ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 19 ผู้งมงายในกระบี่

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ในลายเส้นที่หวัดไปมานั้น กวนไป๋มองเห็นกระบี่ของโจวจื้อเหิงเข้ามาดั่งเรือที่โดดเดี่ยว และทรงพลังอย่างมาก

แต่เขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนถึงกระบี่นั้นของเฉินฉางเซิง

กระบี่นั้นเป็นดั่งตัวอักษรเลขหนึ่ง (一)

เป็นตัวอักษรเลขหนึ่ง

เป็นราวกับเขื่อนขนาดใหญ่ ราวกับโซ่เหล็ก ราวกับหินผา ราวกับตั้งกระบี่ขึ้นมาปลิดชีวิตตนเอง

กวนไป๋รู้สึกเจ็บขึ้นในอก

ถ้าหากศิษย์น้องสามารถเข้าใจเหตุผลในกระบี่นี้ ทุกสรรพสิ่งตรงไปตรงมา เช่นนั้นแล้วจะมีจุดจบดังเช่นในตอนนี้ได้อย่างไร

เขามองดูเหล่าสหายร่วมสำนักที่มีใบหน้างงงวย แล้วพูดขึ้น “กระบี่นี้ อย่างน้อยเฉินฉางเซิงก็ฝึกมากว่าหนึ่งหมื่นครั้ง”

เหล่านักเรียนของสำนักเทียนเต้าไม่เข้าใจ จึงถามขึ้น “นี่ก็พอแล้วหรือ”

“เท่าที่ข้ารู้ ที่เฉินฉางเซิงเรียนกระบี่มาจนถึงทุกวันนี้เพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น ในเวลาที่สั้นขนาดนี้ เขากลับฝึกกระบี่ที่เรียบง่ายเช่นนี้ถึงหนึ่งหมื่นครั้ง”

กวนไป๋พูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “คนที่งมงายในกระบี่เช่นนี้ ในเมื่อรับปากจะประลองกระบี่กับโจวจื้อเหิง ไหนเลยที่กระบี่ของโจวจื้อเหิงจะมีโอกาสชนะ”

เมื่อพูดประโยคนี้จบ เขาส่ายหน้า ลุกขึ้นและเดินออกไปที่ด้านนอกห้อง

ทิวทัศน์ในสำนักเทียนเต้าเป็นดั่งภาพวาด ไม่ว่าจะเดินอย่างไร ก็ล้วนเป็นทิวทัศน์ ยกตัวอย่างเช่นภูเขาและทะเลสาบตรงหน้านั่น

ที่ข้างทะเลสาบมีเงาร่างของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่แสนจะโดดเดี่ยวยืนอยู่

เขาก็คือเจ้าสำนักเทียนเต้า บิดาของจวงห้วนอวี่

เขาหันกลับมา และพูดกับกวนไป๋ “การประเมินของเจ้าที่มีต่อเฉินฉางเซิงสูงมาก”

กวนไป๋พูดขึ้น “ในเมื่อกำหนดไว้แล้วว่าจะเป็นคู่ต่อสู้กัน ดังนั้นการประเมินก็ยิ่งควรจะประเมินอย่างเยือกเย็น”

เจ้าสำนักจวงมองเขาแล้วพูดขึ้น “ถ้าหากให้เจ้าได้รู้ว่าเฉินฉางเซิงเรียนกระบี่นั่นอย่างมากที่สุดก็ไม่เกินสามสิบวัน การประเมินของเจ้าต่อเขาจะสูงยิ่งขึ้นหรือไม่”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ กวนไป๋ก็นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน หลังจากนั้นจึงพูดขึ้น “ข้าไม่สนว่าท่านจะคิดอย่างไร อย่างไรเสียห้วนอวี่ก็เป็นศิษย์น้องของข้า ข้าจะต้องทำเรื่องบางอย่างแทนเขา”

เจ้าสำนักจวงพูดพลางถอนหายใจ “ดูท่าว่าเจ้าจะต้องเข้าร่วมงานประชุมใหญ่จู่สือแล้ว”

กวนไป๋พูดขึ้น “ใช่ เพราะว่าข้าอยากจะรู้ หากให้เวลาเฉินฉางเซิงอีกสามร้อยวัน กระบี่นั้นของเขาจะสามารถไปถึงระดับใดกัน”

