ตอนที่ 508 ผู้ชักใยเบื้องหลัง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ทุกคนต่างก็คิดกันไปว่าฉินอวี้โม่ถูกอสูรหมาป่ายักษ์โจมตีเข้าไปอย่างจัง ทว่าสิ่งที่เห็นในตอนนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาคิดผิดไปอย่างสิ้นเชิง

เมื่อได้เห็นสีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านของฉินอวี้โม่ในตอนนี้ แน่นอนว่าพวกเขาตกตะลึงอย่างที่สุด

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สร้างความประหลาดใจนั้นมิใช่เพราะฉินอวี้โม่ไม่มีรอยขีดข่วนใด ๆ หากแต่เป็นเพราะตำแหน่งที่นางปรากฏตัวในตอนนี้

เดิมทีนางกำลังเผชิญหน้ากับเฝินชวี่ ทว่าก็ถูกล้อมไว้โดยเฝินชวี่และอสูรหมาป่าของเขาจากทั้งสองทิศทาง ในช่วงเวลานี้ ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด นางจึงปรากฏกายขึ้นมาข้างหลังเฝินชวี่อย่างน่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้ในขณะที่สีหน้ายังคงสงบนิ่ง

สำหรับบรรดาผู้ที่ชมการต่อสู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ที่อยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนหรือว่าขอบเขตเซียนขั้นเก้า สิ่งหนึ่งที่เหมือน ๆ กันคือพวกเขาไม่เห็นว่าฉินอวี้โม่หายตัวไปและปรากฏกายข้างหลังเฝินชวี่ได้อย่างไร อีกทั้งพวกเขาคิดไม่ออกเลยว่านางหลีกเลี่ยงการโจมตีเมื่อครู่นี้ได้อย่างไร

หรือว่าพลังความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่บรรลุจนถึงระดับที่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของนางได้ ?

ทุกคนมองฉินอวี้โม่ด้วยความไม่อยากเชื่อและแววตาบ่งบอกถึงความสงสัยใคร่รู้อย่างชัดเจน พวกเขาต่างก็ต้องการทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่เสียเวลาอธิบายกับผู้ใด นางเพียงมองเฝินชวี่ด้วยแววตาเย็นชาพร้อมกับจิตสังหารที่แผ่ออกจากร่าง

แน่นอนว่าก่อนหน้านี้นางคาดเดาการเคลื่อนไหวของเฝินชวี่ได้อย่างแม่นยำ

แรกเริ่มเดิมที เฝินชวี่วางแผนที่จะตรึงรั้งฉินอวี้โม่ไว้และสั่งให้หมาป่าตาขาวโจมตีนางในขณะที่นางกำลังรับมือกับเขาอยู่ ด้วยวิธีนี้ ไม่เพียงแต่เขาจะประหยัดพลังงานได้มากเท่านั้น ทว่าเขาก็อาจจะได้โอกาสในการสั่งสอนฉินอวี้โม่และสังหารนางไปเสีย

เพียงแต่วิชาอสนีบาตของฉินอวี้โม่บรรลุถึงระดับที่สมบูรณ์แบบแล้ว ไม่ต้องกล่าวเลยว่าความเร็วของนางรวดเร็วจนแม้แต่จอมยุทธ์ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นต้นหรือแม้กระทั่งจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุดก็อาจเทียบไม่ติด

เพราะเหตุนั้น ภาพติดตาที่เกิดขึ้นเบื้องหลังเมื่อครู่จึงทำให้เฝินชวี่คิดไปว่าการโจมตีของหมาป่าตาขาวกระทบถูกตัวนางไปแล้ว ทั้งที่ความเป็นจริงคือนางหายตัวไปและแอบปรากฏกายข้างหลังตัวเขาเอง

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในชั่วพริบตาเท่านั้น หากผู้ใดจับตาดูนางอย่างไม่ละสายตา มันก็มิอาจซ่อนจากคนผู้นั้นได้ ทว่าเป็นเพราะการปะทะของทั้งสองฝ่ายก่อนหน้านี้ สายตาทุกคู่จึงจับจ้องไปที่ศูนย์กลางการปะทะส่งผลให้ไม่มีใครจับสังเกตทุกฝีก้าวของฉินอวี้โม่

