ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 3 งานเลี้ยงของเฝิงอั้ง

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

หลี่ซื่อหมินกับเฝิงอั้งสองนายบ่าวเข้ากันได้ดีมาก ทั้งสองเดินจูงมือกันตั้งแต่นอกวังจนกลับมาถึงตำหนักไท่จี๋ การสนทนาระหว่างนายบ่าวได้ดำเนินตั้งแต่บ่ายต่อเนื่องจนถึงพลบค่ำ ซึ่งเหตุการณ์นี้ถือว่าหาได้ยากมากสำหรับหลี่ซื่อหมินผู้ซึ่งจัดการทุกเรื่องอย่างมีระเบียบแบบแผน

 

 

หลังจากสิ้นสุดการสนทนาก็มีพระราชโองการลงมาสามฉบับ ราชโองการแรกนั้นได้ให้เฝิงอั้งได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากอู๋กั๋วเซี่ยนกงเป็นเย่ว์กั๋วจวิ้นกง ดูแลแปดร้อยครัวเรือนพร้อมทั้งจัดเก็บภาษี ให้สิทธิในการเข้ารับราชการสองรุ่น ราชโองการที่สองคือมีพระบรมราชานุญาตให้ดำเนินการกวาดล้างชาวเผ่าเหลียวที่กระจัดกระจายได้แล้วทำให้เกิดการปกครองที่เป็นระเบียบ ราชโองการที่สามคือองค์หญิงหลี่อันหลานได้รับแต่งตั้งเป็นองค์หญิงโซ่วหยาง เนื่องจากได้มีการกำหนดการอภิเษกกับเหลียวอ๋องเหมิงฉาอยู่ก่อน ต่อมาเหมิงฉาคิดลอบทำร้าย การอภิเษกยังคงมีผลอยู่ นางจะต้องไปยังดินแดนแห่งเหลียวเพื่อปลอบขวัญประชาชน จากนั้นจึงค่อยคัดเลือกท่านอ๋องแห่งเหลียวจากทายาทที่ใกล้ชิดยกให้เป็นท่านอ๋องแห่งเหลียวเพื่อจัดการดูแลชาวเผ่านอกด่านให้มีกรอบระเบียบและทำให้พวกเขายอมศิโรราบ

 

 

เมื่ออวิ๋นเยี่ยได้ยินพระราชโองการก็ใจหายวูบไปไม่น้อย หลี่ซื่อหมินจอมโหด สังหารกษัตริย์เขาและยึดดินเขา ตอนนี้ยังต้องการปลอบใจประชาชนของเขา จึงใช้ผลประโยชน์อันน้อยนิดที่เหลืออยู่ของหลี่อันหลานให้เกิดประโยชน์ที่สุด

 

 

นั่งเอนศีรษะพิงเสาของตำหนักจิ่นเต๋อโดยไม่พูดอะไรสักคำ พ่อลูกคู่นี้คนหนึ่งเพื่อประเทศชาติใจแข็งดั่งเหล็ก อีกคนหนึ่งด้วยความปรารถนาในอำนาจ แปรเปลี่ยนไปตามเหตุการณ์ ราวกับว่าตอนจบเช่นนี้เป็นการลงเอยที่น่าปีติยินดี ทุกฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ ไม่ผิดต่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ได้รับความเสมอภาคที่สมบูรณ์แบบ หลี่ซื่อหมินได้พบบุคคลที่เหมาะสมที่สุดที่จะปลอบขวัญชาวเผ่าเหลียว หลี่อันหลานได้อำนาจอย่างที่นางหวังเอาไว้ พรมแดนทางใต้แปดร้อยลี้ซึ่งมากพอที่จะให้นางได้คึกคักกระโดดโลดเต้นจนพอใจไปชั่วชีวิต

 

 

