนะในยุคใหม่ แต่พวกมันกลับสามารถเพิ่มอายุขัยไปได้อีกถึงห้าร้อยปี!
ประสิทธิภาพของยาอายุวัฒนะนี้ช่างน่าทึ่ง การเพิ่มอายุขัยของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังไปอีกห้าร้อยปีก็เพียงพอแล้วที่พวกเขาจะพัฒนาจากดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังไปสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ บางทีอาจเป็นเวลามากพอให้ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่เข้าสู่ดินแดนแห่งเทพได้ด้วยซ้ำไป! ทุกวันนี้แม้แต่ยาอายุวัฒนะที่เพิ่มอายุขัยหนึ่งร้อยปีก็ยังเป็นที่ต้องการในหมู่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่
โม่เทียนเกออดที่จะถอนใจอยู่ภายในไม่ได้ หากนางรู้ว่านางจะได้ครอบครองสมบัติพิเศษเช่นนี้เมื่อท่านอารองยังมีชีวิตอยู่ นางไม่มีทางปล่อยให้เขาตายจากไปทั้งที่ยังไม่เต็มใจอยู่หรอก
นอกจากนี้ ตั้งแต่นางได้โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนมาครอง ความเปลี่ยนแปลงในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนในหลายร้อยหลายพันปีก่อนดูเหมือนจะหลั่งไหลเข้าสู่ความทรงจำของนางทันที นางรู้จักพืชวิญญาณแต่ละประเภทที่อยู่ข้างในนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อนางเลือกสูตรยา นางจึงเลือกสูตรที่จำเป็นต้องใช้ส่วนประกอบที่นางมีอยู่แล้ว
หลัวเฟิงเสวี่ยไม่รู้เรื่องนี้ นางเพียงคิดว่าโม่เทียนเกอโยนเงินจำนวนมากทิ้งเป็นว่าเล่นเพื่อซื้อสูตรยาที่ไร้ประโยชน์และเอาแต่พูดซ้ำซากถึงมันระหว่างทางขากลับ ถึงอย่างนั้น หลัวเฟิงเสวี่ยก็เป็นศิษย์ของโรงเรียนที่มีชื่อเสียงตั้งแต่นางยังเด็กและได้รับความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์ของนาง ดังนั้นนางจึงร่ำรวยกว่าโม่เทียนเกอมากนัก เพราะอย่างนั้นนางไม่ได้คิดว่าศิลาวิญญาณหลายพันอันจะสำคัญอะไร หลังจากสั่งสอนโม่เทียนเกออยู่พักหนึ่งและรู้ตัวว่าโม่เทียนเกอไม่ใส่ใจ นางจึงไม่ได้พูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
ทันทีหลังจากที่ทั้งสองคนเข้าสู่ถ้ำเซียนชั่วคราว พวกนางเห็นหันชิงอวี้และเว่ยจยาซือกำลังนั่งอยู่ในห้องโถงด้วยกัน เห็นได้ชัดว่ากำลังรอพวกนางอยู่
เมื่อเห็นทั้งสองคน หันชิงอวี้พูดอย่างดีใจว่า “เจ้าทั้งสองกลับมาเสียที รีบเร็ว! อีกเดี๋ยวเราต้องออกเดินทางกันแล้ว!”
