กระบี่ของเฉินฉางเซิงก็แทงเข้าไปที่หน้าอกของโจวจื้อเหิงได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ราวกับว่าเขตแดนแห่งดวงดาวนั้นไม่ได้มีอยู่ก็มิปาน
เหล่าคนที่เข้าใจว่าเขตแดนแห่งดวงดาวหมายถึงอะไรต่างล้วนคาดไม่ถึง และตกตะลึงอย่างหาใดเปรียบ
ตัวเฉินฉางเซิงไม่ได้คาดไม่ถึงแต่อย่างใด เขาสุขุมอย่างมาก ก็เหมือนกับที่เซวียสิ่งชวนและเหล่าบุคคลสำคัญพวกนั้นตกตะลึงกันในตอนแรก ตั้งแต่ต้นจนจบ จังหวะของการประลองครั้งนี้ก็อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอยู่แล้ว
สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรชาวมนุษย์แล้ว การที่สามารถสร้างเขตแดนแห่งดวงดาวได้ก็สามารถพูดได้ว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ขอเพียงแค่สามารถรวบรวมดวงดาวได้สำเร็จ ก็จะมีการป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างมาก เช่นนี้ถึงจะสามารถต่อสู้กับเผ่ามารที่มีร่างกายสมบูรณ์แบบได้อย่างเท่าเทียม ในโลกมนุษย์ถึงกับมีความคิดอย่างหนึ่งที่ฝังรากลึกมาโดยตลอด ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีเขตแดนแห่งดวงดาว ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่มีเขตแดนแห่งดวงดาวแล้วก็ถือว่าอยู่ในจุดที่ไม่มีทางพ่ายแพ้ ดังนั้นหลังจากที่โจวจื้อเหิงใช้เขตแดนแห่งดวงดาวออกมา ทุกคนจึงล้วนพากันคิดว่าเฉินฉางเซิงจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน คิดว่าที่เขาแทงกระบี่ต่อ ก็เป็นเพียงแค่การปลอบใจตัวเองอย่างหนึ่งเท่านั้น เป็นเพียงแค่การแทงออกไปตามใจชอบ
โจวจื้อเหิงเองก็คิดเช่นนี้
แต่เฉินฉางเซิงไม่เคยคิดเช่นนี้เลย เพราะว่ากระบี่ของเขาเป็นการเรียนด้วยตัวเอง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีกฎเกณฑ์อะไร แต่ไหนแต่ไม่เคยคาดคิด หรืออาจจะพูดได้ว่าไม่รู้ ว่ากระบี่ที่อยู่ในระดับขั้นที่ต่ำกว่านั้น ไม่อาจทำลายเขตแดนแห่งดวงดาวได้
ภายหลังเขาได้เรียนกระบี่กับซูหลี ก็ยิ่งไม่มีกฎเกณฑ์เข้าไปใหญ่ กระทั่งเพลงกระบี่แรกที่ซูหลีสอนให้กับเขา ก็คือการสอนว่าจะทำอย่างไรถึงจะสามารถทำลายเขตแดนแห่งดวงดาวของผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวได้
แน่นอนว่านี่คือเพลงกระบี่แรกที่ซูหลีสอนให้กับเขาที่ทุ่งกว้าง เพลงกระบี่รอบรู้
ในเช้าตรู่เมื่อหลายวันก่อนนั้น ในตอนที่เทียนไห่หยาเอ๋อร์มาด่าทออยู่ที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง โจวจื้อเหิงก็ยืนไม่พูดไม่จาอยู่ที่ข้างรถเข็น หลายวันหลังจากนั้นก็เป็นเช่นนี้
เฉินฉางเซิงไม่ได้ทำอะไรเลย ทุกคนล้วนคิดว่าเขากำลังอดทน กำลังรอให้พระราชวังหลีออกหน้า ภายหลังก็คิดว่าเขากำลังรอให้ถังซานสือลิ่วออกมาจากสุสานเทียนซู