ปูได้ถูกนึ่งเสร็จแล้ว เหล่าพ่อครัวได้เลือกตัวอวบอ้วนมาเต็มตะกร้า อวิ๋นเยี่ยตั้งใจดองขิงในน้ำส้มสายชูด้วยตนเองแล้วเทใส่ชามกระเบื้องเคลือบ จากนั้นรบกวนให้หลานหลิงส่งไปให้หลี่อันหลาน หลานหลิงที่อายุแปดขวบกินจนคราบน้ำมันไหลเยิ้มเต็มปาก กัดก้ามปูเสียงดังกร๊อบแกร๊บ ถือตะกร้าเดินไปแต่กลับบ่นว่าอวิ๋นเยี่ยนั้นตระหนี่ที่ให้ปูนางกินแค่สองตัว ปูนี้เป็นสัตว์ที่มีธาตุเย็นสูง หลานหลิงนั้นเป็นสาวน้อยที่ปอดและหัวใจค่อนข้างอ่อนแอ จะให้กินเยอะๆ ได้อย่างไร

 

 

หลังจากได้รับคำสัญญาว่าจะได้ไก่ย่างยาจกหนึ่งตัวแล้ว จึงยอมที่จะไปเรือนเล็กของหลี่อันหลานด้วยความไปเต็มใจอย่างที่สุด มองหลานหลิงที่เดินไกลออกไป อวิ๋นเยี่ยก็โกรธจัดไล่พ่อครัวทั้งหมดที่อยู่ในครัวออกไป ตนเองถือมีดสับซี่โครงหมูอย่างบ้าคลั่ง ซี่โครงหมูของหมูทั้งตัวถูกเขาสับจนเละไม่เป็นชิ้นดี หายใจหอบเหนื่อยแล้วโยนมีดทำครัวไว้ข้างๆ เอามือกุมท้องนั่งหอบ

 

 

“ในเมื่อเจ้าชอบนาง ตอนแรกก็ควรจะหาทางขอนางมา เจ้ารู้ไหม ข้าและฝ่าบาทต่างก็รอให้เข้ามาสู่ขอ เจ้านอกจากจะไม่มาแล้วยังจะหลบไปให้ไกลด้วย ในเมื่อเจ้าไม่ชอบ เช่นนั้นฝ่าบาทจะยกนางให้ใครเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย ตอนนี้จะมาระบายอารมณ์อันไร้ค่าเช่นนี้ไปทำไมกัน”

 

 

แม้ไม่หันกลับไปก็รู้ว่าเป็นจั่งซุน จึงเบี่ยงหน้ากลับมาและพูดว่า “เด็กผู้หญิงคนหนึ่งถูกส่งไปยังดินแดนแห่งความป่าเถื่อน ไม่รู้ว่านางจะมีชีวิตรอดได้หรือไม่ ทั้งยังต้องแบกรับภาระการปลอบขวัญชาวเผ่าเหลียวอีก นางจะเอาชนะได้อย่างนั้นหรือ”

 

 

“เพียงแค่ดูก็รู้แล้วว่าเจ้าเป็นพวกไม่รักความก้าวหน้า นี่เป็นหน้าที่ที่ยอดเยี่ยม ราชาแห่งแปดร้อยลี้เชียวนะ ในสมัยโบราณการแต่งตั้งเจ้าแคว้นก็เป็นเช่นนี้ มีคนมากมายเท่าไรที่โขกศีรษะจนแตกก็ยังไม่ได้ทำหน้าที่นี้ มีเพียงเจ้าที่เป็นคนแรกเท่าที่อยากจะไปดินแดนแห่งความป่าเถื่อน เมื่อสมัยที่บรรพบุรุษเราบุกเบิกดินแดนมีที่ใดกันบ้างที่ไม่ใช่แดนแห่งความป่าเถื่อน ไม่ใช่ว่าต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อหรอกหรือจึงจะมีแผ่นดินที่งดงามในวันนี้ อันหลานเป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์ ชะตากำหนดไว้แล้วว่าให้นางต้องร่างแหลกสลายเพื่อราชวงศ์ถัง อย่าคิดว่าเด็กๆ ในวังควรแล้วที่จะได้เสพสุขกับความมั่งคั่งมั่งมี ภายหน้าพวกเขาเองก็ต้องจ่ายค่าชดเชยออกไปเช่นกัน เจ้ามองอันหลานผิดไป เกรงว่าตอนนี้นางคงหัวเราะเสียงดังอย่างภาคภูมิใจมากกว่าที่จะร้องไห้ ตอนนี้ปูของเจ้าส่งไปให้นางก็พอเหมาะพอดีจะได้นำมาแกล้มเหล้า”

