ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 5 ผงสำราญ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

อวิ๋นเยี่ยเดินอยู่บนทางเชื่อมระหว่างตำหนักภายในวังภายใต้แสงจันทร์มุ่งหน้าออกนอกวัง ด้านหลังมีขันทีตามมาส่งเขา ดวงจันทร์นั้นเต็มดวงไม่จำเป็นต้องจุดตะเกียงเพื่อส่องทางเลย เขาก้มศีรษะเพื่อซ่อนใบหน้าในความมืดซึ่งดูเหมือนว่าการทำเช่นนี้จะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ถูกหลอกใช้อีกครั้ง ถูกมองเหมือนคนโง่อีกครั้ง ทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก

 

เมื่อครู่ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมในงานเลี้ยงต่อไปด้วยเหตุผลที่ว่ารู้สึกปวดท้อง จึงต้องรีบผละหนีภายใต้สายตาที่แปลกประหลาดใจของหลี่ซื่อหมิน คงไม่สามารถพูดได้ว่าฉันชอบเพียงร่างกายของลูกสาวของคุณ แต่ไม่ใช่วิญญาณของเธอ หากพูดประโยคนี้ออกไปคาดว่าคงต้องถูกแขวนบนธงตรงกำแพงเมืองเพื่อฉลองวันตรุษจีนเป็นแน่

 

หลี่อันหลานใช้ทรัพยากรที่มีในสองมือเพื่อไขว่คว้าหาผลประโยชน์เพื่ออนาคตของตนเองซึ่งก็ไม่ได้ถือเป็นความผิดที่เกินเลยอะไร เส้นทางของการวางแผนซ้อนกลก็เป็นเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยเองก็เป็นคนที่อยู่ในแวดวงนี้ ควรเข้าใจกฎของเกมดี คุณหลอกใช้ฉัน ฉันก็หลอกใช้คุณ หลอกใช้กันไปมาก็ไม่ต่างอะไรกับพวกไม่มีสมอง

 

หากอยากจะแข่งกันวางแผนซ้อนกล เขายิ่งชอบที่จะใช้ความรู้สึกเพื่อบรรลุเป้าหมาย หลี่กังเป็นเช่นนี้ ซุนซือเหมี่ยวเป็นเช่นนี้ หลี่เฉิงเฉียนเป็นเช่นนี้ หรือแม้กระทั่งหลี่ไท่และหลี่เค่อก็เป็นเช่นนี้ หากพูดถึงเรื่องวางแผนซ้อนกลกันเพียงอย่างเดียว ตนเองในตอนนี้นั้นก็ถูกจั่งซุนสองสามีภรรยาบีบคั้นจนกลายเป็นซากไปแล้ว

 

บางครั้งความรู้สึกก็เหมือนอาการตาบอดหรืออาจจะเป็นข้อผิดพลาด ตอนนี้ถูกหลี่อันหลานใช้ความรู้สึกผูกมัดตัวเองไว้กับรถศึกของนางก็ต้องบอกว่าสมน้ำหน้าแล้ว การถูกหลอกใช้ก็เหมือนถูกสวรรค์ลงโทษ จุดเริ่มต้นของตนเองนั้นก็ถือว่าไม่บริสุทธิ์ใจ ดังนั้นการได้ผลตอบแทนเช่นนี้ก็ไม่น่าแปลกใจ

 

ที่มุมกำแพงมีคนยืนอยู่หนึ่งคนซึ่งก็คือหลี่อันหลาน แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องบนใบหน้าของนาง แต่สีหน้านางกลับซีดเผือดจนน่ากลัว ไม่รู้ว่าขันทีหายไปไหนเสียแล้ว อวิ๋นเยี่ยพูดพร้อมกับยิ้มว่า “ราตรีอันยาวนานแต่กลับหลับไม่ลง ข้านึกว่ามีเพียงข้าคนเดียวที่นอนไม่หลับเท่านั้น ที่แท้องค์หญิงก็นอนไม่หลับเช่นกัน รอข้าอยู่ที่นี่เพื่อจะพูดอะไรกันแน่ อ๋อ ยังไม่ได้แสดงความยินดีที่เจ้าได้เป็นคนของท่านอ๋องแห่งแดนเหลียว เจ้าสามารถมั่นใจได้ เฝิงอั้งสัญญาว่าจะให้การสนับสนุนเจ้าอย่างเต็มที่ เมื่อเจ้าไปถึงที่นั่นจะมีทหารราบสามพันคนคอยฟังคำสั่งเจ้า

 

