ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 20-2 กระบี่ก็เหมือนดั่งผู้ใช้ (ตอนปลาย)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ในรถม้าที่อยู่ถนนด้านนั้น ขุนนางผู้นั้นยังจดบันทึกอยู่ บนกระดาษได้เขียนไว้ว่า “จากการวิเคราะห์ข้อมูลจากเมืองสวินหยาง ซูหลีน่าจะถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้เฉินฉางเซิงสามอย่าง หนึ่งในนั้นสามารถช่วยทำให้เขาสามารถระเบิดปราณแท้ออกมาได้ในเวลาสั้นๆ ซึ่งมีอานุภาพมหาศาล เดิมทีคิดว่าเขาจะใช้เพลงกระบี่นี้ คาดไม่ถึงว่าระดับของโจวจื้อเหิงจะแย่ขนาดนี้ ถึงกับไม่สามารถบีบให้เขาใช้เพลงกระบี่นี้ออกมาได้”

ในรถยังมีขุนนางอยู่อีกคน และเขาเองก็มาจากกรมอาญาเช่นกัน พลันพูดเสริมขึ้นมาที่ด้านข้าง “เป็นไปได้ว่ากระบี่สั้นของเฉินฉางเซิงนั้นคมเกินไป”

ขุนนางที่ถือพู่กันอยู่ผู้นั้นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “แต่กระบี่เล่มนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่มีการสั่นไหวของไอพลังปราณใดๆ เลย แค่เพียงความคมก็พอแล้วหรือ”

ขุนนางผู้นั้นไม่อาจยืนยันได้ นอกจากพวกศาสตราเทพในตำนานเหล่านั้น ยังจะมีกระบี่อะไรที่สามารถแทงผ่านร่างของผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาวได้อย่างง่ายดายเช่นนี้

บนถนนในตอนนี้เงียบเชียบอย่างมาก สายตาของทุกคนล้วนอยู่บนกระบี่ที่อยู่ในมือของเฉินฉางเซิงเล่มนั้น

กระบี่สั้นเล่มนั้นดูแล้วแสนจะธรรมดาเป็นอย่างมาก แต่ใครก็รู้ กระบี่เล่มนี้ไม่มีทางธรรมดาอย่างที่เห็นเป็นแน่

จิตรกรที่มาจากหอความลับสวรรค์ผู้นั้น มือขวาที่กำลังจับพู่กันของเขากำลังสั่นเทา เป็นเวลานานอย่างมากแล้วที่ไม่ได้วาดภาพร่างภาพที่สามออกมา

เขานั้นตกตะลึงจนถึงขีดสุดแล้ว ต้องรู้ว่าหอความลับสวรรค์มีหน้าที่ประเมินและคัดเลือกอันดับร้อยศาสตรา แน่นอนว่าสายตาของเขาไม่ธรรมดา เมื่อมองเพียงแวบเดียวก็สามารถมองออกว่ากระบี่สั้นของเฉินฉางเซิงเล่มนั้นไม่ธรรมดา

ใช่ กระบี่เล่มนั้นไม่มีการสั่นไหวของไอพลังปราณใดๆ และมีเพียงความแหลมคมเท่านั้น

แต่ไม่ว่าเป็นสิ่งใดก็ตาม หากพัฒนาไปถึงขีดสุดแล้ว ก็จะน่ากลัวเป็นอย่างมาก

กระบี่เล่มหนึ่งถ้าหากสามารถคมจนถึงระดับที่ยากจะจินตนาการ ไหนเลยจะยังต้องการอย่างอื่นอีก กระทั่งไอพลังปราณของเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่มเข้าไปก็ไม่ต้องการแล้ว

ที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกตกตะลึงก็คือ กระบี่สั้นเล่มนั้นของเฉินฉางเซิงเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของเก่า

“ไร้ราคี…” จิตรกรของหอความลับสวรรค์ผู้นั้นคิดอย่างตกตะลึง “หรือว่าอันดับร้อยศาสตราในปีนี้จะมีชื่อใหม่ปรากฏขึ้นมาแล้ว”