ใช่ เป็นเรื่องจริงที่เขากำลังรอคอย ในเวลาเดียวกันเขาก็กำลังเตรียมตัว โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าใต้เท้ามุขนายกของตำหนักทั้งสองท่านนั้นกำลังจ้องเล่นงานสำนักฝึกหลวง และเสนอการประลองระหว่างสำนักขึ้นมาอีกครั้ง
เพื่อกระบี่นี้ เขาเตรียมการมาเป็นเวลานานมาก เขาอาศัยอาจารย์ซิน จนได้ถือครองข้อมูลส่วนตัวของโจวจื้อเหิงผู้นี้จำนวนมาก ในตอนที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงมีเสียงด่าทอไม่ขาดสาย เขาก็อ่านหนังสืออยู่ภายในหอตำรา ที่อ่านก็คือประวัติศาสตร์ของตำหนักขบวนรถอริพ่าย นิทานของหอจงซื่อ และยังมีเพลงกระบี่ที่มีชื่อว่าเรือกลางมรสุมหลายชุดนั่น เขารู้ประวัติความเป็นมาในชีวิตของโจวจื้อเหิงรู้ว่าคนผู้นี้เย็นชา ละโมบ เห็นแก่ตัว รักชื่อเสียง เขาหาประวัติการต่อสู้ทั้งเจ็ดครั้งของโจวจื้อเหิงจนพบ รู้ว่าคนผู้นี้เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ไหล่ซ้ายครั้งหนึ่ง และยังรู้ว่าคนผู้นี้ชอบกินปูของหอเฉิงหูที่สุด
เรื่องราวนับไม่ถ้วนที่เกี่ยวข้องกับโจวจื้อเหิง ล้วนอยู่ในสมองของเฉินฉางเซิง กระทั่งสามารถพูดได้ว่า ในบางด้านนั้น เขายังเข้าใจโจวจื้อเหิงมากกว่าตัวโจวจื้อเหิงเองเสียอีก
ข้อมูลเหล่านี้รวมอยู่ในสมองของเขา หลังจากนั้นก็เริ่มจัดระเบียบ แยกประเภท และเริ่มต้นคำนวณการอนุมานขึ้นมา
เขาต้องหาจุดอ่อนในเพลงกระบี่ของโจวจื้อเหิง และยิ่งต้องหาจุดอ่อนของเขตแดนแห่งดวงดาวขึ้นมาก่อน
เขตแดนแห่งดวงดาวที่แท้จริงบนท้องฟ้า ในระหว่างที่เคลื่อนไหวบางครั้งก็จะเกิดช่องว่างขึ้นมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขตแดนแห่งดวงดาวของมนุษย์ ในตอนแรกที่เผชิญหน้ากลับเซวียเหอหรือเหลียงหงจวงที่ทุ่งกว้าง ในตอนที่กระบี่ไปถึงร่าง เขาก็สามารถหาจุดอ่อนในเขตแดนแห่งดวงดาวของอีกฝ่าย ในครั้งนี้เขาทำการคำนวณและอนุมานอยู่ในสำนักฝึกหลวงมานานขนาดนี้ การทำลายเขตแดนแห่งดวงดาวของโจวจื้อเหิงได้นั้นไม่น่าแปลกใจเลยสักนิด หากทำลายไม่ได้สิถึงจะเป็นเรื่องแปลก
ดังนั้นเขาจึงหาพบแล้ว หลังจากนั้นก็ทำลายเสีย
เพลงกระบี่รอบรู้ไม่ใช่กระบี่ มันเป็นการคำนวณและอนุมานการต่อสู้รูปแบบหนึ่ง ตั้งแต่ความนิ่งเงียบในสัปดาห์ก่อน จนถึงเมื่อวานที่เห็นด้วยอย่างกะทันหัน จนถึงเพลงกระบี่โง่งมก่อนหน้า กระทั่งที่ถอยไปถึงหน้าบันไดหิน และยังมีเสียงนกขับร้องก่อนแสงอรุณ นกนางแอ่นที่บินต่ำก่อนพายุฝน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพลงกระบี่รอบรู้
กระบวนท่ากระบี่ที่เขาใช้จริงๆ คือกระบวนท่าที่ธรรมดาที่สุดของสำนักฝึกหลวง ซึ่งมีชื่อว่าเสียงพิรุณยามราตรี
