ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 4 ถูกลอบกัดเสียแล้ว

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

นางกำนัลจัดเรียงถาดเงินทีละชิ้นอย่างเรียบร้อยตามคำสั่งของอวิ๋นเยี่ยและเปิดฝาออก กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารก็ลอยคละคลุ้งไปทั่ว ขณะที่หลี่ซื่อหมินทำงานนั้นจะไม่ใส่ใจกับเรื่องอาหาร แม้ว่าอาหารเลิศรสบนสรวงสวรรค์จะวางเรียงรายอยู่เบื้องหน้าก็ตามที ก็ไม่ได้ทำให้ความคิดเขาว่อกแว่กแม้แต่น้อย การที่ไม่มองอาหารบนโต๊ะเลยเป็นเพราะตั้งใจสนทนากับเฝิงอั้งอย่างจริงใจเป็นที่สุด

 

ที่ตำหนักด้านข้างมีโต๊ะเตี้ยๆ สำหรับรับรองเพียงห้าตัวเท่านั้นซึ่งแตกต่างจากโต๊ะของผู้อื่นที่มีสีสันชวนมอง สิ่งที่อวิ๋นเยี่ยเตรียมไว้ให้ตนเองทั้งหมดล้วนทำจากปู ไม่ได้กินปูมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว วันนี้ตั้งใจจะลงมือให้เต็มที่จึงเอาค้อนเล็กๆ ออกจากอกเสื้อ กรรไกรขนาดเล็ก ไม้จิ้มฟัน ช้อนเล็กๆ ยังมีคีมที่ใช้สำหรับหนีบก้ามปูด้วย สำหรับสิ่วปลายโค้งนั้นอวิ๋นเยี่ยคิดว่าไม่จำเป็น จากนั้นล้างมืออย่างมีความสุขเตรียมตัวที่จะเริ่มกิน

 

ปูถูกยกเข้ามาหนึ่งตัว เอาก้ามออกเพื่อเก็บไว้กินทีหลังสุด ของดีมักจะต้องอยู่ตอนจบเสมอ แคะกระดองปูออกและกินอย่างเอร็ดอร่อย มีชาวต้าถังไม่กี่คนที่กินของสิ่งนี้ แต่ละตัวจึงเลี้ยงได้อ้วนมาก ถึงกับตักมันปูได้หนึ่งช้อนเต็มๆ เมื่ออมเอาไว้ในปากช่างมีความสุขเสียนี่กระไร ใช้ไม้จิ้มฟันดันเนื้อปูออกมาและจุ่มลงในน้ำส้มสายชูที่ใส่ขิงเล็กน้อย รสชาติใหม่สดชวนเคลิบเคลิ้มราวกับได้มรรคผล ใช้คีมหนีบก้ามปูให้แตกส่งเสียงที่ฟังแล้วทำให้จิตใจแจ่มใสเบิกบาน ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่าในห้องดูเหมือนจะเงียบมาก เมื่อครู่ยังมีเสียงเครื่องดนตรีดังอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับไม่มีแล้ว

 

จึงได้เงยหน้าขึ้นและพบว่าหลี่ซื่อหมิน เฝิงอั้งและฝางเสวียนหลิงกำลังมองดูเขากินปูอย่างสนุกสนาน เฝิงจื้อไต้เอามือกุมศีรษะและซ่อนตัวอยู่ข้างหลังสุด อวิ๋นเยี่ยยิ้มอย่างเจิดจรัสแล้วถามว่า “เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่ทรงเสวยพระกระยาหารพ่ะย่ะค่ะ หรือฝีมือปรุงอาหารของกระหม่อมจะไม่อยู่ในพระเนตรของฝ่าบาท”

 

หลี่ซื่อหมินส่ายศีรษะและหยิบอุปกรณ์เล็กๆ บนโต๊ะขึ้นมา ทดลองอยู่หลายครั้งแล้วพูดว่า “หากจะให้งานออกมาดี ก็ต้องลับคมเครื่องมือเสียก่อน ซึ่งเจ้าเองก็ทำได้อย่างละเอียดเยี่ยมยอดแล้ว อาหารที่เจ้าปรุงเรายังหาข้อติติงไม่ได้ ทั้งสี กลิ่นและรสชาติล้วนมีครบถ้วน อร่อยกว่ามื้ออาหารในวังเสียอีก เพียงแต่เราและเฝิงกงดูเจ้ากินอย่างมีชีวิตชีวาจึงแวะมาดู เจ้ากินต่อไปเถอะ”