“เฝินชวี่ ในเมื่อนี่เป็นการโจมตีของตัวเจ้าเอง จงรับผลไปเสียเถอะ”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากขณะกระบี่ปีกจักจั่นกลับคืนมาอยู่ในมือของตน อย่างไรก็ตาม พลังมหาศาลที่หมาป่ายักษ์ใหญ่ปลดปล่อยออกมาเมื่อครู่นี้ก็ยังมิได้จางหายไปและมันพุ่งตรงไปยังเฝินชวี่อย่างรวดเร็ว

สีหน้าของนายน้อยหุบเขากรุ่นกำยานเปลี่ยนไปทันทีและเขาเข้าใจดีว่าอสูรมายาของตนโจมตีด้วยพลังทั้งหมดโดยไม่ออมแรงแม้แต่น้อย หากการโจมตีของมันกระทบถึงตัวเขา ต่อให้เขาจะไม่ตาย เขาก็จะต้องบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่

เฝินชวี่ต้องการหลบเลี่ยงพลังมหาศาลตรงหน้าโดยเร็วที่สุดและพุ่งตัวออกไปทันที

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ยอมปล่อยให้เขามีโอกาสนั้น กระบี่ปีกจักจั่นในมือของนางเริ่มโจมตีอีกครั้งและขวางกั้นทางหนีของเฝินชวี่

ตู้มมม !

พลังมหาศาลกระทบร่างของเฝินชวี่จนเขากระเด็นออกไปกระแทกกับแท่นยกสูงก่อนร่วงลงพื้นอย่างแรง

พรวดดด !

หลังกระอักเลือดคำโตออกมา ใบหน้าของเฝินชวี่ก็ซีดเผือดทันที

“ข้ากล่าวไว้แล้ว…เจ้าไม่มีทางรับมือกับข้าได้เกินสิบกระบวนท่า ตอนนี้มันก็เพิ่งจะสองกระบวนท่าเท่านั้นเอง”

ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาผิดปกติขณะมองเฝินชวี่ซึ่งมีสภาวะพลังอ่อนแอบนพื้นและไม่หลงเหลือความสามารถในการต่อสู้อีกต่อไป

“ฮ่า ๆ ๆ ถึงข้าจะแพ้ แต่เจ้าก็อาจจะไม่ชนะเช่นกัน”

แม้ทรุดอยู่บนพื้น เฝินชวี่ก็ยังยิ้มเยือกเย็นขณะมองคู่ต่อสู้ด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร

ฉินอวี้โม่เพียงสัมผัสได้ว่าร่างของตนถูกล้อมรอบด้วยพลังมหาศาลและแรงกดดันที่ทรงพลังก็กดทับลงมาจนนางรู้สึกอึดอัดไม่น้อย

จากนั้นร่างของเฝินเมี่ยเทียนก็ปรากฏข้างหลังนางอย่างรวดเร็วจนไม่ทันสังเกตเห็น ตอนนี้ก้อนแสงสว่างจ้าปรากฏในมือของเขาและปล่อยตรงมาที่ร่างของฉินอวี้โม่อย่างจัง

ทันทีที่เฝินชวี่พ่ายแพ้ไป เฝินเมี่ยเทียนก็พบจังหวะที่เหมาะสม เขาทราบดีว่าในอึดใจนั้นฉินอวี้โม่จะวางใจและประมาทไปชั่วขณะ เพราะเหตุนั้นเขาจึงชิงลงมือทันที ตราบใดที่ควบคุมฉินอวี้โม่ได้เพียงไม่กี่อึดใจและการโจมตีของเขาไปถึงตัวนาง เขามั่นใจว่าสตรียโสโอหังผู้นี้จะต้องตายอย่างแน่นอน

“ผู้นำหุบเขากรุ่นกำยาน เหตุใดจึงดูร้อนรนใจนัก ?”

เมื่อเห็นการโจมตีของตนครอบงำฉินอวี้โม่ รอยยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจก็ปรากฏบนใบหน้าของเฝินเมี่ยเทียน แต่ทว่า…ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยสิ่งใดออกไป เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง

“เจ้า…”

เขาหันขวับไปมองอย่างรวดเร็วและสร้างม่านป้องกันรอบตัว แววตาของเฝินเมี่ยเทียนในตอนนี้มองฉินอวี้โม่ด้วยความหวาดหวั่น

“เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก !”