……

……

ผลการประลองหน้าประตูสำนักฝึกหลวงในครั้งนี้ ไม่นานก็กระจายไปทั่วจิงตู เทียนไห่เฉิงอู่นั่งอยู่ที่ชั้นบนสุดของหอเฉิงหู เขามองดูภาพทิวทัศน์ภูเขาและทะเลสาบที่งดงาม อยู่ๆ ก็รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา แต่ว่าเขาเป็นบุคคลสำคัญระดับไหน เพียงครู่เดียว ก็สามารถตั้งสติขึ้นมาได้ใหม่ และคิดขึ้นอย่างสงบ “ที่แท้ก็มีความแข็งแกร่งในการสังหารผู้ที่อยู่ระดับขั้นสูงกว่าแล้ว เช่นนั้นก็ก้าวต่อไปเถิด ตระกูลเทียนไห่ของข้าเป็นประมุขของสี่สมุทร มีผู้แข็งแกร่งในสังกัดนับไม่ถ้วน ข้าอยากจะเห็นนัก สำนักฝึกหลวงจะสามารถฝึกเจ้าสำนักหนุ่มผู้นี้ไปได้นานแค่ไหน”

หลังจากนั้นเขาก็มองลูกน้องที่คุกเข่าอยู่หน้าห้อง แย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “ข้าไม่อยากกินแล้ว เจ้ากินอาหารที่อยู่บนโต๊ะให้หมด อย่าปล่อยให้เสียเปล่า”

ลูกน้องผู้นั้นเงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหัน เขามองดูอาหารบนโต๊ะนับสิบจาน และยังมีกุ้งมังกรสีครามตัวยักษ์จานนั้นอีก เขานึกหวาดกลัวว่าจะกินให้หมดได้อย่างไร เทียนไห่เฉิงอู่พลันเก็บรอยยิ้ม ลุกขึ้นเดินออกจากหอเฉิงอู่ ตอนที่เดินผ่านลูกน้องผู้นั้น เขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ถ้าหากกินไม่หมด คนทั้งตระกูลเจ้าก็ไม่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว”

……

……

ทะเลสาบของสำนักเทียนเต้าเองก็สงบและงดงาม เพียงแต่ข้างทะเลสาบไม่มีโรงสุรา มีเพียงก้อนหินกับต้นหลิวเท่านั้น

เจ้าสำนักจวงยืนอยู่ใต้กิ่งหลิว มองดูเงาหลังของกวนไป๋ เตรียมที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ถอนหายใจเท่านั้น

ทันใดนั้นก็มีนักเรียนของสำนักเทียนเต้าหลายคนพุ่งเข้ามา กวนไป๋หยุดเท้าลง และหันหน้ากลับไปมอง

“เฉินฉางเซิงชนะแล้ว!” นักเรียนของสำนักเทียนเต้าที่อยู่ไกลออกไปตะโกนมาทางเจ้าสำนักจวง ในเวลาเดียวกันก็มองมาทางกวนไป๋ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเลื่อมใส

ก่อนหน้านี้กวนไป๋เพียงแค่มองภาพร่างนั้นแวบเดียว ก็สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเฉินฉางเซิงจะต้องชนะ สายตาและความรู้ระดับนี้ ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ที่ทำให้พวกเขาคาดไม่ถึงคือ เมื่อได้ยินข่าวที่เฉินฉางเซิงชนะ คิ้วกระบี่ของกวนไป๋กลับเลิกขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง เพราะเขาไม่คิดว่าเฉินฉางเซิงจะชนะได้รวดเร็วขนาดนี้

เขาดูถูกเพลงกระบี่ของโจวจื้อเหิงอย่างมาก และให้ความสำคัญกับเฉินฉางเซิง แต่อย่างไรทั้งสองคนก็มีระดับขั้นต่างกันถึงหนึ่งขั้นเต็มๆ เดิมทีคิดว่าต่อให้เฉินฉางเซิงชนะก็จะต้องอาศัยการควบคุมจิตของนิกายหลวงไปจนถึงเจตจำนงกระบี่ที่แน่วแน่ไม่เป็นสองรองใคร ผ่านการต่อสู้ที่ยากลำบาก ถึงจะได้รับชัยชนะในตอนสุดท้าย แต่…ตั้งแต่ที่ได้เห็นภาพร่างของกระบี่แรกมาถึงตอนนี้ เขาเพียงแค่พูดคุยกับเจ้าสำนักจวงที่ข้างทะเลสาบแค่ไม่กี่ประโยค ในเวลาสั้นๆ นี้ เฉินฉางเซิงก็เอาชนะได้แล้วหรือ