 

 

คำพูดที่ยาวไม่ขาดสายทำให้อวิ๋นเยี่ยถึงกับเป็นใบ้ไร้คำพูด ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ตอนนี้หลี่อันหลานกำลังฉลองอยู่แต่ไม่ได้ร้องไห้ คนในราชวงศ์ล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์ประหลาดรวมถึงจั่งซุนด้วย พวกเขามองเหตุการณ์แต่ไม่ได้มองมิตรภาพ ดูผลลัพธ์ที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา ศัตรูที่สามารถสังหารได้ในดาบเดียวก็จะไม่ลงสองดาบอย่างแน่นอน เมื่ออยู่ต่อหน้าอำนาจแล้ว ไม่ว่าเรื่องอื่นใดก็สามารถละทิ้งได้ หรือบางทีอาจจะเป็นตนเองที่คิดผิดไป หลี่ซื่อหมินไม่ลงโทษหลี่อันหลาน แต่กำลังชดเชยให้นางกัน ขอเพียงมีเฝิงอั้งอยู่ การเดินทางไปหลิ่งหนานของหลี่อันหลานจะไม่เกิดปัญหาแม้แต่น้อย เมื่อหลี่อันหลานเข้าพักกับชาวเผ่าเหลียว เฝิงอั้งจะต้องทำให้ชาวเผ่าเหลียวยอมศิโรราบอย่างหมอบราบคาบแก้วแน่นอน ทำให้พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะผายลม

 

 

“ว่าอย่างไร ปลงตกแล้วหรือ หากในใจยังปล่อยวางไม่ได้ก็ช่วยหาหนทางให้นางได้ร่ำรวยมากขึ้นหน่อย เพื่อที่นางจะได้ไม่ต้องไปทนทุกข์ที่นั่น เจ้าเคยคิดหาวิธีสร้างผลงานให้นางสักสามปี แต่ลูกสาวข้ายังไม่แต่งงานก็ต้องเป็นหม้ายเสียแล้ว คิดแล้วก็ช่างน่าสงสารนัก ในฐานะที่เป็นสหายเก่า หากไม่ใช่เจ้าทุ่มเทช่วยแล้วยังจะเป็นใครได้อีก”

 

 

อวิ๋นเยี่ยหันขวับกลับมาทันทีแล้วเหล่มองฮองเฮาซึ่งรู้สึกน่าแปลกใจมาก คำพูดที่ฟังดูอบอุ่นเช่นนี้ราวกับว่าอวิ๋นเยี่ยและหลี่อันหลานเคยมีความสัมพันธ์ต่อกันซึ่งไม่เหมือนกับวิธีการจัดการปัญหาของฮองเฮาเลย

 

 

“อวิ๋นเยี่ย ตอนนี้การสนทนาระหว่างสองนายบ่าวของฝ่าบาทกับเย่ว์กั๋วกงกำลังจะจบลงแล้ว เจ้าปรุงอาหารเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ในเมื่อรับเงินหนึ่งก้วนของจื้อไต้แล้วก็สมควรจะทำงานให้เรียบร้อยจึงจะถูก เพื่ออาหารหนึ่งมื้อของเจ้าแล้วจื้อไต้ถึงกับนำจุดยืนของตระกูลเฝิงในแดนหลิ่งหนานออกมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินสองก้วน เพื่อขอให้เจ้าทำอาหารสักหนึ่งมื้อจะไม่ได้เชียวหรือ นอกจากนี้ผู้ที่ทานอาหารนี้ก็คือฮ่องเต้และเย่ว์กั๋วกง ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เจ้าเสียฐานะเสียหน่อย”