เขตแดนแห่งดวงดาวของโจวจื้อเหิงมีรูปร่างงดงาม แต่ที่จริงไม่ได้แข็งแกร่ง
นี่ก็คือจุดอ่อนที่เฉินฉางเซิงอนุมานออกมาได้
ส่วนเรื่องของตำแหน่งก็อยู่ที่ตรงหน้าเท้าของเขา
เสียงพิรุณยามราตรี กระบี่เป็นดั่งฝนพรำ แทงตรงไปที่ใต้หัวเข่าในชุดสีคราม แต่กลับเสียบเข้าไปในหน้าอกของเขา
เสียงฉีกดังขึ้น เลือดสดๆ ทะลักออกมา
ใบหน้าของโจวจื้อเหิงซีดขาว ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวตกตะลึงและสีหน้าที่คาดไม่ถึง
ท่ามกลางเสียงคำราม เขาพลันกลายเป็นลมฝนสายหนึ่ง ถอยร่นไปทางส่วนลึกของตรอกไป่ฮวา
กระบี่ของเฉินฉางเซิงไม่ได้แทงเข้าไปในหน้าอกของเขาอย่างสมบูรณ์ เขาคิดว่านี่เป็นเพราะจำนวนปราณแท้ของอีกฝ่ายมีไม่พอ
ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ยังมีแรงที่จะสู้ ขอเพียงแค่สามารถหลุดพ้นจากกระบี่ของเฉินฉางเซิงนี้ได้ ก็จะมีโอกาสสวนกลับ
สายลมพลันรวมตัวขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง โจวจื้อเหิงที่กำลังเผชิญกับอันตรายของความตาย ถึงกับระเบิดพลังที่ยากจะจินตนาการออกมา เขาใช้กำลังทำลายเขตอาคมที่นักบวชของพระราชวังหลีสร้างเอาไว้ และถอยไปจนถึงถนนใหญ่
ต้องรู้ว่า ระยะห่างจากตรงนี้ไปถึงประตูสำนักฝึกหลวง เป็นระยะห่างนับร้อยจั้งเลยทีเดียว!
แต่เขาก็ยังคงไม่อาจรอดพ้นไปจากเฉินฉางเซิงกับกระบี่ในมือของเขา
โจวจื้อเหิงนึกขึ้นได้ว่าตนลืมเรื่องหนึ่งไปอย่างกะทันหัน
ก่อนการประลองกระบี่ในครั้งนี้ ตระกูลเทียนไห่เตรียมข้อมูลของเฉินฉางเซิงไว้ให้เขามากมาย ถึงแม้เพราะความมั่นใจ เขาถึงได้มองดูอย่างไม่ใคร่จะสนใจเล็กน้อย แต่ก็ยังจำได้ เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่รู้เพราะเหตุใด ถึงกับได้เรียนรู้ย่างก้าวหยั่งเทวาของเผ่ามาร ถึงแม้จะไม่ใช่ของจริง และไม่ใช่ย่างก้าวหยั่งเทวาที่สมบูรณ์ แต่ก็ยังมีความเร็วที่ทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกหวาดกลัว
ถ้าหากเป็นตามปกติ ต่อให้เป็นเช่นนี้ โจวจื้อเหิงเองก็มีวิธีนับไม่ถ้วนที่จะรับมือ แต่ในตอนนี้ เขาที่กำลังลนลานสนใจเพียงการถอยหนี ไหนเลยจะคิดเรื่องเหล่านี้ออก
โจวจื้อเหิงก็เหมือนกับเรือลำหนึ่งบนผืนน้ำอันกว้างใหญ่ ลอยขึ้นลงไม่หยุด และถอยร่นไป
เฉินฉางเซิงก็เหมือนน้ำทะเลที่กว้างใหญ่ ที่ไล่ตามเขาตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว
ท่ามกลางเสียตะโกนอันลนลาน ฝูงชนพลันแหวกทาง หลังจากนั้นก็ถอยไปทางหัวถนนสายยาวทั้งสองด้าน
เมื่อลมสงบ เฉินฉางเซิงกับโจวจื้อเหิงก็ยืนอยู่กลางถนน
บุคคลสำคัญไม่กี่คนในศาลาพลันปล่อยไอพลังปราณออกมา เพื่อเลี่ยงไม่ให้ไอพลังปราณจากการต่อสู้ไปทำร้ายชาวบ้านธรรมดา