 

ก็เพียงแค่ตนเองใช้ปากกัดปูจึงดูค่อนข้างไม่สุภาพไม่ใช่หรือ เมื่อครู่ตอนอยู่ในครัวหลานหลิงก็กินเช่นนี้เหมือนกัน ไม่เห็นว่านางจะบ่นอะไรเลย พอมาถึงที่นี่ก็ห้ามทำอย่างนี้แล้วหรือ

 

ฝางเสวียนหลิงหัวเราะเสียงดังและพูดว่า “ชายชราอย่างข้าฟันไม่ดี เห็นอาหารเลิศรสกลับมีใจแต่ยากจะได้กิน รู้สึกทรมานใจจริงๆ เช่นนั้นอุปกรณ์เหล่านี้ให้ข้ายืมไปใช้หน่อยได้หรือไม่” ยังจะพูดอะไรได้อีก อวิ๋นเยี่ยจำต้องนำอุปกรณ์เล็กๆ หลายอย่างนี้ลงไปล้างในกะละมังล้างถ้วยชาที่อยู่ข้างๆ ให้ความสะอาดและส่งมอบให้กับ ฝางเสวียนหลิง แต่เหล่าฝางกลับไม่ยอมรับ สายตาจ้องมองไปที่กะละมังที่เขาล้างอุปกรณ์อย่างตาไม่กะพริบโดยไม่กล่าวอะไรเลย

 

หลี่ซื่อหมินหน้าแดงจนชวนให้ตกใจ ชี้ไปที่น้ำชาแล้วถามว่า “ของสิ่งนี้มีไว้ใช้ล้างมือหรือ”

 

น้ำชาในงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยปูไม่ใช้สำหรับล้างมือ แล้วจะให้นำมาทำอะไร เมื่อคิดถงตรงนี้ ในใจก็สะดุ้งเฮือก พวกเขาคงไม่ได้ดื่มชานี้หรอกนะ

 

คนฉลาดน้อยกลุ่มนี้ ฆ่าฉันทั้งเป็นแท้ๆ อวิ๋นเยี่ยน้ำตาตกในอย่างที่สุด ทั้งห้าคนที่มาทานข้าว มีคนฉลาดน้อยสี่คนดื่มน้ำชาที่นำมาล้างมือเข้าไป มีเพียงชายฉลาดคนเดียวที่ไม่ได้ดื่ม จุดจบของคนฉลาดนี้ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าจะลงเอยเช่นไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนึ่งในนั้นมีหลี่ซื่อหมินที่ใจคอคับแคบอยากจลบล้างความอับอาย ต้องเป็นเพียงทั้งห้าคนนั้นเป็นคนฉลาดน้อยเหมือนกันหมดจึงพอจะลบล้างได้

 

“โอ้ กราบทูลฝ่าบาท นี่คือน้ำชาแก้อาการเลี่ยนมันที่กระหม่อมจัดเตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับงานเลี้ยงในวันนี้ โดยชงจากใบชาที่ดีที่สุด เหมาะที่สุดสำหรับการดื่มสังสรรค์”

 

หลังจากพูดจบ อวิ๋นเยี่ยก็ยกถ้วยกระเบื้องเคลือบใบเล็กๆ ขึ้นดื่มคำโต นำชาที่ผสมกลิ่นคาวของปูทำให้เขาอยากอาเจียนเสียให้ได้ แต่ต้องพยายามฝืนกลืนลงไป หากอาเจียนออกมา ความรุนแรงของเหตุการณ์ในวันนี้หากหลี่ซื่อหมินไม่ทำให้เขาคลานกลับบ้านนี่สิจึงเป็นเรื่องแปลก ผลที่ตามมานั้นเลวร้ายมาก จึงได้ต้องลำบากกระเพาะของตนเองเสียแล้ว การต้มชาของราชวงศ์ถังใส่แม้แต่น้ำมันหมูไม่ใช่หรือ

 

สีหน้าขอหงลี่ซื่อหมินนั้นดีขึ้น ส่งเสียง ฮึ แล้วพูดว่า “คราวหน้าหาภาชนะที่ใส่น้ำชาให้ใบเล็กกว่านี้หน่อย ชาดีๆ ถูกทำจนเสียรสชาติหมดแล้ว”

 

เฝิงอั้งก็สัมทับว่า “รสชาติของชานั้นยอดเยี่ยมจริงๆ เมื่อยามข้าจะกลับจะต้องนำกลับไปให้มากๆ เสียหน่อย”