“เขาใช้เพลงกระบี่อะไร” กวนไป๋ถามขึ้น

“ไม่รู้” นักเรียนของสำนักเทียนเต้าไม่กี่คนนั้นส่ายหัว หลังจากนั้นก็รีบส่งภาพร่างภาพที่สองที่เพิ่งส่งมาให้กับกวนไป๋

กวนไป๋รับภาพร่างแผ่นนั้นมา ได้เห็นเพียงเส้นจำนวนนับไม่ถ้วนบนกระดาษ วุ่นวายจนยากจะบรรยายออกมา

“ดูจากภาพ ทั้งสองฝ่ายน่าจะใช้กระบี่หลายกระบวนท่าถึงจะเป็นท่านจากหอความลับสวรรค์ผู้นั้นก็ยังวาดได้ไม่ชัดเจน เพียงแต่เวลานี้จะคิดอย่างไรก็ไม่ถูก”

นักเรียนสำนักเทียนเต้าผู้หนึ่งพูดขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

กวนไป๋มองเส้นที่ทั้งบางทั้งละเอียดนับร้อยเส้นบนกระดาษนั้น ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “ไม่ใช่รอยกระบี่ แต่เป็นเขตแดนแห่งดวงดาว”

เหล่านักเรียนสำนักเทียนเต้าที่ได้ยินล้วนยิ่งตกตะลึง ในใจคิดว่าโจวจื้อเหิงใช้เขตแดนแห่งดวงดาวเร็วขนาดนี้เชียวหรือ เฉินฉางเซิงนั้นแข็งแกร่งขนาดไหนกัน ที่ยิ่งทำให้พวกเขาตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือ โจวจื้อเหิงใช้เขตแดนแห่งดวงดาวแล้ว เฉินฉางเซิงก็ยังเป็นฝ่ายชนะ เขาทำได้อย่างไรกัน

บนภาพร่างยังมีรอยพู่กันอีกเส้น ดูเหมือนจะหยาบแต่ก็จาง ดูเหมือนจะแห้งแต่ก็เต็มเปี่ยม แรงนั่นแทงทะลุไปถึงอีกด้านของกระดาษ

กวนไป๋มองรอบพู่กันเส้นนั้น ทันใดนั้น ดวงตาก็มีแสงกระบี่สายหนึ่งเป็นประกายขึ้นมา กิ่งหลิวที่อยู่ข้างกายถูกลมพัดจนกระจาย และขาดไปหลายสิบกิ่ง ตกลงไปสู่น้ำในทะเลสาบ

“เขายังใช้เพลงแค่กระบี่เดียว” เขาพูดขึ้น “กระบี่นี้…”

เขาไม่ได้พูดต่อ กลับส่ายหัว

ก่อนหน้านี้ที่ได้เห็นกระบี่แรกของเฉินฉางเซิง เขาพูดว่าเป็นกระบี่ที่ดี

ในตอนนี้ที่เขาเห็นกระบี่ที่สองของเฉินฉางเซิง เขาถึงกับพบว่าตนไม่รู้ว่าควรจะประเมินว่าอย่างไร

“ถึงแม้กระบี่ของเขาจะเร็ว แต่ภายในสิบปีนี้อย่างไรก็ไล่ตามเจ้าไม่ทัน”

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ้าสำนักจวงก็มาอยู่ที่ข้างกายเขามองเขาแล้วพูดขึ้น “ไยต้องรีบร้อนเช่นนี้ด้วย”

“เผ่ามารสามารถบุกใต้ได้ตลอดเวลา ข้าจะไปที่ด่านยงเสวี่ย สิบปีให้หลัง…บางทีข้าอาจจะตายไปแล้ว ดังนั้นก่อนที่จะออกจากจิงตู ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”

กวนไป๋พูดขึ้นอย่างสงบ “เพียงแค่นึกไม่ถึงว่า กระบี่ของเขาจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่คิดไว้ เช่นนี้แล้ว ข้าจะต้องไปดูให้เห็นกับตาแล้วจริงๆ”