“อะไรนะ” หลัวเฟิงเสวี่ยถามด้วยความสับสน “ศิษย์พี่ใหญ่ เรากำลังจะไปที่ไหนกันรึ”
หันชิงอวี้พูดว่า “เราไม่ได้มาที่โรงเรียนตานติ่งเพื่อเล่นสนุก ตอนนี้เราได้พักผ่อนมาหลายวันแล้ว เราควรออกไปและเริ่มฆ่าปีศาจได้แล้ว”
“อ้อ…” สิ่งที่หันชิงอวี้พูดก็ถูก โรงเรียนตานติ่งสูญเสียศิษย์ไปมาก จึงเป็นเรื่องที่อภัยให้ไม่ได้ถ้าพวกนางซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มาเพื่อช่วยเหลือกลับนั่งอยู่เฉยๆ และเล่นสนุกไปเรื่อย
พวกนางไม่มีอะไรจะต้องเตรียมตัว ท้ายที่สุดแล้วพวกนางก็ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ในกระเป๋าเอกภพหมดแล้ว พวกนางจึงสามารถออกไปได้โดยทันที
สิบห้านาทีให้หลัง ทั้งสี่คนออกจากเขาเทียนหัวโดยมีหันชิงอวี้นำทาง
ตอนที่โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยไปซื้อของ ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินได้มอบหมายภารกิจให้พวกนาง เขาบอกหันชิงอวี้และเว่ยจยาซือให้เริ่มออกเดินทางทันทีหลังจากโม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยกลับมา หันชิงอวี้อธิบายภารกิจปัจจุบันของพวกนางคร่าวๆ ตอนอยู่บนถนน ปรากฏว่ามีสัตว์ปีศาจระดับต่ำกำลังเร่ร่อนไปทั่วตระกูลที่อยู่ข้างเคียง ตระกูลพวกนั้นไม่สามารถจะตั้งรับได้อีกนานนัก ดังนั้นพวกนางจึงถูกส่งตัวให้มาช่วยเหลือ
ในฐานะผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ทั้งสี่คนถือว่าเป็นผู้ฝึกตนระดับสูงแล้วภายในโรงเรียนตานติ่งปัจจุบัน ทั้งที่เป็นหนึ่งในเจ็ดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ แต่โรงเรียนตานติ่งแตกต่างจากสำนักเทียนเต้าและโรงเรียนเสวียนชิง พวกเขาเก่งในด้านการปรุงยาแต่ระดับการฝึกตนถือว่าแค่ค่อนข้างพอใช้ จำนวนศิษย์ที่พวกเขามีก็มากกว่ากลุ่มการฝึกตนขนาดกลางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้พวกเขาจึงต้องทุกข์ทนจากความเสียหายที่เป็นวงกว้างเช่นนี้ เพราะผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังเหลือน้อยลงกว่าก่อนหน้านี้มากทีเดียว ถึงอย่างนั้น สัตว์ปีศาจที่พวกเขากำลังต่อสู้ด้วยก็เป็นเพียงสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งและสอง สัตว์ระดับสี่และสูงกว่านั้นแทบไม่มีให้เห็น ดังนั้นการที่ทั้งสี่คนร่วมมือกับผู้ฝึกตนจากโรงเรียน ภัยอันตรายจึงไม่น่ามีมากนัก
หลังจากบินอยู่ในความเงียบมาครึ่งวัน ในที่สุดพวกนางก็มาถึงเขตหนึ่งของเขาเทียนหัว จากที่ไกลๆ ทั้งสี่คนสามารถมองเห็นบ้านเรือนที่ขยายออกไปตามระยะทาง
กลุ่มของผู้ฝึกตนที่กำลังลาดตระเวนเหาะมาหาทันที