……

……

หน้าประตูสำนักฝึกหลวง กระบี่ของโจวจื้อเหิงกวาดเอามรสุมทั่วฟ้าเข้ามา ทรงพลังและกดดัน ถ้าหากไม่ใช่ว่านักบวชของพระราชวังหลีมีการเตรียมการวางเขตอาคมไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อวาน เกรงว่าผู้ชมที่อยู่รอบด้าน จะถูกอานุภาพกระบี่ของเขาทำให้บาดเจ็บ

ก็เหมือนกับที่กวนไป๋ดูจากภาพร่างแผ่นนั้น เฉินฉางเซิงใช้เพียงกระบี่เดียว

แน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเพียงแค่กระบี่เดียวจริงๆ กระบี่เดียวในที่นี้หมายถึงเขาใช้กระบี่ในกระบวนท่านั้นซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด มรสุมที่มาจากกระบี่ของโจวจื้อเหิง จนถึงอานุภาพที่เป็นดั่งคลื่นพายุคลั่ง ตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็ใช้เพียงเพลงกระบี่เดียว

ในสายตาของกวนไป๋ เขาเป็นคนที่งมงายในกระบี่ เช่นนั้นแล้วเพลงกระบี่ที่เขาใช้ก็แน่นอนว่าดูทึ่มอยู่บ้าง

เป็นเพลงกระบี่ที่สามที่ซูหลีสอนให้กับเขาในตอนนั้น

กระบี่นี้มีชื่อที่ดูโง่อย่างมาก เพลงกระบี่โง่งม

เพลงกระบี่นี้ดูไปแล้วก็โง่อย่างมาก บางครั้งดูเหมือนการหาบกระบุง บางครั้งเหมือนการจูงม้า บางครั้งก็เหมือนเตรียมจะปาดคอตัวเอง สรุปแล้ว ก็ไม่เหมือนเพลงกระบี่

คมกระบี่ไม่ออกไปด้านนอก ตัวกระบี่ตั้งแต่ต้นจนจบอยู่ในแนวระนาบ และก็อยู่ที่ตรงหน้าเขา

นี่เป็นเพลงกระบี่ที่ดูแล้วเรียบง่าย แต่ที่จริงแล้วไม่ธรรมดาอย่างมาก เพราะว่าแม้แต่ซูหลีเองก็ยังฝึกไม่สำเร็จ ที่จริงแล้ว เฉินฉางเซิงเป็นคนแรกที่เรียนรู้เพลงกระบี่โง่งมได้

การจะฝึกเพลงกระบี่นี้ให้สำเร็จได้ อะไรก็ไม่ต้องการ ทั้งพรสวรรค์ การรับรู้ล้วนไม่ต้องการ มันต้องการเพียงการฝึกฝนอย่างไม่หยุดยั้ง ทำซ้ำไปซ้ำมาอย่างโง่งม ไปจนถึงความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแน่วแน่ว่าจะทำได้

กระบี่ของโจวจื้อเหิงแข็งแกร่งอย่างมากจริงๆ อานุภาพเป็นดั่งคลื่นทะเลก็ไม่ปาน และไม่หยุดที่จะซัดสาดเข้ามา แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่สามารถข้ามผ่านกระบี่นี้มาได้

กระบี่ที่อยู่ในมือของเฉินฉางเซิง ได้เปลี่ยนมาเป็นโซ่เหล็กที่รั้งเรือใหญ่เอาไว้ ได้เปลี่ยนมาเป็นต้นหยางที่ดื้อรั้น

กระบี่ของโจวจื้อเหิงลอยละล่องมาดั่งเรือ กลับถูกขวางเอาไว้

กระบี่ของโจวจื้อเหิงโหมกระหน่ำมาดั่งมรสุม ยังคงถูกขวางเอาไว้

ไม่ว่าเพลงกระบี่ของโจวจื้อเหิงจะล้ำเลิศอย่างไร ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่อาจทำลายการป้องกันของเฉินฉางเซิงไปได้ คมกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนแทงลงบนตัวกระบี่ของเฉินฉางเซิง เสียดสีกันจนเกิดเป็นสะเก็ดไฟนับไม่ถ้วน