 

ฝางเสวียนหลิงรับอุปกรณ์จากมืออวิ๋นเยี่ยด้วยสีหน้าที่งงงวย จากนั้นเดินมาที่เบื้องหน้าของหลี่ซื่อหมินและขอให้เขาใช้มันก่อน จากนั้นจึงเรียกขันทีเข้ามาเพื่อสั่งให้ไปหาของที่คล้ายกรรไกรเล็กๆ มาให้ท่านอื่นๆ ใช้ให้ครบจำนวนคน

 

เฝิงอั้งนั้นเป็นชายชาตินักรบ ย่อมต้องมีบารมีความน่าเกรงขามของทหาร ก้ามปูที่ติดข้อก้ามใหญ่ถูกเคี้ยวกัดจนน้ำที่เนื้อปูไหลเยิ้มออกมา ชมไม่ขาดปาก การทานปูดูเหมือนจะเป็นเพียงของทานเล่นหลังมื้ออาหารหลัก ของจำพวกกรรไกรที่อยู่บนโต๊ะนั้นไม่ได้ใช้เลย ก้ามใหญ่ๆ ของปูถูกจับใส่ปากกัดเปลือกกันเสียงดังกร๊อบๆ อวิ๋นเยี่ยนั้นฟังจนเสียวฟันไปหมดแล้ว เพียงแค่ต้องการให้ฮ่องเต้เห็นว่า ตนเองมีความสามารถจุข้าวเหมือนถังข้าวที่กินข้าวเจ็ดกิโลกรัมกับเนื้ออีกห้ากิโลกรัมเท่าเองไม่ใช่หรือ

 

ให้เขากินอาหารเหล่านี้ช่างน่าเสียดายนัก ไม่ชอบข้าวเหนียวที่ใส่ในรากบัว ถามอวิ๋นเยี่ยว่าทำไมถึงไม่ใส่เนื้อเสือเข้าไปบ้างโดยบอกว่าเนื้อเสือนั้นน่าอร่อยกว่า เมื่อกลับไปแล้วจะมอบเนื้อเสือตากแห้งให้อวิ๋นเยี่ยบางส่วน และเแส้หนังเสืออีกหลายสิบเส้น เมื่อเหล่มองเฝิงอั้งที่กำลังดีอกดีใจเป็นการใหญ่ ไม่แน่ว่าผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นตัวการใหญ่ที่นำไปสู่การสูญพันธุ์ของเสือโคร่งอย่างถาวรก็เป็นได้

 

อาหารมื้อเดียวแต่ก็กินกันจนถึงพลบค่ำจึงจะเสร็จ สำหรับการร้องเพลงเต้นรำในวังนั้นอวิ๋นเยี่ยไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ท่วงทำนองการเต้นรำที่หลี่ซื่อหมินแต่งขึ้นด้วยตนเองดูแล้วน่าเบื่อมาก หยิบยกผลงานที่ตนเองปราบโต้วเจี้ยนเต๋อได้มาประกาศความสำเร็จตลอดทั้งวัน นางรำร้อยกว่าคนสวมเสื้อเกราะร่ายรำสะเปะสะปะไร้ระเบียบ ประเดี๋ยวออกมาร่ายรำประเดี๋ยวออกมาร้องเพลง เนื้อเพลงยากแก่การเข้าใจ ให้ผู้หญิงเต้นผู้ชายร่ายรำเดิมก็ไม่น่าดูชมอยู่แล้ว การแสดงการฆ่าไม่ดุเดือด การร้องครวญไม่โหยหวน นางรำชุดขาวใช้การเหล่ตามองแสดงให้เห็นถึงความเย่อหยิ่ง สะบัดแขนเสื้อราวกับดอกไม้ที่โปรยปราย สุดท้ายจึงคุกเข่าลงต่อหน้าโอรสสวรรค์ทั้งยังถวายคำนับอย่างหญิงสามัญชนด้วย

 

คาดว่าเฝิงอั้งคงมีความคิดเช่นเดียวกับอวิ๋นเยี่ยทนดูไม่ไหวเช่นกัน เขาจึงถอดเสื้อคลุมออกแล้วตะโกนเสียงดัง กระโดดม้วนตัวกลางอากาศแล้ววิ่งวนหนึ่งรอบจากนั้นจึงเริ่มร่ายรำกระบี่เจี้ยนอู่ เหวี่ยงแขนสะบัดเท้าเหมือนคนบ้า

 