กลุ่มผู้ฝึกตนลาดตระเวนกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังวิญญาณและผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังในฐานะผู้นำ ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังนั้นอยู่ในระดับต้นเท่านั้น เขาดูเหมือนชายชราและผมกว่าครึ่งของเขาหงอกเป็นสีดอกเลาแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มีเวลาใช้ชีวิตเหลืออยู่อีกนานนัก โดยปกติถ้าตระกูลผู้ฝึกตนต้องพึ่งพากลุ่มการฝึกตน คนหนุ่มสาวและคนที่มีความสามารถเท่านั้นที่จะยังคงอยู่ภายในกลุ่ม ในขณะที่พวกคนที่ไม่ได้มีเวลาเหลืออีกหลายปีและไม่มีหวังในการก้าวหน้าไปสู่ดินแดนถัดไปก็จะกลับมายังตระกูลของตัวเองเพื่อสั่งสอนคนรุ่นใหม่
ผู้ฝึกตนคนนั้นเหาะมาทางพวกนาง เขามองพวกนางอย่างสนอกสนใจพักหนึ่งก่อนที่เขาจะประสานมือเป็นการทักทายและกล่าวว่า “สหายนักพรต ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าท่านคือ…”
หันชิงอวี้ยิ้ม นางหยิบแผ่นจารึกประจำตัวออกมาและพูดว่า “สหายนักพรต พวกเราเป็นศิษย์โรงเรียนเสวียนชิง ได้รับสั่งให้มาช่วยเหลือโรงเรียนตานติ่ง เรามาช่วยพวกท่าน”
ชายชรารับแผ่นจารึกประจำตัวไป เมื่อเขาตรวจสอบเสร็จ ท่าทางที่ดูระมัดระวังก็เปลี่ยนไปเป็นประหลาดใจและตื่นเต้น เขาเข้ามาใกล้พวกนางและโค้งคำนับซ้ำๆ ขณะที่พูดว่า “สหายนักพรตจากโรงเรียนเสวียนชิง เรื่องนี้สำคัญมากเหลือเกิน ข้ารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากหากทำให้ท่านไม่พอใจ ข้าเป็นผู้ฝึกตนแห่งตระกูลอวี๋ ข้าจะไปรายงานให้ท่านหัวหน้าทราบเดี๋ยวนี้ เพื่อที่จะได้มาพบพวกท่าน กรุณารอตรงนี้สักครู่ขอรับ”
หันชิงอวี้ทำท่าทางว่า “เชิญ” ให้เขา ผู้ฝึกตนคนนั้นเอาเครื่องรางเรียกขานออกมาและกระซิบไปสองสามคำ จากนั้นเครื่องรางเรียกขานได้เปลี่ยนเป็นลำแสงสว่างที่ยิงตรงไปยังหนึ่งในบ้านที่อยู่ด้านล่าง
ทันทีที่เครื่องรางเรียกขานหายลับไป ลำแสงวูบวาบมากมายพุ่งขึ้นจากด้านล่างในทันที เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ ในที่สุดโม่เทียนเกอก็มองเห็นได้ชัด พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนวัยกลางคน ฮูหยินคนงาม และชายชรา
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนมีระดับการฝึกตนสูงที่สุดในทั้งสามคน เขาอยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังระดับกลาง เขามีผมยาวเคราดำและใส่ชุดคลุมหยินหยางแบบนักพรตเต๋า เขาดูภูมิฐานมาก ส่วนฮูหยินและชายชราอยู่ในระดับต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังทั้งคู่ ฮูหยินดูอ่อนหวานและสวยสง่าขณะที่ชายชราดูธรรมดา
ขณะที่ทั้งสามคนเดินเข้ามา ผู้ฝึกตนวัยกลางคนพูดพร้อมกับยิ้มให้จากระยะไกล “ท่านเทพธิดา เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากกับการปรากฏตัวของพวกท่าน โปรดอภัยให้เราด้วยที่ไม่ได้ต้อนรับพวกท่านเร็วกว่านี้”