หลี่อันหลานเม้มปากแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบข้า คราวนี้ให้หลานหลิงทำให้เจ้าต้องจนมุม ในใจเจ้าคงต้องโกรธมาก คนที่ถือดีเช่นเจ้าจะให้ถูกผู้หญิงอ่อนแอปั่นหัวเล่นได้อย่างไร ตลอดเวลาที่ผ่านมามีแต่เจ้าคอยปั่นหัวคนอื่น เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเลยล่ะสิ”

 

ไม่ได้ตั้งใจจะพูดคุยอะไรกับหลี่อันหลานมากนัก ไม่ว่าจะพูดอะไรก็เป็นการทำร้ายตนเองทั้งนั้น นางมีเพียง ผิวหนังที่ไม่สามารถทำให้ตนเองปล่อยวางได้ ความรู้สึกผิดหวังนี้คนอื่นไม่สามารถเข้าใจได้

 

ขณะที่เตรียมจะเดินอ้อมนางไป หลี่อันหลานกลับก้าวกระเถิบมาด้านข้างหนึ่งก้าวและขวางอยู่ตรงหน้าเขา อวิ๋นเยี่ยก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวทันทีและนั่งขัดสมาธิบนพื้นเพื่อดูว่านางจะทำอะไรกันแน่

 

อากาศร้อนมาก แต่หลี่อันหลานกลับสวมเสื้อคลุม ยิ้มตาหยีและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เช่นนี้สิจึงจะถูก เป็นเด็กดีนั่งให้เรียบร้อย ข้าจะร่ายรำให้เจ้าดู ข้าร่ายรำได้ดีกว่าคนของเสด็จพ่อมากนัก ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะปูหนึ่งตะกร้าที่เจ้าส่งมาวันนี้อร่อยจริงๆ นี่คืออาหารที่อร่อยที่สุดที่ข้าเคยกินมาในชีวิตของข้าเลย”

 

“ตอนนั้นเจ้าอยู่ด้านนอกของตำหนักด้านข้างหรือ”

 

 “หลังผ้าม่านไม่ได้มีแค่หลานหลิงคนเดียวนะ” นางตอบอย่างสนุกสนานราวกับว่าทุกอย่างที่ผูกมัดนางไว้หายไปจนหมดสิ้น

 

เสื้อคลุมร่วงลงสู่พื้นนางสวมเพียงเสื้อบางๆ เท่านั้น ยอดดอกบัวแดงที่ทรวงอกนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน เอวอันอรชรอ้อนแอ้น ยกปลายเท้าขึ้นได้สูงถึงติ่งหู ไม่มีเสียงกลอง ไม่มีเสียงมาราคัส มีเพียงสายลมยามค่ำคืนที่พัดมาจากอีกด้านหนึ่งของทางเชื่อมตำหนักไปยังอีกด้านหนึ่งเท่านั้น

 

นางเริ่มเต้นรำอย่างชาวเผ่าหู ชุดสีขาวบางปลิวพลิ้วไหว กระโปรงที่บานใหญ่ถูกลมพัดขึ้นมาราวกับผีเสื้อที่ดิ้นรนอยู่ท่ามกลางสายลมที่วุ่นวาย ปลายนิ้วเท้าหมุนวนอยู่บนพื้นหินหยาบ เพียงไม่กี่ครั้งก็มีเลือดสีแดงสดไหลออกมา หลงเหลือร่องรอยไว้ราวกับกลีบดอกเหมยแดงบนพื้นหิน

 

หลี่อันหลานดูเหมือนจะไม่รู้สึกอะไรเลย ปล่อยให้ร่างหมุนไปเรื่อยๆ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ไม่เคยลดน้อยลงไปเลยแม้แต่น้อย ลูกน้ำเต้าเล็กๆ อันหนึ่งลอยออกมาจากมือนาง

 

อวิ๋นเยี่ยยื่นมือออกไปรับไว้จึงจุกไม้ออกแล้วสูดดมกลับเป็นเหล้าหมักของจวนอวิ๋นของแท้ เขาแหงนหน้ายกดื่มหนึ่งอึกซึ่งก็กำลังต้องการเหล้ามาดื่มเพื่อดับความหลงใหลในใจจริงๆ การกระทำของหลี่อันหลานทำให้เขาหลงใหลอย่างที่สุด นางไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้

 

การเต้นรำอย่างชาวเผ่าหูนั้นสิ้นเปลืองพลังงานมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางเลือกส่วนที่ดุเดือดที่สุดมาร่ายรำจึงยิ่งสิ้นเปลืองพลังงาน ในที่สุดนางก็ร่ายรำจนเหนื่อย อวิ๋นเยี่ยกลับไม่ปรบมือ หลี่อันหลานหยิบน้ำเต้าใส่เหล้าใบเล็กจากมือของเขาที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งไปและดื่มอึกใหญ่ๆ

