ตอนที่ 120 การเตรียมตัวก่อนสงคราม

ลำนำสตรียอดเซียน

ณ ตระกูลอวี๋ ในที่สุดทั้งสี่คนก็ได้อยู่ห้องแยกกัน ตอนนี้ไม่มีเวลาเพื่อฝึกปรุงยาหรือฝึกตน ดังนั้นเมื่อโม่เทียนเกอเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนาง นางจึงอยู่เพียงครู่เดียวและเอาหนังสือออกมาหลายเล่ม 

 

 

ด้วยว่านางมีความทรงจำของสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอเข้าใจว่าเหตุใดนางถึงสามารถเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนได้อย่างง่ายดาย จนกว่าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนจะมาเจอนาง มันได้ท่องเที่ยวไปรอบโลก คงจะมีคนมากมายที่พยายามหลั่งเลือดพวกเขาลงไป ทำให้มันรู้จักพวกเขาในฐานะเจ้าของของมัน แต่มีเพียงแค่โม่เทียนเกอที่ทำสำเร็จ สาเหตุก็คงเป็นเพราะรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดของนางนั่นเอง 

 

 

โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้มาจากยุคอดีตอันไกลโพ้น วิชาการฝึกตนจากยุคนั้นแตกต่างกับวิชาสมัยใหม่โดยสิ้นเชิง ถึงแม้ว่ารากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดจะหายากมากและปรากฏขึ้นเพียงแค่ทุกหลายพันปี แต่ทุกคนในยุคนั้นล้วนฝึกตนด้วยศาสตร์แห่งต้นกำเนิด เพราะฉะนั้นคนที่มีพลังจิตจะต้องมีความโกลาหลแรกเริ่มอยู่ภายในร่างกายของพวกเขาเป็นแน่ โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนถูกสร้างขึ้นมาในยุคนั้น ดังนั้นแก่นของมันจึงเชื่อมโยงกับความโกลาหลแรกเริ่ม เพราะว่าศาสตร์แห่งต้นกำเนิดได้หายสาบสูญไปแล้ว คนหลายคนในยุคปัจจุบันที่หลั่งเลือดของพวกเขาลงบนไข่มุก จึงไม่สามารถปลุกโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนให้ตื่นขึ้นได้ โม่เทียนเกอเดาว่าเทพผู้ฝึกตนอีกคนที่ครอบครองโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนอกเหนือจากจงมู่หลิงคงจะใช้วิชาพิเศษอะไรสักอย่างเพื่อสร้างความโกลาหลแรกเริ่มและทำให้โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนรู้จักเขาในฐานะเจ้าของของมัน 

 

 

ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน มีร่องรอยของผู้ครอบครองคนก่อนหน้าอยู่ นางไม่รู้ว่าผู้ครอบครองคนก่อนหน้าเป็นคนสูงส่งเพียงไหน ทว่าพวกเขาได้ทิ้งหนังสือเอาไว้มากมาย โชคร้ายที่พวกเขาไม่ได้ทิ้งอาวุธวิเศษใดไว้ คาดว่ามันคงจะถูกพกไปด้วยพร้อมกับกายหยาบของผู้ครอบครองคนก่อนและสูญหายไปเมื่อพวกเขาตาย 

 

 

อย่างไรก็ตาม คนผู้นั้นคงจะฝึกตนด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ โม่เทียนเกอพบบันทึกที่เป็นของผู้ครอบครองคนก่อนซึ่งมีการเขียนถึงความคิดเห็นบางอย่างของพวกเขาเกี่ยวกับการฝึกตนอยู่ด้วย นางไม่เข้าใจมันแต่นางก็รู้ว่าเป็นเพราะระดับการฝึกตนของนางยังต่ำเกินไป 

 

 