เทพธิดา? โม่เทียนเกอมึนงงเล็กน้อยกับการถูกเรียกเช่นนี้ นางรู้ว่าผู้ฝึกตนหญิงบางครั้งอาจถูกเรียกว่า “เทพธิดา” บ้าง แต่ในสถานการณ์ปกติโดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นมนุษย์ธรรมดาที่เรียกพวกนางอย่างนั้น ถนนสู่การเป็นเซียนไม่เกี่ยวอะไรกับเพศสภาพ เพราะฉะนั้นผู้ฝึกตนทั้งชายและหญิงมักจะเรียกอีกฝ่ายว่า “สหายนักพรต” การเรียกพวกนางว่า “เทพธิดา” ในการเจอกันครั้งแรกแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของผู้ฝึกตนวัยกลางคนในการเชิดชูพวกนาง แต่อย่างไรก็ตาม นางไม่ชินกับการถูกเรียกเช่นนี้จริงๆ
หันชิงอวี้ไม่ได้รู้สึกลำบากใจอะไรแม้แต่น้อย นางพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “สหายนักพรตไม่จำเป็นต้องสุภาพนัก เราล้วนเป็นผู้ฝึกตนกันทั้งนั้น เรียกพวกเราว่า ‘สหายนักพรต’ ก็เพียงพอแล้ว”
เมื่อเห็นว่าหันชิงอวี้ทำตัวมีเหตุผล ผู้ฝึกตนวัยกลางคนก็รู้ได้ว่าพวกนางไม่ใช่ผู้ฝึกตนหญิงที่ทะนงตนหรือหยิ่งยโส ดังนั้นเขาจึงยิ้มและพูดอย่างจริงใจมากขึ้นว่า “สหายนักพรตพูดถูก ข้าจะทำตามที่ท่านบอก อ้อ ข้าคืออวี๋จิงเฟิง หัวหน้าตระกูลอวี๋ นี่คือภรรยาของข้า ส่วนนี่คือไห่เทา ศิษย์พี่จากตระกูลของเรา” ชายผู้ฝึกตนชี้ไปยังคนทั้งสองที่อยู่ด้านข้างซึ่งทำความเคารพพวกนางตอบ เมื่อพวกเขาทำความเคารพกันเสร็จ ชายผู้ฝึกตนจึงยิ้มให้อีกครั้งและถามว่า “ข้าขอทราบชื่อของสหายนักพรตได้หรือไม่”
เมื่อกลุ่มของโม่เทียนเกอทำความเคารพกลับ หันชิงอวี้ตอบว่า “ข้าคือหันชิงอวี้แห่งโรงเรียนเสวียนชิง คนเหล่านี้คือศิษย์น้องของข้า เว่ยจยาซือ หลัวเฟิงเสวี่ย และโม่เทียนเกอ”
“สหายนักพรตหัน สหายนักพรตเว่ย สหายนักพรตหลัว และสหายนักพรตโม่นี่เอง สหายทั้งหลายพวกท่านทุกคนยังอายุไม่มากแต่ระดับการฝึกตนของท่านล้วนสูง สมควรแก่การได้รับความเคารพและชื่นชมโดยแท้”
หันชิงอวี้ยิ้มอย่างนุ่มนวลและพูดว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลอวี๋ไม่จำเป็นต้องนอบน้อมมากนักหรอก ในหมู่พวกเรา ศิษย์น้องของข้าทั้งสองคนสมควรได้รับคำชมนี้ อย่างไรก็ตาม ตัวข้าและศิษย์น้องเว่ยอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว พวกเราไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้น”
วิชาการฝึกตนส่วนใหญ่สำหรับผู้ฝึกตนหญิงช่วยสงวนรูปลักษณ์ของพวกนางไว้ ต่อให้วิชาการฝึกตนของพวกนางไม่ได้ผลเยี่ยงนั้น พวกนางก็ยังสามารถใช้ยาคงรูปได้ เพราะฉะนั้นทั้งหันชิงอวี้และเว่ยจยาซือจึงยังดูเหมือนอยู่ในช่วงอายุยี่สิบปี อีกอย่าง ในพวกนางทั้งสองคน คนหนึ่งอยู่ในขั้นกลางและอีกคนอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ถ้าว่ากันตามอายุขัยของพวกนาง พวกนางควรจะดูเหมือนอายุสามสิบปีเป็นอย่างมาก หันชิงอวี้กำลังถ่อมตัวอย่างแรง