กระบี่ทั้งสองเข้าปะทะกัน ส่องแสงออกมาอย่างไร้ขีดจำกัด ชาวบ้านที่ชมจำนวนมากล้วนถูกแสงแยงตาจนลืมไม่ขึ้น และคิดกันอย่างตกตะลึง สมแล้วที่โจวจื้อเหิงเป็นผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาว ฟันกระบี่ดั่งสายลม เพียงพริบตาเดียว ก็กดดันให้เฉินฉางเซิงถอยร่นไปได้

คนธรรมดาไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า แน่นอนว่าย่อมต้องมีคนที่เข้าใจ

ก็เป็นชั่วพริบตาที่เฉินฉางเซิงออกกระบี่ ภายในศาลาก็มีเสียงตกตะลึงดังขึ้นมาจิตรกรที่มาจากหอความลับสวรรค์ผู้นั้นในตอนที่กำลังวาดภาพที่สอง ปลายพู่กันก็เริ่มสั่นเทาขึ้นมา!

ที่โรงน้ำชาในตรอกไป่ฮวานั่น เซวียสิ่งชวนกำลังนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง กำลังมองดูแสงกระบี่ที่สว่างอย่างหาใดเปรียบนั่น ทันใดนั้นก็นึกถึงจดหมายของน้องชายขึ้นมา ในใจคิดว่าเพลงกระบี่ของเจ้าเด็กนี่ถึงกับก้าวหน้าขึ้นมาแล้ว

แสงกระบี่ทำให้คนไม่อาจมองตรงๆ ได้ ราวกับมีฟ้าแลบจำนวนนับไม่ถ้วน

ในนั้นเคียงคู่มาด้วยเสียงฟ้าร้องจำนวนนับไม่ถ้วน

เสียงกระบี่กระทบกันดังราวกับเสียงระเบิดก็ไม่ปาน ในเค่อถัดมา ก็หยุดลงอย่างกะทันหันแล้ว

โจวจื้อเหิงเก็บกระบี่ มองดูเฉินฉางเซิงที่ถอยไปจนถึงหน้าประตูสำนักแล้ว ในใจก็รู้สึกแปลกประหลาดใจอยู่บ้าง

จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึง เฉินฉางเซิงถึงกับสามารถป้องกันกระบี่ของตนได้หลายครั้งขนาดนี้!

ต้องรู้ด้วยว่าเพลงกระบี่เรือกลางมรสุมของเขา ที่สำคัญที่สุดคือพลัง และมีอานุภาพเป็นเอก ยิ่งไม่ต้องพูดว่าเขาอยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาว แต่เฉินฉางเซิงอยู่เพียงแค่ขั้นทะลวงอเวจี!

ต่อให้เพลงกระบี่ของเฉินฉางเซิงจะเลิศล้ำเป็นเอก แต่ระดับขั้นการบำเพ็ญเพียรของเขา จะอาศัยอะไรมารับกระบี่ของเขามากมายขนาดนี้ ทั้งยังไม่ได้รับบาดเจ็บอีก กระทั่งแม้แต่มือที่จับกระบี่ก็ยังไม่ได้สั่นเทาแม้แต่น้อย!

เค่อถัดมา ความตกตะลึงในสายตาของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความดุดัน ความมั่นใจที่ถูกบั่นทอนไปบ้างก็กลับมาแน่วแน่ใหม่อีกครั้ง

เพราะว่าเฉินฉางเซิงถอยไปแล้ว

เขาไม่ได้ปล่อยให้เพลงกระบี่เรือกลางมรสุมของเขาสัมผัสโดนร่างของตน แต่เขาก็ไม่อาจจะหยุดเท้าไม่ให้ถอยหลังลงได้

อย่างไรเสียเขาก็อยู่เพียงขั้นทะลวงอเวจี ต่อให้เคยอาบเลือดมังกร มีระดับความแข็งแกร่งของร่างกายกับพละกำลังที่มากกว่าขั้นรวบรวมดวงดาว ก็ไม่อาจจะชดเชยระยะห่างไปได้ โดยเฉพาะเส้นชีพจรที่ฉีกขาดของเขา จำนวนปราณแท้ที่สามารถใช้ได้ไม่ต้องพูดว่าจะเอามาเทียบกับโจวจื้อเหิงเลย แม้แต่การเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรในระดับขั้นเดียวกันก็ยังห่างไกลมากนัก

โจวจื้อเหิงนึกย้อนถึงรายละเอียดในการต่อสู้ก่อนหน้า ระหว่างการปะทะกันของกระบี่ทั้งสองในทุกๆ ครั้ง แรงสั่นสะเทือนจากตัวกระบี่ที่สะท้อนกลับมายังร่างนั้นยืนยันความจริงข้อนี้