จากที่หยวนเป่าบอกนาง คนที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ในยุคอดีตอันไกลโพ้นยังไม่เทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ทั่วไปในยุคปัจจุบันนี้ หากจะพูดให้ถูก พวกเขาอยู่ในดินแดนที่เหนือกว่าดินแดนแห่งเทพที่ยังไม่มีใครรู้ สาเหตุที่เขาพูดเรื่องนี้เพราะงานเขียนพวกนี้ก็มีอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของจงมู่หลิงเช่นกัน แต่ในดินแดนปัจจุบันพวกเขาก็ไม่สามารถจะเข้าใจมันได้ 

 

 

แม้กระนั้น นอกจากบันทึกก็ยังมีหนังสือเรียบๆ ที่ทำให้นางตกใจจนสามารถส่งนางไปสวรรค์ได้เลย หนังสือที่บรรยายวิชาปรุงยา วิชาทำเครื่องราง วิชาขัดเกลาเครื่องมือ วิชาม่านพลัง และแม้แต่วิชาควบคุมอุปกรณ์ซึ่งมีมากมาย เพราะว่านางเชี่ยวชาญในด้านม่านพลังมากที่สุด สิ่งแรกที่นางเรียนรู้จึงเป็นวิชาม่านพลัง 

 

 

มีการบรรยายถึงชนิดของม่านพลังมายานภา บางทีมันอาจจะเป็นม่านพลังแบบเดียวกับที่จงมู่หลิงวางไว้ด้านนอกโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของเขา หนังสือนี้กล่าวว่าม่านพลังนี้เมื่อถูกวางสามารถแสดงปรากฏการณ์ธรรมชาติบนโลกมนุษย์ทุกประเภทได้ ที่นางเจอมาเป็นเพียงแค่ม่านพลังมายานภาสองประเภทที่มีปริมาณพลังน้อยที่สุด 

 

 

ความเข้าใจปัจจุบันของนางถูกจำกัดอยู่แค่นี้ ระดับการฝึกตนของคนผู้หนึ่งยังมีผลต่อความสามารถของพวกเขาในการทำความเข้าใจลัทธิเต๋าด้วยเช่นกัน ในขณะเดียวกัน หยินหยางและธาตุทั้งห้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิเต๋าล้วนเป็นรากฐานของม่านพลัง หากดินแดนของโม่เทียนเกอไม่สูงพอ นางคงไม่สามารถก้าวหน้าต่อไปได้แน่ 

 

 

ต่อให้นางมองข้ามม่านพลังมายานภาไป ม่านพลังที่ง่ายและพอใช้งานได้ที่บันทึกอยู่ในหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ม่านพลังยุคปัจจุบันจะสามารถเทียบเท่าได้เลย 

 

 

ม่านพลังป้องกันตัวของตระกูลอวี๋รู้จักกันในนามว่าม่านพลังสัตว์จตุรเทพ ถึงแม้จะไม่ใช่ม่านพลังทั่วไปแต่ก็ไม่ใช่ม่านพลังระดับสูงเช่นกัน โดยทั่วไปมีเพียงตระกูลผู้ฝึกตนขนาดกลางไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่ใช้ โม่เทียนเกอเจอม่านพลังสัตว์จตุรเทพในหนังสือเหมือนกัน แต่วิธีที่ใช้วางม่านพลังนั้นแตกต่างจากวิธีที่ใช้ในปัจจุบันและพลังของมันก็ยิ่งใหญ่กว่ามาก 

 

 

นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่รู้จักกันในนามม่านพลังสัตว์จตุรเทพร้อยบุปผา ซึ่งเป็นรูปแบบที่ปรับแก้แล้วของม่านพลังสัตว์จตุรเทพ วิชาที่ใช้ในการวางม่านพลังลดทอนความรุ่งเรือง ผสมผสานเข้ากับม่านพลังสัตว์จตุรเทพ เปลี่ยนให้เป็นม่านพลังผสมชนิดหนึ่ง มันเป็นทั้งม่านพลังสัตว์จตุรเทพและม่านพลังร้อยบุปผาในเวลาเดียวกัน ม่านพลังทั้งสองชนิดไม่เกี่ยวข้องกับอีกอันโดยสิ้นเชิงแต่ก็สามารถรวมกันเป็นหนึ่งได้ วิชาทำลายม่านพลังเพียงวิชาเดียวไม่เพียงพอที่จะทำลายมันได้ 