เมื่อพูดประโยคนี้จบต้นหลิวที่ข้างทะเลสาบก็ไหวเบาๆ สายลมได้ฤดูร้อนพัดผ่าน เงาร่างของเขาพลันได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย

……

……

บรรยากาศโศกเศร้าในสำนักการศึกษากลางนั้นลดลงไปไม่น้อยตามข่าวการชนะของเฉินฉางเซิงที่ส่งต่อมา

ในห้องที่ลึกที่สุดของตำหนักใหญ่ห้องนั้น ลั่วลั่วกลับสงบนิ่งอย่างมาก เพราะว่านางไม่เคยสงสัยว่าเฉินฉางเซิงจะสามารถได้รับชัยชนะจากการประลองในครั้งนี้หรือไม่

เช่นเดียวกัน ใต้เท้ามุขนายกในห้องที่เต็มไปด้วยดอกเหมยก็สงบนิ่งอย่างมาก ราวกับว่ากำลังนอนหลับอยู่ก็ไม่ปาน

……

……

นักบวชของกระทรวงสิบสามชิงเหย้ากำลังทำการรักษาให้แก่โจวจื้อเหิง

โจวจื้อเหิงกุมหน้าอกที่หว่างนิ้วไม่มีเลือดสดๆ ไหลออกมาอีกแล้ว แต่ใบหน้าก็ยังซีดขาวราวกับแผ่นกระดาษก็ไม่ปาน

เขารู้ว่าเฉินฉางเซิงนั้นออมมือให้แล้ว เพราะว่ากระบี่สั้นที่แสนคมเล่มนั้น เมื่อครู่นี้แทงเฉียดหัวใจของเขาไป ระหว่างนั้นมีระยะห่างเพียงแค่ผมเส้นหนึ่ง

ขอเพียงมือของเฉินฉางเซิงสั่นเล็กน้อย หรือปล่อยปราณแท้ออกมาสักหน่อย เขาก็จะถูกทำลายแดนลี้ลับ และสิ้นชีพลงตรงนั้น

เขากำลังคิดถึงกระบี่ที่ก่อนหน้านี้เฉินฉางเซิงใช้ทำลายเขตแดนแห่งดวงดาวของตนเข้ามาอย่างยอดเยี่ยม โจวจื้อเหิงรู้สึกหวาดกลัวอย่างหาใดเปรียบ และพูดขึ้นด้วยเสียงที่สั่นเทา “นี่…เป็นกระบี่อะไรกันแน่”

ใช่ ที่เขาถามไม่ใช่กระบี่สั้นในมือของเฉินฉางเซิง ที่เขาถามคือเพลงกระบี่ที่เขาใช้

อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนในวิถีแห่งกระบี่ การพ่ายแพ้อย่างอนาถ ที่อยากรู้มากที่สุดก็คือสิ่งนี้

เฉินฉางเซิงรู้ว่าที่เขาถาม แน่นอนว่าไม่ใช่เพลงกระบี่สุดท้ายที่ตนใช้อย่างกระบวนท่าเสียงพิรุณยามราตรีนั่น แต่อยากจะรู้ว่าตนทำลายเขตแดนแห่งดวงดาวได้อย่างไร

แต่แน่นอนว่าเขาไม่มีทางทำการอธิบายอย่างละเอียดเกินไป จึงพูดเพียงแค่ว่า “นี่เป็นเพลงกระบี่ที่ผู้อาวุโสซูหลีถ่ายทอดให้กับข้า”

เมื่อได้ยินคำว่าซูหลีสองคำนี้ บนถนนที่เงียบสงบก็มีเสียงดังขึ้นมา เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนดังขึ้นมาอีกครั้ง

ที่แท้…เฉินฉางเซิงก็ใช้เพลงกระบี่ของซูหลี!