หลี่ซื่อหมินตะโกนว่าเยี่ยม ตนเองก็โยกไหล่ สะบัดมือแล้วกระโดดลงไปที่ลานห้องโถง เมื่อคนอื่นเต้นรำเขาก็ไม่ควรจะเอาแต่นั่งกิน อวิ๋นเยี่ยมองดูปูที่กำลังใกล้จะเย็นชืดที่อยู่เบื้องหน้าแล้วก็ชวนให้หดหู่ใจยิ่งนัก

 

ล้วนแล้วแต่ชอบเต้นรำกันและเต้นไม่ได้ดีเลย จะแยกขาหนึ่งร้อยแปดสิบองศาก็ทำได้ไม่ตรงพอ จะม้วนตัวสักสองรอบก็ดูแล้วอาจเกิดอันตรายจากการล้มลงได้ เฝิงจื้อไต้จะกระโดดแยกขาหนึ่งร้อยแปดสิบองศากลางอากาศดูแล้วเหมือนถูกลูกศรปักบั้นท้ายเสียมากกว่า การเต้นรำของฝางเสวียนหลิงดูแล้วมีท่าทางเหมือนแม่เฒ่ากำลังเดินตลาด อาหารดีๆ มีไม่กิน แต่ละคนต่างอยากจะลงไปชักกระตุกกัน

 

เมื่อเสียงปรบมือดังขึ้นแต่ละคนก็กลับที่ของตน หลี่ซื่อหมินเช็ดเหงื่อไคลบนหน้าแล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “การเต้นรำของเราเป็นอย่างไรบ้าง”

 

“นอกจากกล้ามเนื้อจะมีความแข็งแกร่งแล้ว ท่าทียังอ่อนช้อย สง่างามราวกับเหยี่ยวที่กางปีก ดุดันราวกับปลายักษ์กำลังก่อเกลียวคลื่นหรือราวกับพายุคลั่งที่ถาโถมเข้ามา สำหรับการร่ายรำของฝ่าบาทแล้วกระหม่อมไม่มีอะไรจะกล่าวได้อีกเลยจริงๆ” สิ่งที่เกลียดที่สุดเลยก็คือสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าการปิดตาข้างหนึ่งเพื่อพูดยกยอปอปั้นมันเป็นทักษะสำคัญอย่างหนึ่งที่ขุนนางต้องมีแต่อวิ๋นเยี่ยไม่ชอบเลยจริงๆ

 

งานเลี้ยงของต้าถังนั้นยาวนานจนน่าหวาดหวั่น นี่ก็ผ่านไปสามชั่วโมงยามเต็มๆ แล้ว อาหารที่เรียกว่า “ลูกห่านน้อยในกระเพาะแพะ” บ้าบออะไรนั่นเพิ่งจะถูกจอมพลังสองคนหามเข้ามาได้สองตัว แพะทั้งตัวถูกจัดวางบนถาดในท่าคุกเข่า หลี่ซื่อหมินหยิบมีดสำหรับตัดเสื้อบนโต๊ะขึ้นแล้วขว้างออกโดยไม่เจาะจงมีดก็ไปปักบนตัวแพะ จอมพลังก็ดึงมีดออกแล้วแทงมีดเข้าไปภายในเนื้อ ทำการคำนับแล้วจึงผาท้องแพะแล้วดึงห่านออกมาจากข้างใน จากนั้นก็นำไข่ไก่หลายฟองออกจากท้องห่านอีกทีหนึ่ง ทั้งยังมีข้าวเหนียวที่ซึมน้ำมันจนเป็นสีเหลืองอ่อน ไข่ไก่นั้นมีจำนวนไม่มากเพียงแค่ห้าฟองเองจึงแบ่งคนละหนึ่งฟอง อวิ๋นเยี่ยสังเกตเห็นว่าฟองที่ให้หลี่ซื่อหมินนั้นใหญ่ที่สุด ไม่แน่ว่าอาจเป็นไข่ห่าน ส่วนของตนเองนั้นเล็กสุดเหมือนไข่นกพิราบ เมื่อมองไปที่ของจื้อไต้ก็รู้สึกพอใจมาก เพราะของเขามีขนาดเล็กประมาณเล็บมือ ไม่รู้ว่ามันคือไข่อะไร

 

ข้าวที่หุงด้วยน้ำมันห่านหากกินแล้วรู้สึกอร่อยสิเป็นเรื่องแปลก นอกจากนี้ยังโดนโรยด้วยพริกไทยจำนวนมาก ซึ่งหากใส่ในน้ำแกงยังถือได้ว่าไม่เลว แต่การใส่มากเกินไปแล้วจะสามารถลิ้มชิมรสชาติดั้งเดิมของอาหารนั้นได้อย่างไรกัน