 

 

เมื่อนางเห็นวิธีการวางม่านพลังแบบนี้ ความรู้สึกทึ่งและยำเกรงที่โม่เทียนเกอมีต่อเจ้าของคนก่อนก็ยิ่งเพิ่มขึ้น หลักการนั้นเห็นชัดอยู่แล้ว แต่นางกลับไม่เคยคิดถึงการใช้วิธีนี้มาก่อนเลย 

 

 

เมื่อสัตว์ปีศาจฝึกตนกลายเป็นสัตว์ปีศาจระดับสูง ก็จะพัฒนาความฉลาดไปด้วย แต่สัตว์ปีศาจระดับสามและสี่ยังไม่สามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้ ร่างกายของพวกมันแข็งแกร่งและไม่มีรากวิญญาณมาคอยจำกัด ดังนั้นทั้งการฝึกตนและพลังจิตของพวกมันจึงบริสุทธิ์มากกว่าของมนุษย์ บริสุทธิ์มากเสียจนพวกมันเป็นฝ่ายมีอำนาจเหนือกว่ามนุษย์ในการต่อสู้ด้วยพลังเวท กระนั้นก็ตาม จากการพึ่งพาสิ่งของนอกกายที่เกิดจากสติปัญญาของพวกเขา มนุษย์ผู้ฝึกตนก็มักจะสามารถเอาชนะสัตว์ปีศาจเหล่านั้นได้เสมอ สิ่งของเหล่านี้รวมไปถึงอาวุธวิเศษ เครื่องราง ม่านพลัง และอื่นๆ  

 

 

ท่ามกลางสิ่งของเหล่านี้ ม่านพลังคือของที่ราคาย่อมเยาที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุด หัวหน้าตระกูลอวี๋เป็นคนหลักแหลม หลังจากโม่เทียนเกอสัญญาว่าจะวางม่านพลังอื่นให้ตระกูลอวี๋ เขาก็ยิ่งแสดงไมตรีจิตกับนางมากกว่าเดิม เขาถึงกับส่งผู้ฝึกตนหลายคนมาช่วยนางเลยทีเดียว 

 

 

อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอส่งพวกเขาทั้งหมดกลับไป ไม่ใช่เพราะนางเกรงว่าความลับของนางจะถูกคนอื่นรู้ แต่เพราะผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณพวกนั้นเป็นภาระมากกว่าเป็นประโยชน์ นางยอมทำทุกอย่างด้วยตัวเองดีกว่า 

 

 

นอกเหนือจากแผ่นม่านพลัง ธงม่านพลัง และศิลาวิญญาณ ของที่จำเป็นสำหรับวางม่านพลังยังรวมไปด้วยสัตว์วิเศษ พืชวิญญาณ และวัตถุวิญญาณอื่นๆ มีสองเหตุผลว่าทำไมโม่เทียนเกอถึงเลือกปรับแก้ม่านพลังสัตว์จตุรเทพโดยตรง ข้อแรก ม่านพลังดั้งเดิมของตระกูลอวี๋คือม่านพลังสัตว์จตุรเทพอันนี้ ดังนั้นการแก้ไขมันจึงสะดวกกว่า ส่วนเหตุผลข้อที่สองเป็นเพราะของที่จำเป็นต้องใช้นั้นธรรมดาไม่ซับซ้อน ต้องการแค่ไม้วิญญาณชนิดหนึ่งที่นางบังเอิญมีอยู่ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนาง 

 

 

