แค่มองคนผู้นั้นในฝูงชนเพียงแวบเดียว ดวงตาของเฉินฉางเซิงก็รู้สึกเจ็บขึ้นมา ในตอนที่สายลมพัดผ่าน ผ้าม่านตกลงมาบดบังการมองเห็น ถึงจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอีก
เจตจำนงกระบี่ที่แสนจะทรงพลัง…เฉินฉางเซิงในหลายเดือนมานี้ได้เห็นยอดฝีมือมาไม่น้อย ในสวนโจวก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกับหมื่นกระบี่ ได้เดินทางร่วมกับซูหลี ระดับความอ่อนไหวต่อเจตจำนงกระบี่ จึงเหนือล้ำกว่าคนธรรมดาไปนานแล้ว เขาสามารถรับรู้ได้ เจตจำนงกระบี่ของคนผู้นี้ถึงแม้ว่าจะไม่อาจเทียบเท่ากับบุคคลสำคัญในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างจูลั่ว แต่ก็ยังคงน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ที่ยิ่งน่ากลัวกว่าก็คือ ในเจตจำนงกระบี่ของอีกฝ่ายยังมีจิตสังหารอยู่ด้วย และจิตสังหารสายนั้นก็ไม่ได้ทำการปกปิดเลยสักนิด กลับมุ่งตรงมาทางเขาอีกด้วย
“คนผู้นั้นเป็นใครกัน” เขาถามขึ้น
ถังซานสือลิ่วสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเขาเมื่อเค่อก่อนนั้น จึงเลิกม่านขึ้นมามุมหนึ่งแล้วมองออกไป และพบเงาร่างของชายผู้นั้นอย่างเป็นธรรมชาติ สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมาในทันที แล้วพูดขึ้น “เขาก็คือกวนไป๋”
เฉินฉางเซิงเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงได้ถามขึ้น “กวนไป๋แห่งสำนักเทียนเต้าผู้นั้นหรือ”
“ถูกต้อง” ถังซานสือลิ่วปล่อยม่านลง พลางหันหน้ากลับมาพูดกับเขา “หลังจากที่เรียนจบจากสำนักเทียนเต้า เขาก็เดินทางฝึกฝนมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าจะกลับจิงตูมาอย่างกะทันหัน เจ้าน่าจะชัดเจนดีว่าเหตุใดเขาถึงกลับมา”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “เขากับจวงห้วนอวี่สนิทกันมากหรือ”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “จวงห้วนอวี่ไม่ยอมรับการดูแลจากบิดาของตน หลังจากที่มาจิงตูแล้ว เจ้าสำนักจวงก็ฝากให้กวนไป๋ดูแลเขาเป็นเวลาหนึ่งปี ทั้งสองคนสามารถพูดได้ว่าสนิทกันราวกับพี่น้อง”
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไร้คำพูด ในตอนนี้ทุกคนล้วนคิดว่าจวงห้วนอวี่ถูกเขาบีบให้ตาย ถ้าหากกวนไป๋เห็นจวงห้วนอวี่เป็นดั่งพี่น้องจริงๆ เช่นนั้นก็สมเหตุสมผลแล้วที่จะมาแก้แค้น
“เขาน่าจะไม่ใช้ชื่อของการประลองระหว่างสำนักมาท้าประลองกับเจ้า” ถังซานสือลิ่วมองสีหน้าของเขา แล้วพูดขึ้น “อย่างไรเสียเขาก็เป็นยอดฝีมือในประกาศเซียวเหยา ไม่น่าจะไร้ยางอายเหมือนกับโจวจื้อเหิง”
เฉินฉางเซิงถามขึ้น “เช่นนั้นเจ้ารู้สึกว่าเขาจะใช้วิธีการใด”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ถ้าหากข้าคิดไม่ผิด เขาจะต้องให้เวลากับเจ้าหนึ่งปี”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจความหมายของคำพูดประโยคนี้
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ปีหน้าจะมีการประชุมใหญ่จู่สือ ถึงตอนนั้นเขาฆ่าเจ้า ใต้เท้าสังฆราชก็ทำอะไรไม่ได้ ต่อให้ต้องชดใช้ภายหลัง อย่างมากเขาก็แค่มอบชีวิตนี้คืนให้กับพระราชวังหลี”