แต่ว่าก็ไม่ต้องแล้ว
กระบี่ของเฉินฉางเซิงนั้นแทงทะลุหน้าอกของโจวจื้อเหิงไปแล้ว
เลือดสดๆ ไหลลงมาตามกระบี่ และหยดลงสู่พื้นไม่หยุด
เซวียสิ่งชวนที่มองภาพเหตุการณ์นี้จากภายในโรงน้ำชา พลันไร้คำพูดอีกครั้ง
การวิเคราะห์ของโจวจื้อเหิงไม่ได้ผิดไป ปราณแท้ที่เฉินฉางเซิงสามารถใช้ได้มีน้อยจริงๆ ดังนั้นอานุภาพของกระบี่จึงไม่มาก แน่นอนว่าเซวียสิ่งชวนเองก็เข้าใจในจุดนี้ ดังนั้นต่อให้ยืนยันแล้วว่าเพลงกระบี่ของเฉินฉางเซิงมาจากคนผู้นั้นจริงๆ ก็ไม่คิดว่ากระบี่ของเขาจะสามารถทำลายเขตแดนแห่งดวงดาวของโจวจื้อเหิงไปแล้ว และยังมีอานุภาพมากมายขนาดนี้
กระบี่ของเฉินฉางเซิงได้ทำลายเหตุผลทั้งหมดอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าไม่แข็งแกร่ง แต่กลับสามารถแทงทะลุผ่านร่างของโจวจื้อเหิงได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
เป็นเพราะอะไรกัน
……
……
“ไม่ใช่เพลงกระบี่ที่เผาผลาญพลังชีวิตเพื่อระเบิดปราณแท้ออกมาที่เขาใช้ในเมืองสวินหยาง”
ที่ถนนด้านนั้น ในรถม้าที่มืดสลัว ขุนนางผู้หนึ่งกำลังจดอะไรบางอย่างลงไปบนกระดาษอย่างรวดเร็ว
เขามองภาพเหตุการณ์ด้านนั้นจากหน้าต่าง หลังจากที่คิดดูแล้วก็เขียนอีกหนึ่งประโยคลงไปบนกระดาษต่อ
“เป็นไปได้ว่ากระบี่เล่มนั้นจะมีอะไรบางอย่าง”
……
……
เสียงเบาๆ เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
เฉินฉางเซิงเก็บกระบี่กลับไป
โจวจื้อเหิงกุมหน้าอก และล้มตัวลงไปนั่งบนพื้นถนน
มีคนของกระทรวงสิบสามชิงเหย้ามารอที่ด้านข้างตั้งแต่แรกแล้ว จึงรีบเข้ามาทำการรักษาให้เขา
โจวจื้อเหิงเจ็บปวดอย่างมาก และก็มึนงงอย่างมาก เขามองไปและถามขึ้น “นี่คือ…กระบี่อะไร”
บนถนนพลันเงียบเสียงลงทั้งหมด
ฝูงชนที่อยู่รอบด้าน เหล่าคนที่อยู่ในศาลา และยังมีเซวียสิ่งชวนที่อยู่ในโรงน้ำชา ล้วนกำลังรอคอยคำตอบของเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงมองกระบี่ที่อยู่ในมือแวบหนึ่ง เลือดสดๆ ไหลลงจากตัวกระบี่ ไม่เหลือรอยเลือดแม้แต่หยดเดียว ตัวกระบี่กลับมาส่องประกายอีกครั้ง ไม่ได้แปดเปื้อนแม้แต่น้อย
กระบี่สั้นเล่มนี้เป็นศิษย์พี่อวี๋เหรินที่มอบให้กับเขา ในตอนนี้ภายในก็มีวิญญาณกระบี่มังกรครวญของเฉินเสวียนป้า
แต่ว่าอย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่เฉินเสวียนป้า อย่างไรเขาก็ต้องมีเจตจำนงกระบี่เป็นของตัวเอง
ตั้งแต่สวนโจวจนถึงพื้นที่ราบหิมะ ตั้งแต่เมืองสวินหยางจนถึงจิงตู ในที่สุดเจตจำนงกระบี่ของเขาก็สมบูรณ์
เช่นนั้นกระบี่เล่มนี้ก็ควรจะต้องมีชื่อของมันแล้ว
เฉินฉางเซิงลองคิดดู แล้วจึงพูดขึ้น “เรียกว่ามันว่า…ไร้ราคีก็แล้วกัน”