หลังจากใช้เวลาทั้งวันเพื่อทำความเข้าใจม่านพลังสัตว์จตุรเทพนี้อย่างลึกซึ้ง โม่เทียนเกอก็ต้องใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงเดียวเพื่อวางม่านพลังและเสร็จงานของนางอย่างง่ายดาย 

 

 

ว่ากันว่าตระกูลอวี๋มีผู้ฝึกตนอายุยังน้อยอีกสองคนอยู่ในโรงเรียนตานติ่ง สำหรับหัวหน้าตระกูลอวี๋ ที่จริงแล้วเขาใช้ยาคงรูปซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงดูยังหนุ่มเช่นนั้น ส่วนฮูหยินอวี๋ก็ไม่ได้อายุน้อยเช่นกัน ในหมู่พวกเขาทั้งสี่คน คนที่อายุน้อยที่สุดอายุประมาณหนึ่งร้อยปีแต่ยังไม่มีใครเลยที่เข้าถึงขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้ เพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงเลือกที่จะกลับมาและอบรมเลี้ยงดูคนรุ่นใหม่ด้วยความเต็มใจ 

 

 

ถึงแม้ว่าระดับการฝึกตนของผู้ฝึกตนตระกูลอวี๋ทั้งสี่คนจะค่อนข้างต่ำ แต่พวกเขาก็มีความเข้าใจเชิงลึกที่ดีและผู้ฝึกตนตระกูลอวี๋คนอื่นก็มีความรู้พื้นฐานที่มากเพียงพอ 

 

 

โชคไม่ดีที่พวกเขาไม่อาจเทียบได้เลยกับศิษย์ระดับหัวกะทิจากโรงเรียนเสวียนชิงอย่างเห็นได้ชัด พวกเขายังไม่เก่งเท่าศิษย์ธรรมดาในยอดเขาวสันต์กระจ่างด้วยซ้ำไป สถานการณ์นี้ทำให้หลัวเฟิงเสวี่ยรู้สึกทั้งโมโหและวิตกกังวล 

 

 

โม่เทียนเกอกำลังนั่งอย่างสบายๆ อยู่ด้านข้าง อ่านหนังสือเกี่ยวกับม่านพลังและดูหลัวเฟิงเสวี่ยสั่งสอนคนรุ่นใหม่ของตระกูลอวี๋อย่างฉุนเฉียวไปด้วยพร้อมๆ กัน 

 

 

“นี่ เจ้าน่ะ! เจ้าใช้เครื่องรางได้หรือไม่ได้”  

 

 

“ศิษย์พี่… ขะ-ข้าเพิ่งอยู่ในระดับแรกของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ…”  

 

 

“ต่อให้เจ้าอยู่แค่ในระดับแรกของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณเจ้าก็ยังเป็นผู้ฝึกตน! เจ้าเป็นผู้ฝึกตนแต่เจ้าใช้เครื่องรางไม่เป็นอย่างนั้นรึ น่าอับอายจริงๆ! ไปอยู่ข้างๆ และดูให้ดี!” จากนั้นนางยืนประจำตำแหน่ง หยิบเครื่องรางออกมาและสาธิตให้ดูสั้นๆ ด้วยความมั่นใจ 

 

 

“ทีนี้ทำได้หรือยัง”  

 

 

“…” เด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะอายุประมาณสิบสี่หรือสิบห้าจ้องหลัวเฟิงเสวี่ยด้วยความหวาดกลัว 

 

 

ด้วยความโกรธที่เขาจ้อง หลัวเฟิงเสวี่ยจึงดุว่า “เจ้ายังทำไม่ได้งั้นรึ!”  