 

 

จั่งซุนมองอวิ๋นเยี่ยด้วยดวงตาที่ไร้เดียงสาคู่นั้นราวกับว่านางไม่ได้พูดคำพูดเหล่านี้มาก่อน การจะให้ฮองเฮาพูดคำเหล่านั้นโดยเฉพาะจั่งซุนด้วยแล้วมันง่ายเสียที่ไหนกัน ต้องขอบคุณสินะ ฮ่องเต้และกั๋วกงถกงานราชการกันอย่างเป็นทางการ ฮองเฮาที่ท้องโตจึงไม่สะดวกที่จะปรากฏตัว ไม่กล้านำปูให้คนมีครรภ์กิน แต่ดูเหมือนเนื้อมันๆ ชามใหญ่นี้จะถูกปากนางมาก เพราะนึ่งจนสุกได้ที่และเนื้อนุ่ม รสชาติอร่อยสุดจะกล่าว คราวก่อนก็เพิ่งพบว่านางชอบหมูสามชั้นพะโล้ราดผักบางทีอาจเป็นเพราะการตั้งครรภ์จึงทำให้เจริญอาหาร เพราะนำมาห่อแป้งซาลาเปารูปใบบัวทานไปหลายชิ้น

 

 

หากฮองเฮาบอกกับพ่อครัวหลวงว่าต้องการก้อนน้ำมันหมูคงจะต้องทำให้พ่อครัวตกใจตายเป็นแน่ ผู้เดียวที่สามารถให้ความสะดวกได้คืออวิ๋นเยี่ย ภายใต้แววตาที่ให้กำลังใจของจั่งซุน อวิ๋นเยี่ยหยิบชามหมูสามชั้นพะโล้ราดผักชามใหญ่ออกจากลังถึงมาหนึ่งชามและอีกจานหนึ่งเป็นรากบัวไส้ข้าวเหนียวจากนั้นนำใส่ไว้ในกล่องอาหารแล้วใส่แป้งซาลาเปารูปใบบัวเข้าไปอีกจำนวนมาก จึงยอมหยุดมือ นางกำนัลคนสนิทของจั่งซุนถือกล่องอาหารไว้ในมือด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึกแล้วพยุงจั่งซุนเดินออกไปอย่างอุ้ยอ้าย

 

 

เรื่องราวของงานเลี้ยงหงเหมินเอี้ยนทำให้จื้อไต้ประหวั่นพรั่นพรึง เขาไม่เสียดายเลยที่จะแลกเปลี่ยนสูตรลับของบรรพชนเพื่อแลกกับอาหารที่ปลอดภัยมื้อหนึ่งให้บิดาของเขา ในความเห็นของเขานี่เป็นวิธีที่คุ้มค่ามากนอกจากนี้ยังหาข้ออ้างที่ทำให้อวิ๋นเยี่ยปฏิเสธไม่ได้อีกเรื่องหนึ่งนั่นก็คือเงินรางวัลของสำนักศึกษา การใช้เงินสองก้วนนั้น อวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าเขาถูกหลอกใช้ แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไร เพราะทุกอย่างทำตามกฎกติกาของอวิ๋นเยี่ย

 

 