หัวหน้าตระกูลอวี๋เป็นคนหัวไว หลังจากเขาได้ยินคำพูดของหันชิงอวี้ เขาก็โบกมือและพูดว่า “เอ… ท่านสหายหานแห่งเต๋าก็ถ่อมตนเกินไป ต่อให้ท่านและสหายเว่ยแห่งเต๋าจะอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปี แต่ความก้าวหน้าของพวกท่านนั้นไร้ที่สิ้นสุด สหายหานแห่งเต๋าอยู่ในขั้นท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังเป็นศิษย์ของโรงเรียนที่มีชื่อเสียง เพราะอย่างนั้นบางทีในสักวันหนึ่ง ท่านจะต้องสร้างขุมพลังของท่านและกลายเป็นศิษย์อายุน้อยที่มีความสามารถอย่างแท้จริงได้แน่”
“ข้าไม่สมควรได้รับคำชมเช่นนี้เลย”
ทั้งสองคนยังคงพูดกันต่อไป คนหนึ่งพูดชมไม่ขาดปากในขณะที่อีกคนทำเป็นถ่อมตน ทำให้โม่เทียนเกอที่เป็นผู้ฟังรู้สึกสลดมาก โชคดีมากแล้วที่ศิษย์พี่หันมีความอดทนขนาดนี้ ถ้าเป็นนางล่ะก็ แม้ว่าโม่เทียนเกอเองก็พยายามจะสุภาพ แต่นางคงจบบทสนทนาหยอกเย้าเช่นนี้ในทันทีที่ทำได้แน่นอน
พวกเขาใช้เวลาอีกสิบห้านาทีพูดคุยเช่นนั้นกันต่อไป พวกผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังในกลุ่มลาดตระเวนออกไปทำหน้าที่ตรวจตราต่อ แต่กระนั้นทั้งสองคนก็ยังพูดชมกันไม่เสร็จ โชคดีที่ฮูหยินอวี๋ที่อยู่ข้างๆ หัวหน้าตระกูลอวี๋ได้โอกาสและพูดขัดขึ้น นางกล่าว “ท่านพี่ ท่านสหายนักพรตเพิ่งจะมาถึง ทำไมท่านไม่เชิญพวกนางเข้ามานั่งข้างในก่อนล่ะ”
หัวหน้าตระกูลอวี๋ดูเหมือนจะเพิ่งนึกได้ขึ้นมาทันที เขาพูดอย่างเสียใจว่า “จริงด้วยสิ ข้าลืมตัวไปหน่อย โชคดีจริงที่เจ้าเตือนข้า ท่านสหายนักพรต ข้าต้องขออภัยเป็นอย่างสูง เชิญเข้ามานั่งข้างในก่อน”
หันชิงอวี้ยิ้ม ภายใต้การนำของหัวหน้าตระกูลอวี๋ กลุ่มคนทั้งหมดจึงเข้าไปที่สนามของตระกูลอวี๋
หัวหน้าตระกูลอวี๋นำทางทั้งสี่คนเข้าไปในห้องโถง หลังจากทั้งฝ่ายเจ้าบ้านและฝ่ายแขกได้นั่งลงตามที่ของตัวเองและมีน้ำชามาบริการ ในที่สุดพวกเขาจึงได้ถกปัญหาที่แท้จริงเสียที
“ข้าจะขอพูดตรงๆ กับท่านสหายนักพรต ตอนนี้สภาพของตระกูลอวี๋ของข้าไม่สู้ดีนัก ในฐานะศิษย์ของโรงเรียนชื่อดัง ท่านคงจะได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว ม่านพลังป้องกันที่คอยปกป้องตระกูลอวี๋ไม่ได้ดีเลิศที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ในตระกูลเรามีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังสี่คน เราเป็นแค่ตระกูลเล็กๆ เครื่องมือเวทและยาวิเศษของเราก็ไม่ได้มีคุณภาพดีที่สุด ครั้งสุดท้ายที่พวกสัตว์ปีศาจโจมตี พี่ชายของข้าได้รับบาดเจ็บ และทั้งตัวข้าและภรรยาต้องเสียเครื่องมือเวทไป โดยไม่มีทางเลือกอื่น พวกเราทำได้แค่ต้องขอความช่วยเหลือจากทางโรงเรียน โชคดีที่พวกท่านมาได้ทันเวลา”
ครั้งนี้หันชิงอวี้ไม่ได้เอ่ยคำพูดถ่อมตัวอะไรอีก หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งนางจึงถามว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลอวี๋ พละกำลังของท่านตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง สหายนักพรตไห่เทาได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นในช่วงนี้พละกำลังของเขาจึงไม่ควรจะเอามาพิจารณาด้วย ตัวท่านและภรรยายังมีวิธีการอื่นในการรับมือกับศัตรูอีกหรือไม่”