 

นั่งลงข้างๆ อวิ๋นเยี่ยส่งยิ้มหวานแล้วพูดว่า “ข้าร่ายรำได้สวยหรือไม่”

 

“มันสวยมาก นี่เป็นการร่ายรำที่สวยที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา” อวิ๋นเยี่ยตอบอย่างจริงจัง

 

“ทำไมเจ้าจึงไม่แต่งงานกับข้าในเมื่อเจ้าชอบข้า เจ้าชอบข้าตั้งแต่แรก” เหล้าของตระกูลอวิ๋นไม่เหมาะที่จะให้ผู้หญิงดื่ม

 

“เพราะข้าพบว่าในใจเจ้ามีเสือที่ดุร้ายอยู่ บางทีวันหนึ่งอาจจะออกมาทำร้ายผู้คนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลัวว่าเจ้าจะทำร้ายท่านย่าและพวกเสี่ยวยา ไม่ว่าเจ้าจะสำคัญเพียงไหนแต่ในใจข้าก็ยังไม่สามารถเทียบกับพวกเขาได้ ไม่มีใครสามารถแทนที่พวกเขาได้ เจ้าก็ไม่ได้”

 

อวิ๋นเยี่ยกล่าวประโยคนี้อย่างเด็ดเดี่ยว เพื่อความสุขในขณะนั้นแล้วต้องทำร้ายคนใกล้ชิดตนเองที่สุด มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะทำเรื่องเช่นนี้

 

“เจ้านี่ช่างเป็นคนโหดร้าย จะดีกับข้าบ้างไม่ได้เชียวหรือ ข้าอยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่ยังเด็ก กลัวฟ้าร้อง ลมกรรโชก เสียงลมที่พัดผ่านยอดไม้เหมือนเสียงร้องของวิญญาณ ข้าได้แต่ซ่อนตัวในผ้าห่มและภาวนาไม่ให้ผีข้างนอกหาข้าพบ เมื่อฟ้าร้องข้าก็วิ่งพล่านไปมาอยู่ในบ้าน เพราะข้าไม่มีที่ไป บิดาข้าเลี้ยงรับรองแขกและท่านแม่ก็อยู่เป็นเพื่อน พวกเขาไม่มีเวลาดูแลข้า

 

ต่อมาข้าก็พยายามใจกล้ายืนอยู่นอกบ้าน ในเมื่อไม่มีใครรัก ก็สู้ให้ผีจับไปเลยเสียจะดีกว่า ข้าร้องไห้เสียงดังและเปิดประตู ด้านนอกลมแรงและฝนตกหนักทำให้เสื้อผ้าของข้าเปียกไปหมด เสียงฟ้าร้องที่ดังมากได้ดังขึ้นจากบนหลังคา ข้าตกใจจนหมดสติ คนรับใช้มาพบเข้าแล้วส่งกลับห้อง มีอาการไข้อยู่สามวันเต็มๆ

 

หลังจากตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ข้าไม่กลัวลมกรรโชกและฟ้าร้องอีกแล้ว เจ้าว่ามันดูน่าประหลาดหรือไม่ นับตั้งแต่นั้นมาข้ารู้ว่าข้าต้องต่อสู้ด้วยตัวเองเพราะไม่มีใครจะมอบสิ่งดีๆ ให้ข้าเปล่าๆ เจ้าเป็นคนแรกที่มอบสิ่งที่ดีให้แก่ข้า ข้าไม่อยากให้เจ้าเกลียดข้า”

 

นางกระซิบเล่าอยู่ข้างใบหูของอวิ๋นเยี่ย ไออุ่นๆ จากลมหายใจไหลผ่านเข้าหูของเขาเป็นระยะๆ รู้สึกคันมากจริงๆ ร่างกายที่อ่อนระทวยของนางเอนกายพิงอยู่ที่ตัวอวิ๋นเยี่ยทำให้เขาจิตใจว้าวุ่นสับสน

 

ฤทธิ์เหล้าเริ่มพลุ่งพล่าน ดวงตาเริ่มมีเส้นเลือดฝอยสีแดงขึ้น อวิ๋นเยี่ยกำลังพยายามระงับปรารถนาของเขาที่ถาโถมเช่นกระแสน้ำ แต่เสื้อผ้าก็หลุดเลื่อนลง ร่างกายที่เย็นยะเยือกของหลี่อันหลานก็ส่งเข้าสู่อ้อมแขนของเขา…

 