เซวียสิ่งชวนที่อยู่ในโรงน้ำชา เหล่าบุคคลสำคัญที่อยู่ในศาลา ก็มองเห็นความจริงข้อนี้ได้ชัดเจนอย่างมากเช่นกัน

เพลงกระบี่ของเฉินฉางเซิงล้ำเลิศอย่างมากจริงๆ พละกำลังของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งจนไม่อาจจินตนาการ แต่จำนวนปราณแท้ของเขาก็มีไม่พอ

ปราณแท้ของเขาไม่พอที่จะคงไว้สำหรับการต่อสู้ประเภทนี้จริงๆ

ระดับขั้นของคนเหล่านี้ไม่ได้อ่อนด้อยกว่ากวนไป๋ กระทั่งเซวียสิ่งชวนก็ยิ่งเหนือล้ำมากกว่ากวนไป๋ แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในวิถีแห่งกระบี่

พวกเขาไม่อาจเข้าใจถึงความมั่นใจของเฉินฉางเซิงได้จากการมองเพลงกระบี่ของเขา

โจวจื้อเหิงเป็นผู้ที่อยู่ในวิถีแห่งกระบี่ แต่ว่าเขาเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจเช่นกัน

เขาคิดว่าตนมองจุดอ่อนของเฉินฉางเซิงออกแล้ว ดังนั้นจึงฟื้นความมั่นใจขึ้นมาใหม่

เขามองไปที่เฉินฉางเซิง ริมฝีปากพลันเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน และเตรียมที่จะพูดขึ้นมาสองสามประโยค

เฉินฉางเซิงไม่ได้ให้โอกาสกับเขา และแทงกระบี่ตรงออกไป

หน้าประตูสำนักฝึกหลวงในตอนนี้เงียบเชียบอย่างมาก ราวกับก่อนฟ้าสาง และก็เหมือนก่อนมรสุมจะมา

ในเวลาเช่นนี้ มักจะมีเสียงนกร้อง หรือมีนกนางแอ่นบนต่ำลงมา หลังจากที่แสงอรุณมาถึง พายุฝนก็กระหน่ำลงมา

นี่เป็นจังหวะอย่างหนึ่ง

กระบี่นี้ของเฉินฉางเซิง กลับทำลายจังหวะนี้ลงอย่างง่ายดาย

ไม่ว่าจะเป็นโจวจื้อเหิง หรือว่าจะเป็นชาวบ้านที่กำลังชมการต่อสู้ ล้วนรู้สึกไม่สบายอย่างมากเพราะจังหวะที่ถูกทำลาย

แสงอรุณมาเร็วเกินไป พายุฝนกระหน่ำลงมาอย่างกะทันหัน

มันกะทันหันเกินไปแล้ว

ที่ศาลาเกิดเสียงเก้าอี้ล้มลงอย่างกะทันหัน

เซวียสิ่งชวนในโรงน้ำชาพลันลุกขึ้นยืนในทันที บนใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง

ในการต่อสู้ การทำลายจังหวะของอีกฝ่ายเป็นเรื่องที่เห็นได้ตามปกติอย่างมาก

ปัญหามันอยู่ที่ มีคนน้อยมากที่สามารถทำได้อย่างเป็นธรรมชาติเหมือนกับเฉินฉางเซิง

เหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงก็อยู่ตรงนี้ เพราะว่านี่เป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า จังหวะในการประลองครั้งนี้…ที่จริงแล้วล้วนอยู่ในกำมือของเฉินฉางเซิงมาโดยตลอด

ระยะห่างระหว่างขั้นรวบรวมดวงดาวกับขั้นทะลวงอเวจีนั้นมหาศาลอย่างมาก ในการต่อสู้เช่นนี้ บางทีอาจจะต่อสู้อย่างลำบาก ต่อสู้แบบเต็มไปด้วยเลือด ใช้การระเบิดพรสวรรค์ออกมา กระทั่งเหมือนกับหวังผ้อในปีนั้น ที่เกิดปาฏิหาริย์ในการบรรลุระดับขั้นในการต่อสู้ แต่ในฐานะฝ่ายที่อ่อนแอ ตั้งแต่ต้นจนจบถึงกับสามารถควบคุมจังหวะทั้งหมดของการต่อสู้เอาไว้ได้ สามารถใช้สภาพการณ์ของผู้แข็งแกร่งต่อกรกับคู่ต่อสู้ของตน นี่เป็นความเชื่อมั่นในตัวเองระดับใดกัน!