หัวหน้าตระกูลอวี๋พยักหน้า เขาลูบเคราพร้อมพึมพำกับตัวเองอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบว่า “ถึงแม้ว่าเครื่องมือเวทที่ใช้ได้ของเราจะถูกทำลายไป แต่เรายังมีของอย่างอื่นอีก ดังนั้นเราคงไม่มีปัญหาอะไรกับการต่อสู้สัตว์ปีศาจที่อยู่ในดินแดนเดียวกับเรา พี่ชายของข้าอายุมากแล้วและยังบาดเจ็บ ดังนั้นเขาคงไม่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้ได้ทันที เรายังมีหลานชายที่ประจำการอยู่ด้านนอก ถึงแม้ว่าระดับการฝึกตนของเขาจะต่ำกว่าข้า แต่เขาก็มีฝีมือมากในการต่อสู้ด้วยพลังเวท ต่อให้เขาต้องต่อสู้กับสัตว์ปีศาจที่อยู่ในดินแดนสูงกว่าเขา โอกาสในการชนะของเขาก็มีค่อนข้างสูง”
“เข้าใจแล้ว…” หันชิงอวี้ไม่ได้คาดหวังมากนักจากตระกูลอวี๋ ดังนั้นนางจึงไม่ได้ผิดหวัง นางเพียงแค่เหลือบมองมาทางทั้งสามคนและถามว่า “พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร”
ในหมู่พวกนางสามคน เว่ยจยาซืออายุมากที่สุดและอาวุโสที่สุด ดังนั้นนางจึงเป็นคนแรกที่พูด “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าคิดว่าไม่มีปัญหา พวกเราสองคนสู้ด้วยกันได้และเฟิงเสวี่ยกับเทียนเกอก็มีวิธีการบางอย่างเหมือนกัน พวกนางไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกับการต่อสู้สัตว์ปีศาจที่อยู่ดินแดนเดียวกับพวกนาง”
หลัวเฟิงเสวี่ยพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เราทำการจัดระเบียบใหม่กับผู้ฝึกตนจากตระกูลอวี๋ได้ บางทีอาจให้ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณมีบทบาทมากขึ้นได้เช่นกัน”
โม่เทียนเกอไตร่ตรองอยู่นานก่อนจะพูดขึ้นว่า “ข้าสามารถแก้ไขม่านพลังป้องกันของตระกูลอวี๋ได้ ด้วยวิธีนั้น พลังป้องกันของพวกเขาก็น่าจะเพิ่มขึ้นอีกครึ่งหนึ่งและเพิ่มวิธีโจมตีบางอย่างเข้าไปด้วย”
หันชิงอวี้พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม นางก็มีความคิดเช่นเดียวกัน เว่ยจยาซือมักจะเน้นย้ำถึงความสำคัญของการต่อสู้ด้วยพลังเวทเสมอ หลัวเฟิงเสวี่ยเก่งในด้านการจัดการ ขณะที่จุดแข็งของโม่เทียนเกอคือด้านม่านพลัง ทั้งสามคนต่างมุ่งมั่นอยู่กับเรื่องที่แตกต่างกัน ส่วนสำหรับตัวนางเองนั้น หันชิงอวี้เป็นศิษย์พี่ใหญ่มาโดยตลอด นางเก่งในด้านการนำทุกคนและทำการตัดสินใจสุดท้าย ทั้งสี่คนมีลักษณะนิสัยแตกต่างกันแต่พวกนางก็เติมเต็มซึ่งกันและกัน นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินถึงส่งพวกนางออกมาด้วยกัน
สมาชิกทั้งสามคนของตระกูลอวี๋ทั้งประหลาดใจและสุขใจที่ได้ยินสิ่งที่พวกนางพูด ในกรณีนี้ การมาถึงของกลุ่มโม่เทียนเกอจึงไม่ใช่แค่การเพิ่มผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังมาอีกสี่คนเท่านั้น ครั้งนี้ตระกูลอวี๋ของเขาอาจจะได้รับการช่วยให้อยู่รอดปลอดภัยได้