ฉินอวี้โม่จ้องหน้าเฝินเมี่ยเทียนและกล่าวอย่างเยือกเย็นจนน่าขนลุก นางทราบดีตั้งแต่ต้นแล้วว่าอีกฝ่ายจะฉวยโอกาสในช่วงนี้และแน่นอนว่าได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว

ไม่ต้องกล่าวถึงอสูรมายากลุ่มใหญ่ที่จับตาดูสถานการณ์อยู่ไม่ห่างด้วยซ้ำ ตอนนี้คฤหาสน์เฟิงหัวของนางก็เป็นทางหนีทีไล่ที่ดีที่สุด นางหลบหลีกการโจมตีของเฝินเมี่ยเทียนโดยการเข้าไปในคฤหาสน์ล่องหนโดยตรง จากนั้นนางก็ปรากฏตัวขึ้นมาข้างหลังเฝินเมี่ยเทียนโดยที่ไม่คิดที่จะโจมตีแต่อย่างใด ทว่าต้องการเพียงเยาะเย้ยเขาเท่านั้น

“ไร้ยางอายและน่ารังเกียจจริง ๆ ผู้นำหุบเขากรุ่นกำยานเป็นคนชั่วช้าที่น่ารังเกียจอย่างที่สุด !”

ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเมื่อครู่เกิดขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคนที่เฝ้ามอง เดิมทีเมื่อเฝินชวี่เสียท่าพ่ายแพ้ไป พวกเขาก็คิดว่าหุบเขากรุ่นกำยานจะยอมรับความพ่ายแพ้อย่างจริงใจดังที่กล่าวไว้ ไม่คิดเลยว่าเฝินเมี่ยเทียนจะไม่ยอมรับความจริงและถึงขั้นลงมือลอบโจมตีฉินอวี้โม่เช่นนี้ หากมิใช่เพราะความแกร่งกล้าของนางและการเตรียมการไว้ล่วงหน้า นางก็อาจพลาดท่าให้กับเฝินเมี่ยเทียนไปแล้ว

“ข้าพลาดไปเข้าร่วมกับขุมกำลังเช่นนี้ตั้งแต่แรกได้อย่างไรกัน ? มองผิดไปจริง ๆ !”

ศิษย์สาวกของหุบเขากรุ่นกำยานคนหนึ่งกล่าวด้วยความไม่พอใจ จากนั้นเขาก็ถอดตราสัญลักษณ์ของหุบเขากรุ่นกำยานออกอย่างไม่ไยดี

“จากวันนี้ไป… ข้าขอลาออกจากการเป็นส่วนหนึ่งของหุบเขากรุ่นกำยานและข้ามิใช่สมาชิกของขุมกำลังชั่วช้านี้อีกต่อไป”

เขาได้เห็นธาตุแท้ของเฝินเมี่ยเทียนและเฝินชวี่อย่างประจักษ์ชัดเจนแล้ว และการอยู่ต่อในหุบเขากรุ่นกำยานจะเป็นการทำให้ตนเองเสื่อมเสียและแปดเปื้อนมลทินไปด้วย

เมื่อมีคนแรกริเริ่ม แน่นอนว่าต้องมีคนที่สองและคนที่สามตาม ๆ กันไป ภายในเวลาเพียงสั้น ๆ ยกเว้นเพียงคนหัวรั้นหัวแข็งเพียงไม่กี่คน สมาชิกหุบเขากรุ่นกำยานทั้งหมดในที่นี้ล้วนถอนตัวลาออกจากขุมกำลังชั่วร้ายอย่างพร้อมใจกัน

พวกเขาต่างก็ต้องการเป็นผู้แข็งแกร่ง ทว่าไม่มีใครต้องการแกร่งกล้าภายใต้การปกครองของผู้นำที่ไร้ยางอายเช่นนี้ หากต้องทำเช่นนั้น พวกเขาขอเลือกที่จะฝึกยุทธ์ด้วยตัวเองอย่างช้า ๆ และค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้นด้วยตนเองจะดีเสียกว่า

ใบหน้าของเฝินเมี่ยเทียนเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบ ๆ เขาหันขวับไปมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาชิงชังอย่างชัดเจน

ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของเจ้าฉินอวี้โม่สตรีบัดซบผู้นี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่หุบเขากรุ่นกำยานของเขาจะล่มสลายไปชั่วพริบตาเช่นนี้

“ฉินอวี้โม่ ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้ !”