 

 

“ศิษย์พี่…” เด็กคนนั้นร้องเรียกทั้งน้ำตา “ขะ-ข้าจะหัดช้าๆ ได้โปรดอย่าให้ข้าเคลื่อนย้ายของเลย คนอื่นจะหัวเราะเยาะข้า”  

 

 

การเคลื่อนย้ายของเป็นงานของพวกมนุษย์ธรรมดา ในสองวันที่ผ่านมา หลัวเฟิงเสวี่ยจัดระบบสมาชิกของตระกูลอวี๋ใหม่ พวกมนุษย์ได้รับมอบหมายงานจิปาถะทั่วไป ขณะที่พวกผู้ฝึกตนได้ฝึกม่านพลังง่ายๆ หลายแบบ เช่นเดียวกับวิชาต่างๆ สำหรับการต่อสู้ด้วยพลังเวท 

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยชินแล้วกับการทำสิ่งเหล่านี้ นางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาแค่วันเดียว นางก็มอบหมายงานที่เหมาะสมให้กับคนที่สมควร 

 

 

ขณะที่นางมองเด็กคนนั้นร้องไห้ ความโกรธบางส่วนที่หลัวเฟิงเสวี่ยรู้สึกได้เบาบางลง นางเป็นคนดังที่โรงเรียนมาโดยตลอด นอกจากมีสถานะสูงแล้ว นางยังมีนิสัยดีอีกด้วย แม้แต่เมื่อศิษย์ธรรมดาขอร้องให้นางช่วย นางก็มักจะช่วยเหลือเท่าที่นางทำได้เสมอ ดังนั้นพอเห็นว่าเด็กคนนั้นจ้องมองนางอย่างน่าเวทนา นางจึงใจอ่อน 

 

 

“เจ้า มานี่สิ!” หลัวเฟิงเสวี่ยเรียกผู้ฝึกตนระดับสามของการหลอมรวมพลังวิญญาณผู้ที่ดูเหมือนจะอายุประมาณสามสิบปีแล้วนางก็ชี้ไปที่เด็กคนนั้น “สอนเขาใช้เครื่องรางหน่อย”  

 

 

แม้ว่าผู้ฝึกตนคนนั้นจะเข้ามาหาอย่างว่าง่าย แต่เขาก็ตัวสั่นเทาด้วยความกลัวเช่นกัน เขาตอบอย่างระมัดระวังว่า “ขอรับ”  

 

 

และเป็นเช่นนั้นเอง ผู้ฝึกตนที่อาวุโสกว่าจึงสอนวิธีใช้เครื่องรางให้เขาอย่างละเอียดพร้อมกับหลัวเฟิงเสวี่ยที่คอยแนะนำพวกเขาเป็นครั้งคราว หนึ่งชั่วโมงต่อมา เด็กคนนั้นก็ร้องฟูมฟายอีกครั้งหนึ่ง “ศิษย์พี่ ท่านน่าจะให้ข้าไปเคลื่อนย้ายของ!”  

 

 

ในชั่วพริบตา ความโกรธของหลัวเฟิงเสวี่ยเพิ่มสูงขึ้น นางโกรธหน้ามืดตามัวจนแทบไม่เห็นทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า 

 

 

ขณะนั้นเอง โม่เทียนเกอทนต่อไปไม่ไหว ก็หัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลังพวกเขา 

 

 

เสียงกลั้นหัวเราะของนางดังเข้าหูหลัวเฟิงเสวี่ย ผู้ซึ่งหันกลับมามองอย่างดุร้าย พอเห็นว่าเป็นโม่เทียนเกอ หลัวเฟิงเสวี่ยจึงหายโกรธและสั่งผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณที่ค่อนข้างโดดเด่นให้สอนคนอื่นๆ ต่อไป นางมานั่งอย่างอ่อนแรงอยู่ข้างๆ โม่เทียนเกอ 

 

 