ผู้คนอายุสามสิบกว่าแล้วก็ยังคงมาสมัครเรียนในสำนักศึกษา ในตอนนั้นก็รู้สึกประหลาดใจมาก มารับการศึกษา ช่างเป็นการกระทำอันสูงส่ง ดังที่นักปราชญ์กล่าวไว้ “เช้าได้ฟังคำจนเข้าใจ แม้ต้องตายยามตกเย็นก็คุ้มค่าแล้ว” ใครจะรู้ว่าเขามาเพราะมีเป้าหมายแอบแฝง ยืนลูบหนวดมาขอเข้าเรียนพร้อมกันกับกลุ่มนักเรียนวัยเยาว์โดยไม่ได้รู้สึกเขินอายแม้แต่น้อย มาพักที่สำนักศึกษาเพียงครั้งเดียวก็นานเป็นเวลาสามเดือน จิตใจที่ใฝ่เรียนรู้ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนหนุ่มสาว ติดตามซุนซือเหมี่ยวขึ้นเขาเพื่อไปเก็บยา ทั้งยังตั้งใจอย่างยิ่ง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยวางท่าทีลูกหลานคนมีฐานะเลยและค้นพบโดยบังเอิญว่าโกฐจุฬาลัมพาสามารถรักษาไข้มาลาเรียได้ ทำให้ซุนซือเหมี่ยวตกใจนึกว่าเป็นเทวดา ในการประชุมสำนักศึกษาได้พยายามช่วยให้จื้อไต้ได้รับเงินรางวัลสองก้วนอย่างเต็มที่ สำหรับที่ว่าจื้อไต้จะนำเงินสองก้วนนี้ไปทำอะไรนั้น เหล่าซุนก็ไม่ได้สนใจอยากจะถาม ในสายตาเขาไม่มีอะไรสำคัญไปกว่ายาดีที่สามารถรักษาโรคมาลาเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกแล้ว

 

 

หลังจากได้รับคำสัญญาจากอวิ๋นเยี่ย จื้อไต้ก็ไปร้องขอพระบรมราชานุญาตต่อฝ่าบาทอีกครั้งโดยกล่าวว่าอาหารที่จะเลี้ยงต้อนรับบิดาของเขาขอให้อวิ๋นเยี่ยเป็นผู้ปรุง เพื่อให้บิดาของเขารู้สึกได้ถึงความกตัญญูกตเวทีของเขา

 

 

ความกตัญญูคือหลักธรรมอันยิ่งใหญ่ หลี่ซื่อหมินไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธจึงหัวเราะฮ่าๆ และรับปาก เพียงแต่เรียกอวิ๋นเยี่ยมาที่ตำหนักหลังเพื่อต่อว่าดุด่าสั่งสอนยกใหญ่ ทั้งยังบอกว่าเขาไม่มีสมอง ทำไมปล่อยให้ใครๆ ก็สามารถจับเขามาหลอกใช้ประโยชน์ได้ หากต่อไปยังกล้าตัดสินใจโดยไม่คิดเอาเองอีกจะตีขาให้หัก

 

 

เกลียดการพูดคุยกับหลี่ซื่อหมินเป็นที่สุด ก่อนหน้านี้ยังเคยมีความคิดที่จะอธิบายเหตุผลกับเขา คิดว่าจะค่อยๆ เปลี่ยนความคิดที่ตายด้านของหลี่ซื่อหมินเพื่อสร้างเป็นประโยชน์ต่อผู้คนทั่วหล้า ไม่ทำให้ต้าถังเดินผิดลู่ทาง ใครจะรู้ว่าตอนนี้เกือบจะถูกเขาหลอมรวมเข้าด้วยกันอยู่แล้ว ตลอดวันพยายามที่จะสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับตระกูล ทั้งยังทำโดยไม่ได้รู้สึกผิดต่อสิ่งที่ทำหรือเสียใจเลย

 

 