สภาวะพลังในร่างของเฝินเมี่ยเทียนพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในพริบตา พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นมาจนถึงสภาวะพลังสูงสุดของขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงซึ่งเข้าใกล้ขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุดเต็มที

เฝินเมี่ยเทียนไม่รอช้าและพุ่งตรงเข้าไปจับตัวฉินอวี้โม่ด้วยมือเปล่าทันที เวลานี้อสูรมายาของเขาถูกเรียกตัวออกมาและโจมตีไปที่ฉินอวี้โม่เช่นกัน

“เฝินเมี่ยเทียน คนของหุบเขากรุ่นกำยานหาเรื่องและสร้างปัญหาให้กับข้าก่อน ไม่ว่าตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้น เจ้าก็กล่าวโทษข้าไม่ได้ และการที่เจ้าต้องการจะฆ่าข้า นั่นก็เป็นความปรารถนาของตัวเจ้าเอง ไม่ต้องพยายามหาข้ออ้างอื่นใดให้ฟังดูสวยหรู”

ฉินอวี้โม่กล่าวเสียงเย็นชาขณะทรงตัวนิ่งอยู่กับที่อย่างไม่ทุกข์ร้อน

แม้ความแข็งแกร่งในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงจะทำให้นางหวาดหวั่นในใจ นางก็ไม่มีความกลัวเกรงต่อเฝินเมี่ยเทียนผู้นี้ หากงัดเอาไพ่ตายทั้งหมดออกมาใช้ เฝินเมี่ยเทียนก็ไม่มีทางสังหารนางได้ง่าย ๆ

“เฝินเมี่ยเทียน เจ้าคนชั่วช้า วันนี้เรามาประจันหน้ากันสักหน่อยเถอะ ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะมีความสามารถเพียงใด !”

ฉินเฟิงและซวงเสวี่ยพุ่งตรงไปข้างหน้าฉินอวี้โม่เพื่อขวางกั้นการโจมตีของเฝินเมี่ยเทียนไว้

เดิมทีพวกเขาก็ต้องการลงมือตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว หากมิใช่เพราะการห้ามปรามของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็คงลงมือจัดการกับเฝินเมี่ยเทียนไปด้วยตัวเองแล้ว

“ซวงเสวี่ย คนขี้แพ้อย่างเจ้าจะทำอะไรข้าได้ ?!”

เฝินเมี่ยเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นฉินเฟิงและซวงเสวี่ยซึ่งปรากฏกายอย่างกะทันหัน ทว่าเขามิได้หยุดยั้งแต่อย่างใด

เขารู้สึกได้ว่าบุรุษทั้งสองแข็งแกร่งพอสมควร หากซวงเสวี่ยและฉินเฟิงร่วมมือกัน ผลแพ้ชนะก็อาจจะไม่ได้ถูกตัดสินในเวลาอันสั้น

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในตอนนี้ดำเนินมาถึงจุดที่หันหลังกลับไม่ได้แล้ว เว้นเพียงแต่…

เฝินเมี่ยเทียนชำเลืองมองไปที่หลงจื้อซึ่งอยู่บนแท่นยกสูง เมื่ออีกฝ่ายพยักศีรษะตอบเบา ๆ หัวใจของเขาก็สงบลงเล็กน้อย

ฉินอวี้โม่จับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของเฝินเมี่ยเทียนอยู่แล้ว และแน่นอนว่านางเห็นสายตาของเขาที่มองไปยังหลงจื้ออย่างมีความหมายแอบแฝงรวมถึงการพยักศีรษะเบา ๆ ของหลงจื้อ

อย่างไรก็ตาม นางไม่รีบร้อนที่จะกล่าวสิ่งใดออกไป นางต้องการเห็นว่าหลงจื้อผู้นี้ต้องการทำสิ่งใดกันแน่ ?

ก่อนหน้านี้เรือนเฟิงเสวี่ยของนางสืบทราบข่าวมาว่าเฝินเมี่ยเทียนมีความสัมพันธ์เครือข่ายใกล้ชิดกับจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าคนหนึ่ง ซึ่งฉินอวี้โม่ก็จดจำเรื่องนี้ไว้ขึ้นใจอยู่เสมอ

วันนี้นางจึงจงใจวางแผนเพื่อให้ได้ทราบว่าขุมกำลังที่ให้การสนับสนุนและชักใยอยู่เบื้องหลังเฝินเมี่ยเทียนคือผู้ใดกันแน่

คนผู้นั้นมิใช่อู่ซิงอย่างแน่นอน หากผู้ที่ให้การสนับสนุนเฝินเมี่ยเทียนคืออู่ซิง เขาก็คงไม่เป็นมิตรกับนางเช่นเดิม เพราะเหตุนั้น ไม่ว่าจะเป็นหลงจื้อหรือเซิ่งเซียว ทั้งสองต่างก็มีโอกาสที่จะเป็นศัตรู อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่คิดที่จะลงมือทำสิ่งใดจนกว่าจะทราบจุดประสงค์ของหลงจื้อและเซิ่งเซียวอย่างแน่ชัดเสียก่อน

เดิมทีฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้สงสัยว่าหุบเขากรุ่นกำยานมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนจากภูมิภาคกลาง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่ผ่าน ๆ มากับหุบเขากรุ่นกำยานก็ทำให้นางรู้สึกแปลกประหลาดอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ดินแดนทางเหนือก็มั่นคงมาเนิ่นนานหลายปีซึ่งถือเป็นสิ่งที่น่าสงสัยพอสมควรเช่นกัน

หากมิใช่เพราะใครบางคนหรือบางกลุ่มจงใจชักใยอยู่เบื้องหลัง สถานการณ์ในดินแดนทางเหนือก็คงจะไม่เป็นเช่นนี้

เป็นเพราะสิ่งนี้ ฉินอวี้โม่จึงสืบข่าวคราวเกี่ยวกับภูมิภาคกลาง แม้ว่าดินแดนทางเหนือจะเทียบชั้นกับภูมิภาคกลางไม่ได้ มันก็ยังเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่ หากผู้ใดมีดินแดนทางเหนืออยู่ในการครอบครอง มันก็จะสร้างผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างแน่นอน

ฉินอวี้โม่ไม่เชื่อว่าคนจากภูมิภาคกลางจะไม่สนใจเกี่ยวกับดินแดนทางเหนือแห่งนี้ และนางก็ไม่เชื่อว่าสาเหตุที่ภูมิภาคกลางเมินเฉยต่อสถานการณ์ในดินแดนทางเหนือตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เพราะพวกเขาทำอะไรไม่ได้

เพราะเหตุนั้น ฉินอวี้โม่จึงสืบจนทราบว่าหุบเขากรุ่นกำยานมีส่วนเกี่ยวข้องกับขุมกำลังใหญ่บางแห่งจากภูมิภาคกลาง ในงานชุมนุมดินแดนเหนือครานี้ จุดประสงค์ประการแรกของนางคือการคว้าตำแหน่งผู้ปกครองของดินแดนทางเหนือมา และประการที่สองก็คือเปิดโปงผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังหุบเขากรุ่นกำยาน

เฝินเมี่ยเทียน ซวงเสวี่ยและฉินเฟิงประจันหน้ากันด้วยกระบวนท่านับสิบกระบวนท่าทันที และเห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้อย่างสูสีเท่าเทียม

อย่างไรก็ตาม ทั้งซวงเสวี่ยและฉินเฟิงก็กำลังยั้งมือไว้ภายใต้คำสั่งของฉินอวี้โม่ พวกเขาจึงไม่ได้ทุ่มเทอย่างสุดกำลัง ในขณะเดียวกัน เฝินเมี่ยเทียนก็ยังคงยั้งมืออยู่เช่นกัน สถานการณ์นี้จึงยากที่จะระบุได้ว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่าการเดินทางมาดินแดนทางเหนือครานี้จะได้รับชมเรื่องที่สนุก ๆ เช่นนี้”

ในที่สุด… หลงจื้อก็ยืนขึ้นและกล่าวอย่างใจเย็น

ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา บุคคลทรงพลังหลายร้อยชีวิตก็ปรากฏตัวล้อมรอบลานจัตุรัสของเมืองฉางอานไว้อย่างรวดเร็ว

.