เขาอาศัยอะไรมามีความมั่นใจเช่นนี้!

มีบางคนในศาลาที่เข้าใจแล้ว ดังนั้นจึงตกตะลึงอย่างถึงที่สุดจนทำถ้วยชาในมือหล่นไป หรือถีบโต๊ะเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้าจนคว่ำ

เซวียสิ่งชวนที่อยู่ในโรงน้ำชาเองก็เข้าใจแล้ว ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นอย่างกะทันหัน และตกตะลึงจนพูดไม่ออก

ความมั่นใจของเฉินฉางเซิงอยู่ที่กระบี่ของเขา

กระบี่นี้ของเขา

เขาแทงกระบี่แรกไปทางโจวจื้อเหิง

กระบี่นี้ยอดเยี่ยมราวสวรรค์สร้าง

กระบี่นี้มิอาจจะหลบหลีก

กระบี่นี้ปิดตายทางหนีทั้งหมดของโจวจื้อเหิง

……

……

ในพริบตาที่เฉินฉางเซิงแทงกระบี่ออกมา ถ้าหากโจวจื้อเหิงใช้ความเร็วสูงสุดถอยหลังไป บางทีเขาอาจจะยังมีโอกาสอยู่ แต่ว่าเขาไม่ได้ทำ

เพราะเขาอยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาว เฉินฉางเซิงอยู่เพียงแค่ขั้นทะลวงอเวจี เขาเป็นตัวแทนของหอจงซื่อมาท้าประลองสำนักฝึกหลวง ทุกคนล้วนรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก และดูถูกเขาอย่างมาก ในสภาพการณ์เช่นนี้ ถ้าหากเขาถูกกระบี่ของเฉินฉางเซิงบีบจนถอย เขาก็จะยิ่งขายหน้า แน่นอน เขารู้ว่ากระบี่นี้ของเฉินฉางเซิงจะต้องแข็งแกร่งอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือที่เขาเป็นคนรุ่นเยาว์ของใต้เท้าสังฆราช และยังพูดกันว่าเขาได้เดินทางกับปรมาจารย์วิถีกระบี่ผู้นั้นอยู่หลายวัน กระบี่นี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาเองก็ไม่ได้เลือกจะเข้าไปปะทะตรงๆ แต่เตรียมที่จะหลบหลีก

นี่เป็นกระบี่อะไรกันแน่

ในนาทีที่อันตรายที่สุด ในที่สุดโจวจื้อเหิงก็วางความยึดติดทั้งหมดลง และหวนคืนสู่จิตใจของผู้ใช้กระบี่ เสียงกระจ่างชัดพลันดังขึ้น กระบี่ยาวก็แหวกอากาศออก และฟันไปที่ด้านหน้าติดต่อกันอยู่หลายครั้ง

เกราะป้องกันสายหนึ่งที่ยากจะใช้คำพูดบรรยายพลันเกิดขึ้นจากอานุภาพกระบี่ของเขา ขวางกั้นตัวเขากับเฉินฉางเซิงเอาไว้

บนเกราะป้องกันนั้น มีแสงดวงดาวที่งดงามไหลเวียนอยู่ แสงดวงดาวเหล่านั้นมาจากกระบี่ของเขา แต่ต้นกำเนิดกลับเป็นสถานที่ที่ห่างไกลยิ่งกว่า…ท้องฟ้า นี่คือกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาว และก็เป็นเหตุผลที่ขั้นรวบรวมดวงดาวถูกเรียกว่าขั้นรวบรวมดวงดาว

ผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาวสามารถเคลื่อนปราณแท้กลับไปยังดวงดาวได้ ราวกับการดึงดาวโชคชะตาเข้าสู่ร่าง เรียกเป็นเขตแดน ซึ่งก็คือเขตแดนแห่งดวงดาว เขตแดนแห่งดวงดาวเป็นดั่งอีกโลกหนึ่ง ในนั้นมีเสียงแห่งดวงดาวไม่ขาดสาย เรียกได้ว่าเกือบจะสมบูรณ์แบบ สามารถพูดได้ว่าแข็งแกร่งไม่อาจทำลาย มีเพียงการอาศัยระดับขั้นที่สูงกว่า หรือปราณแท้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามาทำลาย

อัจฉริยะในขั้นถอดจิตยังมีความเป็นไปได้ที่จะข้ามขั้นเอาชนะผู้ที่อยู่ในขั้นทะลวงอเวจี ยกตัวอย่างเช่นลั่วลั่วที่พรสวรรค์ของสายเลือดมีความทรงพลังอย่างมาก ในตอนที่อยู่ในขั้นถอดจิตก็สามารถเอาชนะคนทั่วไปที่อยู่ในขั้นทะลวงอเวจีขั้นต้นได้ แต่การที่ขั้นทะลวงอเวจีคิดจะเอาชนะขั้นรวบรวมดวงดาว กลับเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ นั่นก็เพราะมีการดำรงอยู่ของเขตแดนแห่งดวงดาว

ไม่ถึงที่สุดจริงๆ โจวจื้อเหิงไม่มีทางคิดจะใช้เขตแดนแห่งดวงดาว เพราะว่านั่นก็จะน่าเกลียดเกินไป

แต่ว่าในตอนนี้เขาจะไม่ใช้ก็ไม่ได้ เพราะว่ากระบี่ของเฉินฉางเซิงนั้นน่ากลัวเกินไปจริงๆ

ที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง แสงของดวงดาวส่องสว่าง ราวกับว่าจะแข่งขันกับดวงตะวัน

ฝูงชนพากันส่งเสียงอย่างตกตะลึง ดูเหมือนว่าจะได้ยินเสียงด่าทอด้วย

ในศาลา มีคนที่กลับลงไปนั่งใหม่ โดยเฉพาะพวกบุคคลสำคัญที่สนับสนุนตระกูลเทียนไห่เหล่านั้น ก็ยิ่งเผยรอยยิ้มออกมา

เซวียสิ่งชวนกลับไม่ได้นั่งลง และยังคงยืนดูอยู่

ในเขตแดนแห่งดวงดาว สีหน้าของโจวจื้อเหิงดูไม่ได้อย่างมาก ต่อให้วันนี้เขาชนะแล้ว ก็ถือว่าชนะอย่างแสนน่าเกลียด

แต่ว่า ชนะก็ยังดีกว่าพ่ายแพ้

ท่ามกลางแสงดวงดาวที่ขวางกั้นอยู่เบาบาง เขามองไปที่กระบี่ของเฉินฉางเซิง เขาอยากจะบอกกับอีกฝ่ายอย่างมาก ถึงแม้เจ้าจะไม่สามารถเอาชนะข้าได้ แต่เจ้าก็บีบให้ข้าใช้เขตแดนแห่งดวงดาวออกมา ก็คุ้มค่าให้ภาคภูมิใจแล้ว

…คำพูดนี้ไม่เลว ดูมีบุคลิกของผู้อาวุโสที่สูงส่ง

ขณะที่โจวจื้อเหิงกำลังคิดอยู่เช่นนี้ และเตรียมรอให้กระบี่ของเฉินฉางเซิงถูกเขตแดนแห่งดวงดาวสกัดไว้ หลังจากตนฟันกระบี่ออกไปรับชัยชนะอย่างง่ายดาย ก็จะพูดขึ้นเช่นนี้ต่อหน้าคนทั้งหลาย

หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฉึกดังขึ้นเบาๆ

นี่มันเสียงอะไรกัน

นั่นเป็นเสียงกระบี่ที่แทงเข้าไปในร่าง

นั่นเป็นเสียงกระบี่ของเฉินฉางเซิงที่แทงเข้ามาในร่างของเขา

กระบี่ของเฉินฉางเซิง แทงทะลุผ่านเขตแดนแห่งดวงดาวของเขาได้โดยไม่ได้สะดุดเลย แทงเข้ามาในหน้าอกของเขา!

ใบหน้าของเขาซีดขาวในพริบตา ในใจตกตะลึงอย่างไม่อาจจินตนาการ และตะโกนขึ้นมาอย่างคลุ้มคลั่ง “นี่เป็นไปได้อย่างไร!”

ในศาลาก็มีเสียงตกตะลึงตะโกนขึ้นหลายเสียง “นี่มันเรื่องอะไรกัน!”