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ก่อนหน้านี้ที่เขารู้สึกได้ถึงเจตจำนงกระบี่สายนั้น มันก็ได้บอกกับเขาแล้ว การคาดเดาของถังซานสือลิ่วนั้นเป็นไปได้อย่างมากจริงๆ
ถังซานสือลิ่วเห็นใจเขาอย่างมาก เป็นใครที่ถูกผู้แข็งแกร่งในประกาศเซียวเหยาสาบานว่าจะต้องฆ่าให้ตายภายใต้กระบี่โดยไม่เสียดายชีวิต ก็ล้วนจะต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก อีกทั้งเวลายังเป็นไปได้ว่าจะยืดไปถึงหนึ่งปี
เขาไม่อาจจะจินตนาการได้เลยว่าหากเรื่องเช่นนี้มาเกิดขึ้นกับตัวเขา หนึ่งปีนี้จะผ่านไปได้อย่างไร
แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเฉินฉางเซิงจะมีประสบการณ์อย่างมากกับการรับแรงกดดันเช่นนี้ และเผชิญหน้ากับเงามืดเช่นนี้ ดังนั้นเพียงแค่ไม่นาน สีหน้าของเขาก็กลับเป็นปกติแล้ว
ถังซานสือลิ่วมองการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของเขา ก็คาดไม่ถึงอยู่บ้าง และก็กังวลว่าเขาจะแสร้งทำเป็นมั่นคง เพื่อเปลี่ยนเรื่อง
“ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว” เขามองเฉินฉางเซิงแล้วถามขึ้นอย่างจริงจัง “เมื่อครู่เจ้าพูดกับโจวจื้อเหิงว่า อย่างน้อยก็มีคนที่อยู่ในขั้นทะลวงอเวจีสามารถเอาชนะเขาได้ คือห้าคนไหนกัน”
เมื่อครู่มีคนมากมายที่ได้ยินคำพูดนี้ นี่ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนสนใจมากที่สุด
“ข้ารู้ว่าไม่มีทางมีข้า” เมื่อเผชิญกับสายตาของเฉินฉางเซิง ถังซานสือลิ่วก็พูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ดังนั้นเจ้าไม่ต้องสนใจความรู้สึกของข้า”
เฉินฉางเซิงไม่ได้คิดนานนัก ก็เอ่ยพูดขึ้นมา “ชิวซานจวิน สวีโหย่วหรง แม่นางชูเจี้ยน โก่วหานสือ หนานเค่อ”
เห็นได้ชัดอย่างมาก นี่เป็นปัญหาที่ในตอนปกติเขาก็เคยคิดคำนวณมาหลายครั้งแล้ว
ในสายตาของเขา นอกจากตัวเขาแล้ว ทั้งห้าคนนี้ในตอนที่อยู่ในขั้นทะลวงอเวจี ล้วนมีความสามารถพอที่จะเอาชนะโจวจื้อเหิงที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นต้น
“ชิวซานจวิน สวีโหย่วหรง โก่วหานสือน่าจะมีความสามารถนี้ องค์หญิงเผ่ามารผู้นั้นเพียงแค่ได้ยินข่าวลือมา หลายวันก่อนได้ยินเจ้าเล่าว่าในสวนโจวนางซ้อมเจ้าเสียจนหน้าบวม อยู่ไม่สู้ตาย เช่นนี้แล้ว นางจะจัดการกับโจวจื้อเหิง แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่แสนจะสบาย เพียงแต่…แม่นางชูเจี้ยนคือใคร ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน”
ถังซานสือลิ่วประหลาดใจอย่างมากจึงมองเขาแล้วถามขึ้น
เกี่ยวกับเรื่องที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล เฉินฉางเซิงเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้กับลั่วลั่วเพียงผู้เดียว เขาไม่เคยพูดถึงอัจฉริยะสาวจากเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ผู้นั้นกับถังซานสือลิ่วมาก่อน
เมื่อได้ยินคำถามของถังซานสือลิ่วนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร เมื่อคิดถึงว่าแม่นางผู้นั้นตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เขาก็ยิ่งนิ่งเงียบไป