ในดินแดนต้าลู่มีผู้แข็งแกร่งอยู่นับไม่ถ้วน ไม่ต้องพูดถึงอันดับเหล่านั้นที่หอความลับสวรรค์ทำขึ้นมา ที่อยู่เหนือกว่าอันดับเหล่านั้น ยังมียอดฝีมือระดับโลกอีกมาก ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอ ล้วนเป็นสิ่งที่โลกมนุษย์สนใจมาโดยตลอด และก็เป็นเรื่องที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากที่สุด มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยถูกสงสัย และไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกัน เป็นความจริงที่ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ล้วนยอมรับ กระทั่งทิ้งไว้ในกาลเวลานับพันปี นี่ก็ยังคงเป็นบทสรุปของคนส่วนใหญ่

โจวตู๋ฟู วิถีดาบอันดับหนึ่ง

จักรพรรดิไท่จง วิถีหอกอันดับหนึ่ง

ซูหลี วิถีกระบี่อันดับหนึ่ง!

……

……

เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินฉางเซิง สายตาที่ทุกคนมองเขาล้วนไม่ค่อยถูกต้องแล้ว โดยเฉพาะคนในวิถีกระบี่ที่อยู่ในศาลาเหล่านั้น ก็ยิ่งมีอารมณ์ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด ทั้งอิจฉา ริษยา มึนงง โกรธแค้น ไม่อาจรวมเป็นหนึ่ง โจวจื้อเหิงก็ยิ่งรู้สึกเสียใจอย่างถึงที่สุด…ซูหลีถึงกับถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้เฉินฉางเซิง! ถ้ารู้แต่แรก เขาไหนเลยจะประมาทเช่นนี้!

ใช่ ในข้อมูลที่ตระกูลเทียนไห่ให้กับเขาก็เคยพูดถึง กระทั่งมีคนจำนวนมากในดินแดนต้าลู่ที่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองสวินหยาง แต่ยังคงไม่มีใครเชื่อว่าซูหลีจะถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้เฉินฉางเซิง เพราะว่าซูหลีนั้นหยิ่งยโสอย่างมาก สายตาก็สูงส่ง อีกทั้งการถ่ายทอดเพลงกระบี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ยิ่งไปกว่านั้น เฉินฉางเซิงก็เป็นผู้สืบทอดของนิกายหลวง ซึ่งเป็นศัตรูกับพรรคกระบี่เขาหลีซาน

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” โจวจื้อเหิงมองเฉินฉางเซิงแล้วพูดด้วยเสียโกรธแค้น “ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเอาชนะข้าได้อย่างไร!”

เฉินฉางเซิงได้ยินคำพูดนี้ จึงส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “ไม่ เท่าที่ข้ารู้ ในขั้นทะลวงอเวจีคนที่สามารถเอาชนะท่านได้ อย่างน้อยก็มีอยู่ห้าคน”

โจวจื้อเหิงมองสีหน้าของเขา รู้ว่าเขาไม่ได้กำลังพูดโกหก ความรู้สึกที่พ่ายแพ้ก็เข้มข้น สีหน้ามีความมึนงง ราวกับว่าเหม่อลอยไปแล้ว

เฉินฉางเซิงไม่สนใจเขาอีก และหันกายเดินไปทางประตูสำนักฝึกหลวง

มองดูเงาหลังของเขา ในฝูงชนมีเสียงตะโกนขึ้นมามากมาย มีที่ให้เขาพูดอะไรบางอย่าง และยังมีบางคนที่เข้ามาขอให้พูดชื่อแซ่ของทั้งห้าคนนั้นตรงๆ ชาวบ้านที่อยู่บนถนนในตอนนี้ล้วนมาเพื่อชมเรื่องสนุก แน่นอนว่าชอบความคึกคักมากที่สุด เมื่อได้ยินคำพูดสองประโยคสุดท้ายของเฉินฉางเซิงกับโจวจื้อเหิง แน่นอนว่าก็ต้องอยากรู้อย่างมาก ในสายตาของเขา ยังมีอัจฉริยะในขั้นทะลวงอเวจีพวกไหนอีก ที่สามารถทำได้เหมือนเขา สามารถข้ามขั้นเอาชนะผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาว

เฉินฉางเซิงไม่ได้พูดออกมา เดินฝ่าฝูงชนเข้าไปท่ามกลางการคุ้มกันของนักบวชพระราชวังหลี และกลับไปถึงที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง

ที่หน้าประตูสำนักมีรถม้าถูกเตรียมเอาไว้แล้ว โดยมีเซวียนหยวนผ้อเป็นผู้ขับ

รถม้าขับผ่านตรอกไป่ฮวา ผ่านฝูงชน มาจนถึงถนน

ผู้คนพากันมองรถม้าคันนี้ และประหลาดใจเป็นอย่างมาก สำนักฝึกหลวงเพิ่งจะได้รับชัยชนะแรกมา ก็จะออกไปข้างนอกแล้ว พวกเขาจะไปที่ไหนกัน

รถม้าของสำนักฝึกหลวงเคลื่อนมาถึงถนน และในตอนที่ขับผ่านศาลาก็หยุดลงอย่างกะทันหัน

ผ้าม่านของหน้าต่างรถถูกแหวกออก เผยให้เห็นใบหน้าของถังซานสือลิ่ว ทันใดนั้นก็ดึงดูดเสียงต้อนรับจากเด็กสาวในทันที

ถังซานสือลิ่วมองเด็กสาวเหล่านั้นแล้วแย้มยิ้มขึ้นมา หลังจากนั้นก็หันไปพูดกับพวกคนที่อยู่ใต้ศาลา “เมื่อวานเสียเวลาตั้งศาลาพังๆ กว่าสามชั่วยาม ช่างเสียเวลาจริงๆ”

ปลูกศาลาชมละคร ละครฉากนี้กลับแสดงเพียงไม่กี่นาที เทียบกับเวลาปลูกศาลายังน้อยกว่ามาก

นี่ช่างน่าหัวเราะอย่างมาก

ถังซานสือลิ่วไม่ชอบพวกคนที่มาชมละครเหล่านี้ ดังนั้นจึงจงใจให้เซวียนหยวนผ้อหยุดรถ เพื่อมาเยาะเย้ยพวกเขารอบหนึ่ง

คนสำคัญมากมายที่อยู่ใต้ศาลาล้วนมีสีหน้าดูไม่ได้ ผู้ดูแลของสี่โรงพนันใหญ่กลับไม่เปลี่ยนสีหน้า

ถังซานสือลิ่วปล่อยผ้าม่านลง มองไปที่กระบี่สั้นที่ข้างเอวของเฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้น “ไร้ราคี ชื่อนี้ไม่เลวเลย”

ตอนแรกที่อยู่โรงเตี๊ยมในสวนหลีจื่อ เขาอยากจะดูกระบี่เล่มนี้ แล้วถูกเฉินฉางเซิงปฏิเสธ ก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจมาโดยตลอด

ในที่สุดวันนี้เขาก็พอจะเข้าใจเหตุผลบางอย่างแล้ว

เฉินฉางเซิงไม่ค่อยมั่นใจความสามารถในการตั้งชื่อของตน จึงถามขึ้น “ไม่เลวจริงๆ หรือ”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “กระบี่ก็เหมือนดั่งผู้ใช้ ไม่เลวจริงๆ”

เฉินฉางเซิงแย้มยิ้มขึ้นมา เตรียมจะปล่อยมุกตลก อย่างเช่นผู้ใช้ก็เป็นเหมือนดั่งกระบี่

การเอาชนะโจวจื้อเหิงได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้จะอยู่ในการคาดการณ์ของเขา แต่อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องที่คู่ควรให้ดีใจ ตัวเขาในตอนนี้นั้นดีใจอย่างมาก

และก็เป็นในตอนนี้เอง สายตาของเขาได้มองผ่านผ้าม่านที่ถูกลมพัดให้เปิดขึ้น ไปอยู่ที่จุดหนึ่งในฝูงชนที่ข้างถนน

มีชายผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น รูปร่างสูงใหญ่ไม่ธรรมดา สีหน้าสงบเย็นชา ที่จอนผมมีเศษฝุ่นอยู่ ดูเหมือนว่าเพิ่งจะผ่านการเดินทางที่ยาวนานมา

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร รู้สึกเพียงแค่ว่าคนผู้นี้ก็เหมือนกระบี่ยาวที่อยู่ข้างกายเล่มนั้น สุขุมอย่างมาก แต่กลับอันตรายอย่างถึงที่สุด