โม่เทียนเกอหยุดยิ้มและปลอบหลัวเฟิงเสวี่ยอย่างจริงจัง “ช่างมันเถอะ พอเห็นว่าผู้ฝึกตนพวกนี้ไม่มีแม้แต่คุณสมบัติจะเข้ากลุ่มการฝึกตน นั่นก็แสดงให้เจ้าเห็นแล้วว่าทักษะของพวกเขาเป็นเช่นไร การไปสั่งให้พวกเขาทำตามมาตรฐานของศิษย์พวกเรานั้นเป็นการเรียกร้องมากเกินไป”  

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยแผดเสียง “สั่งพวกเขารึ! ข้าไม่ได้สั่งพวกเขา เข้าใจไหม! สำหรับศิษย์โรงเรียนเสวียนชิง ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณธรรมดาหลายๆ คนที่ร่วมมือกันวางม่านพลังอันเดียวคงไม่มีปัญหาอะไรกับการต่อสู้สัตว์ปีศาจระดับสอง ไม่ต้องพูดถึงศิษย์ระดับหัวกะทิเลย แต่ดูพวกเขาสิ! ข้ากำลังสั่งอะไรงั้นรึ สั่งให้พวกเขาทำหน้าที่ของตัวเองและใช้สิ่งที่ต้องใช้ แต่ไม่น่าเชื่อ พวกเขาใช้เครื่องรางไม่ได้ด้วยซ้ำไป!” นางหยุดพูด หันหน้ามาอย่างเกรี้ยวกราดและพูดต่อ “บอกข้าสิ เจ้าเคยได้ยินว่ามีผู้ฝึกตนที่ไม่สามารถใช้เครื่องรางได้อย่างนั้นหรือ นั่นมันไม่ต้องใช้ทักษะอะไรเลย!”  

 

 

โม่เทียนเกอถอนหายใจและพูดว่า “ข้าเคยเจอผู้ฝึกตนประเภทนั้นมาก่อน”  

 

 

ก่อนหน้านี้หลัวเฟิงเสวี่ยพูดเช่นนั้นก็เพื่อระบายอารมณ์โกรธของนาง แต่เมื่อนางได้ยินคำตอบที่จริงจังของโม่เทียนเกอ นางก็อึ้งไปและพูดว่า “มีจริงๆ หรือ”  

 

 

“อืม” โม่เทียนเกอพยักหน้าและบอกว่า “ย้อนไปตอนที่ข้าเคยท่องไปทั่วโลกกับท่านอารองของข้า มีอะไรที่ข้ายังไม่เคยเห็นอีกงั้นหรือ มีตระกูลผู้ฝึกตนมากมายที่เสื่อมลงไปตามรุ่น คนรุ่นใหม่บางคนในตระกูลผู้ฝึกตนมีรากวิญญาณผสมซึ่งอ่อนด้อยมากในบางกรณี การยอมให้พวกเขาฝึกตนก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไร บางคนก็ติดอยู่ในระดับแรกของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณมาทั้งชีวิต และบางคนก็มีความฉลาดเทียบเท่าหรือแย่กว่ามนุษย์ธรรมดาเสียอีก ตระกูลเย่ของข้าก็เสื่อมสลายไปเช่นนั้นล่ะ”  

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยนิ่งเงียบ นางถูกพาเข้ามาโดยท่านอาจารย์เสวียนอินจากโลกมนุษย์ เพราะรากวิญญาณของนางดีเยี่ยม จึงถูกพาไปที่เขาไท่กังโดยตรงและถูกรับเข้าเป็นศิษย์ภายใน ดังนั้นนางจึงไม่ได้รับรู้เรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับตระกูลผู้ฝึกตนมากนัก 

 

 

“ช่างมันเถอะ เมื่อถึงเวลา ให้พวกเขาสู้กับสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งและพวกเราจัดการกับที่เหลือเอง เจ้าไม่ต้องกังวลมากเกินไปหรอก ศิษย์พี่หันจะต้องมีแผนบางอย่างแน่ ในท้ายที่สุดเราก็ต้องพึ่งพาตัวเองอยู่แล้วไม่ใช่หรือ หากผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังวิญญาณสามารถปกป้องตัวเองได้ก็ดีมากเกินพอแล้ว”  