ถังซานสือลิ่วมองออกว่าอารมณ์ของเขาในตอนนี้ผิดปกติไปบ้าง จึงไม่ได้ถามต่อ และคิดว่าภายหลังค่อยหาเวลามาสอบถาม พลางถามขึ้น “ในตอนนี้พวกเรากำลังไปที่ไหน”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ไปรับคน”
……
……
มองดูรถม้าที่ค่อยๆ ไกลออกไป ผู้คนต่างเริ่มพากันวิพากษ์วิจารณ์ ทุกคนล้วนอยากรู้อย่างมากว่า เมื่อครู่เพิ่งจะจบการประลองที่เอาชนะข้ามขั้นพลังไปได้อย่างน่าตกตะลึง เหล่าเด็กหนุ่มของสำนักฝึกหลวงจะรีบไปที่ไหนกัน
คนงานที่รับหน้าที่ดูแลการก่อสร้างของสี่โรงพนันใหญ่เข้าไปสอบถามว่าจะให้รื้อศาลาหรือไม่ แต่กลับได้รับการปฏิเสธมา
โรงพนันเทียนจี๋มีอำนาจมากที่สุดในสี่โรงพนันใหญ่ มีภูมิหลังมากที่สุด สายตาของทุกคนจึงไปอยู่ที่ผู้ดูแลของพวกเขา
ผู้ดูแลผู้นั้นมองไปที่ผู้ดูแลของโรงพนันเทียนเซียงที่อยู่ไม่ไกลแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้น “ต่อจากนี้ยังมีอีกหลายรอบ ศาลาพังๆ นี้ แน่นอนว่าต้องเก็บเอาไว้ก่อน”
ไม่มีใครมีความเห็น เพราะว่าทุกคนล้วนเข้าใจแล้ว
กฎใหม่ของนิกายหลวงได้ออกมาแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ยังมีคนอีกมากในต้าลู่ที่จะเข้ามาท้าประลองกับสำนักฝึกหลวง
ชัยชนะของเฉินฉางเซิงในวันนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะถึงจุดจบแล้ว นี่เพิ่งจะเป็นการเริ่มต้น
บนโลกมนุษย์มีเรื่องราวมากมาย ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตหรือการทำงาน ไหนเลยจะจบลงอย่างง่ายดายขนาดนั้น โดยมากแล้ว ล้วนเป็นการทำซ้ำไปซ้ำมาอย่างน่าเบื่อหน่าย
ยกตัวอย่างเช่นขุนนางกรมอาญาสองคนที่อยู่ในรถม้าตรงหัวถนนคันนั้น เมื่อครู่เพิ่งจะจบการบันทึกและวิเคราะห์เบื้องต้นเกี่ยวกับการประลองในวันนี้ ต่อมาก็ยังต้องทำงานของตนต่อ
หลังจากที่รถม้าของสำนักฝึกหลวงออกไปแล้ว รถม้าคันนี้ก็ค่อยๆ ขยับ และไล่ตามอยู่ไกลๆ
รถทั้งสองคันวิ่งอยู่บนถนนในจิงตู โดยที่คันหนึ่งอยู่หน้าคันหนึ่งอยู่หลัง
ตลอดทางข้อมูลจำนวนนับไม่ถ้วนจากสายลับของกรมอาญาที่วางไว้ทั่วจิงตู ก็ส่งมาถึงรถคันหลัง
ขุนนางกรมอาญาทั้งสองคนนั้นเองก็สงสัยอย่างมาก รถม้าของสำนักฝึกหลวงที่อยู่ตรงหน้าคันนั้นจะไปที่ไหนกัน แน่นอน นอกจากความอยากรู้แล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ พวกเขาจำเป็นต้องรู้ถึงการเคลื่อนไหวและเป้าหมายของอีกฝ่าย
รถม้าของสำนักฝึกหลวงไม่ได้อ้อมทาง ไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดเส้นทางของตนแต่อย่างใด ดังนั้นจึงสามารถสะกดรอยตามได้อย่างราบรื่น
แต่ขุนนางทั้งสองคนบนรถม้าคันหลังนั้น ใบหน้ากลับเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ ความตกตะลึงในแววตาเองก็มากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขาจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าเส้นทางนี้ช่างคุ้นเคยอย่างมาก
เพราะว่าทุกเช้าที่พวกเขาตื่นขึ้นมา ก็ล้วนต้องผ่านทางเส้นนี้เพื่อไปทำงาน
ถ้าหากรถม้าของสำนักฝึกหลวงคันนั้นยังเดินหน้าต่อ เช่นนั้นก็จะไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง
สถานที่แห่งนั้นเรียกว่าจวนตระกูลโจว และก็เรียกว่าคุกโจว
แน่นอน ที่นั่นยังมีอีกชื่อหนึ่งที่เป็นทางการยิ่งกว่า ‘กรมอาญาแห่งต้าโจว’