คำพูดลอยๆ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ หากพูดหนึ่งพันครั้งมันจะดีกว่าด้วยการลงมือทำเรื่องอะไรสักเรื่องด้วยตนเอง ระบบของต้าถังในสายตาของหลี่ซื่อหมินนายบ่าวนั้นเป็นสิ่งที่ดีงามพร้อมไร้ที่ติ ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงมากนัก เขาถึงกับเริ่มข้อกำหนดที่เรียกว่า “แบบอย่างจักรพรรดิ” ซึ่งเร็วกว่าในบันทึกประวัติศาสตร์นานหลายปี เขาต้องการมองหาแบบอย่างของการเป็นจักรพรรดิสักหนึ่งชุดผ่านประสบการณ์ของตนเองและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล อวิ๋นเยี่ยเรียกโดยรวมว่าระบบ ISO9000 ซึ่งการหลงในตัวเองได้ถึงเพียงนี้นั้นกล่าวได้ว่าแต่โบราณมาไม่เคยมีมาก่อนและต่อไปก็คงไม่มี

 

 

การเป็นฮ่องเต้จำเป็นจะต้องก้าวให้ทันกับเวลาไม่ใช่ยึดมั่นในกฎไม่ยอมเปลี่ยน สิ่งต่างๆ นั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ระบบของราชสำนักเองก็เช่นกัน หากฮ่องเต้ในยุคต่อๆ มาต่างก็เหมือนเขาทุกอย่าง อวิ๋นเยี่ยสามารถสรุปให้เลยได้ว่าราชวงศ์ถังจะเจริญได้ไม่นาน

 

 

ภาชนะที่ใช้ใส่ผักล้วนเป็นเครื่องเงินทั้งหมด เมื่อเจิดจรัสถึงขีดสุดกลับจะให้ความรู้สึกที่มืดมนเล็กน้อย เมื่อเห็นพวกพ่อครัวตกแต่งจานข้าวด้วยวัตถุดิบต่างๆ ก็มีความรู้สึกว่าได้ย้อนเวลากลับไปในอนาคต เหล่าพ่อครัวยังได้ทำอาหารจานหนึ่ง แต่อาหารจานนั้นอวิ๋นเยี่ยยังทำไม่เป็น ที่เรียกว่า “ห่านน้อยรมควันในกระเพาะแพะ” อะไรนั่น นี่เป็นอาหารที่ฮ่องเต้ใช้ต้อนรับแขกคนสำคัญที่ขาดไม่ได้อย่างหนึ่ง

 

 

แกะถูกย่างจนเป็นสีเหลืองอร่าม มีน้ำมันไหลหยดลงมาอยู่ตลอดเวลา โรยพริกไทยหลายๆ กำมือก็ไม่รู้ว่าจะยังกินได้หรือไม่ พริกไทยที่โรยจนหนาได้ห่อหุ้มเนื้อแกะไว้จนมองไม่เห็นเนื้อ กลิ่นเผ็ดร้อนทำให้ผู้ที่สูดกลิ่นหายใจลำบาก ซึ่งอวิ๋นเยี่ยไม่ใส่ใจในเรื่องนี้เพราะนี่เป็นคำสั่งที่ฮองเฮาทรงกำชับไว้เป็นพิเศษ

 

 

เฝิงอั้งที่อยู่ในวัยห้าสิบกว่านั่งอยู่ที่นั่นเสมือนภูเขา รูปลักษณ์ใบหน้าสีดำคล้ำที่สืบทอดกันมาของชาวหลิงหนานส่องประกายแสงสีแดง หัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุขกับหลี่ซื่อหมินเป็นครั้งคราว ด้านข้างมีฝางเสวียนหลิงนั่งเป็นเพื่อน จื้อไต้เองก็ยิ้มเบิกบาน บรรยากาศสนิทชิดเชื้อ นายบ่าวเข้ากันได้อย่างดี

 

 

อวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามาด้านหลังตามมาด้วยนางกำนัลแถวยาวเหยียด แต่ละคนถือถาดเงินขนาดใหญ่เดินเข้ามาไม่ขาดตอน หลี่ซื่อหมินเป็นคนใจกว้าง ในเมื่ออวิ๋นเยี่ยชอบจุ้นจ้านเรื่องชาวบ้าน เช่นนั้นก็ทำงานเช่นเดียวกับขันทีด้วยเสียแล้วกันเพื่อที่จะให้เขาติดหนี้น้ำใจอย่างเต็มที่ ภาพบรรยากาศสถานการณ์เช่นนี้จะทำให้เฝิงอั้งจดจำไปตลอดชีวิต อย่างไรเสียผู้ที่ได้รับผลประโยชน์คือหลี่อันหลาน แต่ผู้ที่ติดหนี้น้ำใจนี้คืออวิ๋นเยี่ย ดีกว่าการเจตนาสร้างบุญคุณมากมายนัก

 

 

ทันทีที่อวิ๋นเยี่ยซึ่งหน้าบูดบึ้งเดินเข้ามา ฝางเสวียนหลิงก็หัวเราะฮ่าๆ “วันนี้ได้พึ่งใบบุญของเย่ว์กง ในที่สุด สวียนหลิงก็สามารถได้ลิ้มรสรสชาติอาหารที่ดีที่สุดในใต้หล้า น้ำใจของหลานชายที่เพื่อให้บิดาได้ทานอาหารเลิศรสจึงพยายามทุ่มเทสุดกำลังเพื่อให้ได้เงินรางวัลของสำนักศึกษา หายากยิ่งนัก เย่ว์กงช่างมีวาสนายิ่งนัก”

 

 

ฮ่องเต้ตรัสก่อนที่เฝิงอั้งจะเอ่ยวาจาว่าเด็กคนนี้เก่งเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ ซึ่งก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่ง อาหารเลิศรสที่เขาปรุงเราเองก็ได้กินไม่กี่ครั้ง หากไม่ใช่เพราะจื้อไต้บีบจนเขาจนมุม ไร้แรงต่อต้านก็ไม่แน่ว่าเฝิงชิงจะได้กินอาหารมื้อนี้”

 

 

เฝิงอั้งรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและพูดกับอวิ๋นเยี่ย “เจ้าลูกไม่เอาไหนทำเรื่องไร้สาระ ขออวิ๋นโหวอย่าได้ถือโทษ หากจะตำหนิก็ตำหนิตาเฒ่าที่ตะกละเช่นข้าเถิด หนี้น้ำใจนี้ขอให้เฝิงอั้งได้มีโอกาสชดเชยในวันหน้า”

 

 

อวิ๋นเยี่ยถวายการคำนับหลี่ซื่อหมินแล้วจึงพูดกับเฝิงอั้งว่า “บุตรชายของท่านเฝิงจื้อไต้ ได้ศึกษาอย่างหนักและทำการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ ดังนั้นเขาจึงได้รับรางวัลจากสำนักศึกษาในภาคการศึกษานี้ สำนักศึกษาเคยมีประกาศไว้ เงินสองก้วนนี้สามารถขอให้อาจารย์ท่านหนึ่งทำภารกิจให้หนึ่งอย่าง อวิ๋นเยี่ยเองก็เป็นอาจารย์ท่านหนึ่งจึงต้องรักษาและปฏิบัติตามกฎเป็นธรรมดา ขอเย่ว์กงอย่าได้กล่าวถึงหนี้น้ำใจอะไรเลย รังแต่จะทำให้ข้าน้อยวางตัวลำบาก หากเกิดความโลภขึ้นเมื่อใดแล้วตามไปขอความช่วยเหลือ หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจว่าวุ่นวายจึงจะถูก”

 

 

หลี่ซื่อหมินรู้สึกพึงพอใจอย่างมากกับคำพูดประโยคนี้ของอวิ๋นเยี่ย จึงหัวเราะเสียงดัง ฝางเสวียนหลิงก็หัวเราะเสียงดังตาม มีเพียงเสียงหัวเราะของเฝิงอั้งที่ดังกึกก้องที่สุดราวกับจะดังทะลุหลังคา