 

 

“ข้าแค่หวังว่าเราจะไม่เสียสมาธิเพราะเราต้องคอยปกป้องพวกเขา แต่พวกเขา– ก็ได้ ข้ายอมรับว่าเรื่องนี้มันอยู่เหนือความสามารถของข้า”  

 

 

โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ ไม่บ่อยนักที่จะเห็นหลัวเฟิงเสวี่ยหมดหวัง นางพูดว่า “เจ้าก็เข้าใจเรื่องนี้มานานแล้วไม่ใช่หรือ ทุกคนมีทั้งข้อดีและข้อด้อย การต่อสู้ไม่เคยเป็นจุดแข็งของเจ้า ดังนั้นเจ้าควรจะปล่อยให้พวกเขาทำสิ่งเหล่านี้กันเองและเตรียมความพร้อมเพื่อตัวเจ้าเองดีกว่า”  

 

 

“อืม เจ้าพูดถูก” หลัวเฟิงเสวี่ยครุ่นคิด ปล่อยอารมณ์ไม่ดีทิ้งไปและพูดว่า “จริงสิ เจ้ายังมีเครื่องรางเหลืออยู่บ้างไหม ข้าใช้ของข้าไปเกือบหมดแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ให้ข้ามาบางส่วนแต่ก็ยังไม่พอ”  

 

 

โม่เทียนเกอรู้ว่าหลัวเฟิงเสวี่ยไม่ถนัดการใช้เครื่องมือเวท นางจึงต้องการเครื่องรางมากกว่าพวกนางคนที่เหลือ หลังจากนับคร่าวๆ อยู่ในใจ นางก็หยิบเอาเครื่องรางออกมาปึกหนึ่งและพูดว่า “ข้ายังมีอีกมาก นี่เป็นพวกที่ท่านอาจารย์ลุงให้ข้ามาและก็มีพวกนี้…”  

 

 

เมื่อเห็นโม่เทียนเกอเอาเครื่องรางของนางออกมาจนหมด หลัวเฟิงเสวี่ยร้องดีใจอย่างดัง ทั้งสองคนตรวจดูและแบ่งเครื่องรางกัน 

 

 

“เอ๋! เทียนเกอ เครื่องรางพวกนี้แปลกจริง มันดูไม่เหมือนท่านอาจารย์เป็นคนทำขึ้นและดูมีพลังมาก… ไม่มีทางที่เจ้าจะได้ของพวกนี้มาจากการซื้อข้างนอกแน่ เจ้าไปได้มาจากที่ไหนรึ”  

 

 

โม่เทียนเกอดูเครื่องรางที่หลัวเฟิงเสวี่ยพูดถึง พวกนั้นเป็นอันที่จงมู่หลิงมอบให้นาง เครื่องรางที่ทำโดยเทพผู้ฝึกตน ต่อให้จงใจลดระดับของเครื่องรางลงมาแล้วมันก็ยังไม่ใช่สินค้าธรรมดาอยู่ดี”  

 

 

“เอ่อ…”  

 

 

“ไม่สะดวกใจที่จะบอกหรือ”  

 

 

“ไม่ใช่” โม่เทียนเกอกล่าว “มันเป็นของที่อาจารย์ลุงโส่วจิ้งให้ข้ามา”  

 

 

“เช่นนั้นหรือ” หลัวเฟิงเสวี่ยที่กำลังสำรวจเครื่องรางต่างๆ ถึงกับตะลึง จากนั้นนางเงยหน้าและจ้องมองโม่เทียนเกอ 

 

 

สีหน้าโม่เทียนเกอยังคงเหมือนเดิม แต่ดูเหมือนจะมีความลับอะไรบางอย่างที่ปิดบังไว้ซ่อนอยู่ในสายตานา