ดูเหมือนว่าแสงจันทร์เองก็ไม่อยากจะเห็นฉากนี้ด้วยเช่นกัน เขินอายจนต้องซ่อนตัวไปอยู่ในก้อนเมฆ หลงเหลือไว้แต่ความมืดมิด มีแต่เสียงลมหายใจหอบเหนื่อยดังต่อเนื่องอยู่ตรงบริเวณทางเชื่อม ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เสียงหอบเหนื่อยจึงหยุดลง อวิ๋นเยี่ยก็เริ่มได้สติคืนกลับมาเช่นกัน เขาไม่ได้ผลักหลี่อันหลานที่เอนกายพิงบนร่างของเขา เพียงแค่มองไปที่น้ำเต้าใส่เหล้าที่อยู่ด้านข้างและยิ้มอย่างขมขื่น

 

สิ่งที่ผู้ชายควรจะรับผิดชอบอย่างไรก็ควรต้องมี เขาลูบไล้ใบหน้าของหลี่อันหลานที่เต็มไปด้วยน้ำตา อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจและพูดกับนางว่า “ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้ เจ้ากำลังจะเดินทางไกลไปหลิ่งหนาน ถึงตอนนั้นหาคนที่เจ้าชอบแล้วใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันตลอดชีวิตไม่ดีกว่าหรือ ทำไมต้องทำลายความเย่อหยิ่งครั้งสุดท้ายของเจ้าด้วย “

 

“ข้าวางยาเจ้า เจ้าไม่โทษข้าหรือ”

 

“อย่างไรข้าก็เป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบตินั่นโทษนี่ เรื่องเช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ การวางเดิมพันของเจ้ามันใหญ่เกินไป ใช้ชั่วชีวิตของตนเองมาเดิมพันกับอนาคตที่คลุมเครือมันไม่คุ้มค่ากันเลย”

 

หลี่อันหลานสวมเสื้อผ้าและคลุมเสื้อคลุมอย่างมิดชิดอีกครั้ง ปาดน้ำตาและพูดว่า “แม้แต่ผู้ชายอย่างเจ้าข้ายังไม่ต้องการ ใต้หล้านี้ยังจะมีใครที่สามารถทำให้ข้าตกหลุมรักได้อีก ข้าต้องการควบคุมชนเผ่าเหลียวดังนั้นต้องมีลูก ในบรรดาพวกผู้ชายนั้นนอกจากเจ้าที่แตะต้องข้าแล้วไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดใจ ส่วนคนอื่นนั้นเพียงแค่คิดก็จะอาเจียนแล้ว หมอหลวงบอกว่าหลายวันนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดข้าที่จะตั้งครรภ์ เรื่องเช่นนี้ข้าก็ต้องลองพยายามสักครั้ง หากสวรรค์ไม่มอบให้ข้าก็จะยอมรับมัน” เมื่อพูดจบก็เกาะกำแพงทางเชื่อมตำหนักค่อยๆ เดินจากไป

 

อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้นและสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ขันทีคนนั้นก็กลับมาอีกครั้งราวกับเป็นผี ถือตะเกียงมาแล้วใช้ผ้าป่านเช็ดรอยเลือดจนสะอาดและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “โหวเหยียไม่ต้องกังวล เรื่องนี้จะไม่มีใครรู้แน่นอน ข้าน้อยนั้นได้รับมอบหมายให้เดินทางไปที่หลิ่งหนานพร้อมกับองค์หญิงด้วย”

 

เขาหยิบถุงเงินออกจากอกเสื้อแล้วโยนใส่อกเสื้อของขันทีทั้งหมดแล้วหันหลังเดินไปทางตำหนักตะวันออก คืนนี้เขาจะขอค้างคืนในตำหนักตะวันออกสักคืน

 

หลี่เฉิงเฉียนกำลังเอนกายนอนอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ดื่มเหล้าองุ่นหมักอยู่ ก้อนน้ำแข็งในชามเหล้ากระทบกับขอบชามช่างน่าฟังเสียนี่กระไร แทนที่จะบอกว่าเขากำลังดื่มเหล้าอยู่ควรบอกว่าเขากำลังเล่นอยู่จะดีกว่า อวิ๋นเยี่ยยื่นมือแย่งชามเหล้ามาแล้วดื่มเหล้าและน้ำแข็งที่อยู่ในชามจนหมดในอึดใจเดียว

 