 

ต่อจากเฝิงอั้ง ฝางเสวียนหลิงก็ลุกขึ้นขอบพระทัยฮ่องเต้สำหรับการประทานมื้ออาหาร จากนั้นก็เริ่มกินกันอย่างเต็มที่ รสชาติของไข่นั้นไม่เลว เพียงแต่ข้าวเหนียวหนึ่งช้อนเล็กๆ นั้นมันเลี่ยนเกินไปทั้งยังมีกลิ่นพริกไทยที่ฉุนจัด ทำให้แสบจมูกเป็นอย่างยิ่ง

 

เฝิงอั้ง เหล่าฝาง เสี่ยวเฝิงกินกันอย่างมีความสุขหาที่เปรียบไม่ได้ โดยเฉพาะเฝิงอั้งที่อมข้าวเหนียวคำนั้นไว้แล้วกลั้วอยู่ในปากไปมาเสียดายที่จะกลืนมันลงไป ดูแล้วชวนขยะแขยงยิ่งนัก ฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินก็เช่นเดียวกัน ราวกับว่านี่เป็นการลิ้มชิมรสชาติอย่างถูกต้องที่เหล่าชนชั้นสูงมักทำกัน 

 

ไม่จำเป็นต้องกินอวิ๋นเยี่ยก็รู้ดีว่าตนเองไม่สามารถกลืนลงไปได้ ตักข้าวหนึ่งขึ้นมาหนึ่งช้อนน้ำมันสีเหลืองก็หยดย้อยลงมาเป็นเส้น นี่เป็นการกินข้าวที่ไหนกันเป็นการกินน้ำแกงนำมันชัดๆ กลิ่นเหม็นสาบของห่านก็ลอยเข้าจมูก นี่ไม่ใช่ข้าวหน้าเป็ดย่างเมืองกว่างตงที่เคยกิน นี่มันยาพิษชัดๆ

 

ฮ่องเต้กำลังยุ่งอยู่กับการพูดคุยกับเฝิงอั้งและฝางเสวียนหลิง อวิ๋นเยี่ยจึงฉวยโอกาสคว้าถาดข้าวของจื้อไต้ที่อยู่ข้างๆ มาแล้วย้ายของตัวเองข้ามไป จื้อไต้เป็นคนดีเขากินข้าวเกลี้ยงจานราวกับว่าจานเพิ่งจะล้างมาใหม่ๆ อาหารพระราชทานหากไม่กินถือว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างที่สุด

 

ภายใต้แววตาที่ดุดันของอวิ๋นเยี่ยจื้อไต้ก็ได้กินข้าวของอวิ๋นเยี่ยจนหมดเกลี้ยงด้วยความยินดีอย่างมาก ทั้งยังประสานมือขอบคุณเขาด้วยความยินดีปรีดามากขึ้นไปอีก

 

เหมือนมีใครบางคนที่แอบดันอวิ๋นเยี่ย เมื่อหันกลับไปมองก็ไม่เห็นใครเลยหลังจากผ่านไปสองสามครั้งเขาก็เริ่มสังเกต เป็นจริงงดังคาดมีมือน้อยๆ ยื่นออกมาจากหลังม่านกำลังเตรียมจะดันเขาอีก นอกจากหลานหลิงแล้วอวิ๋นเยี่ยนึกไม่ออกว่าจะมีใครกล้าบ้าบิ่นเช่นนี้อีก

 

จึงได้นำเปลือกปูที่เพิ่งจะกินจนเกลี้ยงวางใส่มือน้อยๆ นั้น มือน้อยๆ นั้นก็หดกลับไปทันใดนั้นเปลือกปูก็ลอยออกมาอีกครั้งกระแทกเข้าที่ศีรษะอวิ๋นเยี่ยแล้วหล่นลงบนโต๊ะ ส่งเสียงก๊อกแก๊กๆ จนทำให้หลี่ซื่อหมินสังเกตเห็นและหันมา

 

หลานหลิงจึงเดินออกมาจากด้านหลังม่านอย่างเปิดเผยทำการคารวะบิดานางและรับการคำนับจากทุกคน

 

“หลานหลิงนี่ก็ดึกแล้วทำไมยังไม่เข้านอนอีก มาที่ตำหนักนี้เพราะอะไร” หลี่ซื่อหมินเอ็นดูและตามใจลูกสาวของเขาเสมอมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลานหลิง

 

“เสด็จพ่อ หม่อมฉันมาตามหาสุนัขขี้เรื้อนที่ทรยศไม่รักษาคำพูด ไม่มีสัจจะหลอกหม่อมฉันตั้งหลายครั้งเพื่อคิดบัญชี” หลานหลิงกำหมัดน้อยๆ และพูดกับบิดาของตนด้วยความคับแค้นใจ

 

หลี่ซื่อหมินหันไปเหล่มองเฝิงอั้งแล้วจึงเหล่มองฝางเสวียนหลิง เดินผ่านจื้อไต้และพูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างดุดัน “ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสุนัขขี้เรื้อนที่หลานหลิงพูดถึงต้องเป็นเจ้าแน่ ช่างใจกล้านักแม้แต่ลูกสาวของเราเจ้าก็กล้าที่จะหลอกลวง หลานหลิง มันเกิดอะไรขึ้นพูดออกมาเสด็จพ่อจะจัดการให้เจ้าเอง”

 

จบกัน อวิ๋นเยี่ยอยากจะพุ่งเข้าไปปิดปากน้อยๆ ของหลานหลิง เรื่องที่เขาส่งปูให้หลี่อันหลานจะต้องถูกเปิดโปงออกมาแน่เลย

 

ตามกฎแห่งความโชคร้าย สิ่งที่ยิ่งกังวลว่าจะเกิดขึ้นก็จะยิ่งเกิดขึ้นแน่นอน แม่นยำเป็นที่สุด ปากน้อยๆ ราวกับดอกเหมยแดงอันน่ารังเกียจของหลานหลิงขยับแล้ว จากนั้นเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยรับปากว่าจะให้ไก่นางหนึ่งตัวแลกกับการให้นางนำปูไม่มอบให้หลี่อันหลานก็ถูกเปิดโปงออกมาจนหมดเปลือก

 

สีหน้าหลี่ซื่อหมินดูแปลกๆ และถามว่าอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าหนุ่ม มีอะไรที่ข้ายังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้บาง”

 

“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมพบกับองค์หญิง เมื่อตอนที่กระหม่อมได้เข้ามาศึกษาอยู่ในวังก็ได้รู้จักกับองค์หญิงโซ่วหยาง บัดนี้นางต้องจากไปไกลจึงส่งอาหารให้องค์หญิงได้เสวยก็เพื่อเป็นการเลี้ยงส่งองค์หญิง ที่หลิ่งหนานอากาศเป็นพิษ มีทั้งแมลงและสัตว์มีพิษมากมาย ก็เพียงแค่อยากจะสร้างความทรงจำสักเล็กน้อยเอาไว้ให้นาง เพื่อที่จะได้ไม่รู้สึกเหงาหงอยจนเกินไปเพราะอยู่ในเทือกเขาสูงแห่งแดนไกล

 

“คำพูดของอวิ๋นเยี่ยนั้นกล่าวผิดไปแล้ว หลิ่งหนานก็มีสถานที่ที่มีภูเขาสูงที่สวยงามน้ำทะเลที่ใสสะอาด คลื่นทะเลที่สูงเทียมฟ้า ภูผาที่เขียวขจี มีวัฒนธรรมที่เรียบง่ายและพืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ถือเป็นดินแดนที่ล้ำค่าผืนหนึ่งเช่นกัน อวิ๋นโหววางใจได้ องค์หญิงโซ่วหยางจะต้องถึงดินแดนแห่งหลิ่งหนานอย่างปลอดภัยไร้กังวล ดินแดนแปดร้อยลี้ของหลิ่งหนานเองก็เริ่มภูมิปัญญาของผู้คนภายใต้การชี้แนะขององค์หญิงอย่างแน่นอน ใช้เวลาไม่นานนักที่นั่นก็จะเป็นดินแดนแห่งความสุขของราชวงศ์ถังเราอีกแห่งหนึ่ง” เฝิงอั้งพูดสรุปอย่างจริงจังตื่นเต้น จนแทบอยากจะควักหัวใจออกมาให้ทุกคนในตำหนักได้พิสูจน์กัน

 

นี่ไม่ใช่เป้าหมายที่ฉันต้องการ อวิ๋นเยี่ยได้แต่อึ้งตะลึงงัน เมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นที่คอของหลานหลิงนั้นแขวนหยกฉางเซิงของหลี่อันหลานเอาไว้