ไอเย็นได้ไหลจากคอผ่านลงไปถึงกระเพาะ จิตใจที่กระสับกระส่ายจึงค่อยเริ่มสงบลงบ้าง หลี่เฉิงเฉียนมีบุคลิกเป็นเจ้าภาพเป็นอย่างมาก เขาหยิบน้ำแข็งอีกสองก้อนจากขวดแล้วรินเหล้าใส่ให้เขาเหมือนส่งสัญญาณให้เขาดื่มต่อไป

 

อวิ๋นเยี่ยดื่มติดต่อกันสามชามแล้วนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่งด้วยท่าทีเหม่อลอย ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รวดเร็วเกินกว่าที่เขาจะได้คิดตรึกตรอง ตอนนี้ยังรู้สึกเหมือนยังอยู่ในฝันหวาน

 

หลี่เฉิงเฉียนก็ไม่ได้พูดอะไร นั่งไขว่ห้างกระดิกเท้าเล่นอย่างสบายอารมณ์ ยุงและแมลงยังไม่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการนั่งรับลม เหนือศีรษะมีดวงจันทร์และดวงดาว ข้างกายมีอาหารเลิศรสและเหล้าชั้นดี นอกจากขาดสาวงามแล้วอย่างอื่นก็มีครบถ้วน

 

“พูดอะไรบ้างเถอะเฉิงเฉียน เวลาที่ข้าจะมาค้างคืนอยู่ที่นี่คงมีไม่มากนัก ชายาองค์รัชทายาทของเจ้ากำลังจะมาแต่งเข้ามาแล้ว” ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยอยากจะได้ยินอะไรบางอย่าง

 

“เช่นนั้นก็พูดเรื่องที่เจ้าจู่ๆ ก็กลายเป็นพี่เขยข้าอย่างน่าประหลาดใจก็แล้วกัน” หลี่เฉิงเฉียนมองอวิ๋นเยี่ยอย่างประหลาดใจ

 

ประโยคนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยตกใจจนเกือบตกจากเก้าอี้ เรื่องเพิ่งจะเกิดขึ้น เขาจะรู้ได้อย่างไร จึงมองหลี่เฉิงเฉียนด้วยแววตาที่ประหลาดใจและรอให้เขาพูดต่อไป หากยอมรับความจริงเมื่อถูกคนอื่นพูดออกมาอย่างตรงประเด็นในประโยคเดียว เช่นนั้นก็ผิดต่อการฝึกฝนตนเองมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว

 

“เสแสร้ง เจ้าเสแสร้งต่อไป ข้าวสารเป็นข้าวสุกแล้วยังจะไม่ยอมรับอีก ข้าจะบอกเจ้าให้ ตั้งแต่ที่พี่สาวมาขอผงสำราญจากข้า ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้ากำลังจะโชคร้าย ยาที่รุนแรงประเภทนี้เจ้าคิดว่าพี่สาวข้าจะใช้กับคนอื่นหรือไม่ อีกอย่างเมื่อเจ้ามาที่นี่ก็อยู่ในสภาพวิญญาณล่องลอย ถ้าข้ายังไม่รู้ว่าเจ้ากลายเป็นพี่เขยข้า เช่นนั้นการเป็นรัชทายาทตำหนักตะวันออกข้าก็เสียเปล่าแล้ว”

 

อวิ๋นเยี่ยกระโดดขึ้นขี่หลี่เฉิงเฉียน จากนั้นเขาก็ต่อยตีเขาอย่างไม่มีสาเหตุ ไม่สามารถระบายอารมณ์ใส่หลี่อันหลานได้ แต่เมื่อระบายอารมณ์ใส่ผู้ชายคนนี้เขาไม่ต้องกังวลอะไร

 

“เลิกต่อยได้แล้ว หากยังลงมืออีกก็คือลอบสังหารเชื้อพระวงศ์แล้ว” หลี่เฉิงเฉียนพยายามที่จะกล่าวข่มขู่

 

กำปั้นที่อวิ๋นเยี่ยยกขึ้นสูงจึงลดลงอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่สามารถต่อยหลี่เฉิงเฉียนได้อีก แต่เพราะจู่ๆ ก็พบว่ามันน่าเบื่อมาก จึงนอนเอนกายบนม้านั่งแล้วถามเขาอย่างอ่อนแรง “ข้าควรทำอย่างไรดี”

 

“ยังมีอะไรจะให้ทำอย่างไร พี่สาวข้าต้องการให้ลูกคนหนึ่งเพื่อที่ให้ได้รับมรดกสืบทอดจากนางในภายหน้า แม้ว่าจะรกร้างไปสักหน่อย แต่มันก็เป็นสมบัติที่ยิ่งใหญ่ เจ้ามอบลูกให้แก่นาง วันหน้าเด็กคนนี้ก็แซ่หลี่ เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย”