“หลงจื้อ เจ้าคิดจะทำอะไร?!”
สีหน้าของอู่ซิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้เขาคาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าหลงจื้อน่าจะแอบกระทำการบางอย่างไว้ เขาก็ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะทำสิ่งใดอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้
“อู่ซิง เจ้ายังดูไม่ออกอีกงั้นรึ?”
เมื่อได้ยินวาจาของอู่ซิง สีหน้าท่าทางของหลงจื้อก็ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยขณะกล่าวตอบโต้ “เรื่องในวันนี้ เจ้าควรจะตัดสินใจอย่างชาญฉลาด มิฉะนั้นข้าก็ไม่รังเกียจที่จะจัดการเจ้าไปด้วยกัน”
น้ำเสียงของหลงจื้อฟังดูโอหังอย่างยิ่งแสดงให้เห็นว่าทุกอย่างเป็นแผนที่เขาวางไว้ตั้งแต่แรก
และมันก็เป็นจริงดังนั้น สถานการณ์ในตอนนี้เป็นสิ่งที่ถูกบงการชักใยโดยหลงจื้อผู้นี้ หุบเขากรุ่นกำยาน—ขุมกำลังอันดับหนึ่งในดินแดนทางเหนือนั้นแท้จริงแล้วเป็นสาขาหนึ่งของนิกายหงส์มังกรที่ก่อตั้งขึ้นในพรมแดนทางเหนือของดินแดนเทพมายาโดยมีจุดประสงค์เพื่อหาโอกาสผนึกกำลังดินแดนทางเหนือและทำให้ทั้งดินแดนแห่งนี้กลายเป็นตัวช่วยที่สำคัญสำหรับนิกายหงส์มังกร
จากแผนการเดิมของพวกเขา ในงานชุมนุมดินแดนเหนือครานี้ หุบเขากรุ่นกำยานจะอาศัยความแข็งแกร่งของพวกเขาเพื่อรับตำแหน่งผู้ปกครองของดินแดนทางเหนือและผนึกกำลังขุมกำลังทั้งน้อยใหญ่ทั้งหมด เพียงแต่พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าเรือนเฟิงเสวี่ยจะโผล่ขึ้นมาอย่างกะทันหันและทำลายแผนการของพวกเขา
หากมิใช่เพราะเรือนเฟิงเสวี่ยที่ปรากฏขึ้นมาในดินแดนนี้อย่างกะทันหัน ทุกอย่างก็จะดำเนินไปตามแผนการของพวกเขาและหลงจื้อก็ไม่จำเป็นจะต้องเปิดเผยจุดประสงค์ของนิกายหงส์มังกร ทว่าค่อยๆดำเนินตามแผนการไปทีละน้อย
ต้องกล่าวเลยว่าแผนการของนิกายหงส์มังกรยอดเยี่ยมและครอบคลุมมากทีเดียว
ทว่าน่าเสียดายที่ไม่ว่าแผนการแนวคิดเหล่านั้นจะยอดเยี่ยมเพียงใด มันก็มิอาจสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
“เหอะ เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวเจ้าอย่างนั้นรึ?!”
อู่ซิงแค่นเสียงเย็นชาและสีหน้าไม่แสดงถึงความหวาดหวั่นใดๆ แม้ว่านิกายหงส์มังกรเตรียมการมาอย่างดี นั่นก็มิได้หมายความว่าวิหารทมิฬของเขาจะอยู่เฉยโดยไม่ลงมือทำอะไร ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็อยู่ที่นี่ทั้งคนและอู่ซิงเชื่อว่านางจะต้องมีวิธีการตอบโต้อย่างแน่นอน
“ไม่กลัวก็ดี แต่อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้าก่อนก็แล้วกัน”
หลงจื้อเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยและแรงกดดันมหาศาลจากร่างของเขาแผ่ออกมาจนผู้อ่อนแอโดยรอบเริ่มรู้สึกอึดอัดไม่น้อย
“ฮ่าๆๆ ทุกคนจงฟังให้ดี หุบเขากรุ่นกำยานเป็นสาขาหนึ่งของนิกายหงส์มังกรในดินแดนทางเหนือนี้ ในงานชุมนุมครานี้ เป้าหมายของเราคือการผนึกกำลังดินแดนทางเหนือทั้งหมดและทำให้มันกลายเป็นไพ่ตายใบสำคัญของนิกายหงส์มังกร หากทุกคนให้ความร่วมมือแต่โดยดีและเชื่อฟังนิกายหงส์มังกรของเรา ทุกคนจะได้รับผลประโยชน์ที่คาดไม่ถึงอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม หากมีผู้ใดต่อต้านขัดขืนอย่างดื้อรั้น จากนั้นก็อย่าหาว่าพวกเราไม่ปรานีก็แล้วกัน”
วาจาของเขาเจือด้วยคำข่มขู่เล็กน้อยซึ่งส่งผลให้สีหน้าของหลายคนในที่นี้เหยเกอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจของหลงจื้อเป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น นิกายหงส์มังกรและอารามโชติช่วงก็เป็นขุมกำลังที่ร่วมมือกันตั้งแต่แรก เพราะเหตุนั้น การตัดสินใจของนิกายหงส์มังกรย่อมเป็นการตัดสินใจที่อารามโชติช่วงสนับสนุนอย่างแน่นอน จากนั้นก็เหลือเพียงอู่ซิง แม้ว่าเขาไม่ถูกกับนิกายหงส์มังกรและอารามโชติช่วง ทว่าพลังของเขาเพียงคนเดียวก็มิอาจเอาชนะการร่วมมือกันของอีกฝ่ายได้ หากเขาฉลาดพอ เขาทราบดีว่าไม่ควรประจันหน้ากับนิกายหงส์มังกรและอารามโชติช่วง จากสิ่งนี้บ่งบอกได้ว่าสถานการณ์ของดินแดนทางเหนือในตอนนี้ถือว่าเลวร้ายอย่างยิ่ง
สายตาของทุกคนเลื่อนไปโดยสัญชาตญาณและจับจ้องไปยังฉินอวี้โม่ อู่หลิวเฟิงและฮั่วชิงซานก็ยังไม่เอ่ยกล่าวสิ่งใดออกมา ตอนนี้หุบเขากรุ่นกำยานก็เป็นฝ่ายเดียวกับนิกายหงส์มังกรแล้ว หากขุมกำลังทรงพลังที่มีสถานะสูงสุดในดินแดนทางเหนือของทั้งสามยอมจำนนแต่โดยดี คนธรรมดาๆอย่างพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกใด…
ตู้มมม!
เฝินเมี่ยเทียนซึ่งอยู่กลางอากาศเหวี่ยงฝ่ามือฟาดเข้าใส่ฉินเฟิงและซวงเสวี่ยอย่างจังก่อนแยกตัวออกไปโดยเร็ว
หลังจากเหาะตรงไปหาหลงจื้อ เฝินเมี่ยเทียนก็กวาดสายตามองชาวดินแดนทางเหนือมากมายและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เป็นอย่างไร พวกเจ้าคงจะไม่คาดคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน? พวกเจ้าแอบร่วมมือกันเพื่อโค่นล้มหุบเขากรุ่นกำยาน เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าหุบเขากรุ่นกำยานของเราจะมีนิกายหงส์มังกรที่คอยหนุนหลังอยู่!”
ใบหน้าและน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความยโสโอหัง หากมิใช่เพราะนิกายหงส์มังกรที่คอยหนุนหลัง หุบเขากรุ่นกำยานของเขาจะโอหังและกล้ายกตนข่มทุกคนในดินแดนทางเหนือได้อย่างไร? บัดนี้เมื่อนิกายหงส์มังกรประกาศจุดยืนต่อหน้าทุกคนแล้ว แน่นอนว่าเขาก็ไม่ต้องปิดบังอีกต่อไป เขาเพียงหวังว่าในอนาคตข้างหน้า นิกายหงส์มังกรจะเห็นความดีและมอบผลประโยชน์ตอบแทนเขาอย่างงาม
เมื่อเห็นท่าทีโอหังและวางท่าของเฝินเมี่ยเทียน แววตาของทุกคนก็บ่งบอกถึงความรังเกียจและดูหมิ่นทันที ในฐานะชาวพื้นเมืองของดินแดนทางเหนือ เขาทรยศดินแดนบ้านเกิดและเข้าร่วมกับขุมกำลังจากภูมิภาคกลาง หากมิใช่เพราะพวกเขายังขาดพลังความแข็งแกร่ง พวกเขาก็คงจะไม่อยู่เฉยและรีบพุ่งตรงไปอัดเฝินเมี่ยเทียนอย่างป่าเถื่อนเป็นแน่
“อู่หลิวเฟิง ฮั่วชิงซาน พวกเจ้าจะตัดสินใจอย่างไร? พวกเจ้ายังอยากที่จะสู้กับพวกเราและนิกายหงส์มังกร หรือจะยอมจำนนแต่โดยดี? นี่คือโอกาสที่พวกเจ้าจะรอดชีวิตไปได้”
ในเมื่อหลงจื้อนิ่งเฉยและไม่กล่าวสิ่งใด เฝินเมี่ยเทียนจึงถือโอกาสนี้มองไปยังฮั่วชิงซานและอู่หลิวเฟิงพร้อมกล่าวบีบบังคับให้ทั้งสองเลือกฝ่าย
“ฮ่าๆๆ คิดจะให้นิกายเพลิงแดงเดือดของข้าทรยศดินแดนทางเหนืองั้นรึ? ฝันไปเถอะ ต่อให้เราต้องตายในวันนี้ เราก็ไม่มีทางยอมเป็นเบี้ยล่างของนิกายหงส์มังกร!”
ฮั่วชิงซานกล่าวโดยไม่ลังเลและน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นหนักแน่น ดินแดนทางเหนือคือบ้านของพวกเขาและหากยอมจำนนต่อนิกายหงส์มังกร หลังจากนี้พวกเขาก็จะต้องทำตามคำสั่งทุกอย่างของนิกายหงส์มังกร นั่นเป็นสิ่งที่ฮั่วชิงซานไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อเสียงของนิกายหงส์มังกรในภูมิภาคกลางก็ไม่ได้ดีนัก เขาไม่มีทางยอมจำนนต่อขุมกำลังเช่นนี้อย่างแน่นอน
“เจ้าไม่รู้จริงๆว่าสิ่งใดคือสิ่งที่ดีกับขุมกำลังของเจ้า”
เมื่อได้ยินการตัดสินใจแน่วแน่ของฮั่วชิงซาน เฝิยเมี่ยเทียนก็แค่นเสียงในลำคอและกล่าวอย่างไม่แยแส เขาตั้งตารอคำตอบของฮั่วชิงซานเพื่อที่จะได้ใช้มันเป็นข้ออ้างเพื่อจัดการกับผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดผู้นี้เสีย รวมถึงระบายความชิงชังที่มากมายในใจ
“อู่หลิวเฟิง แล้วเจ้าล่ะ?”
เฝินเมี่ยเทียนหันไปมองอู่หลิวเฟิงและเอ่ยถาม
ผู้นำนิกายอู่ซานผู้นี้เป็นบุคคลที่ประจบและแอบอิงผู้มีอิทธิพลมาเสมอ อีกทั้งยังรักตัวกลัวตาย เฝินเมี่ยเทียนจึงเชื่อว่าเขาจะจำนนต่อนิกายหงส์มังกรแต่โดยดีและรับใช้อย่างเต็มใจ
อย่างไรก็ตาม เฝินเมี่ยเทียนคิดผิดไปอย่างสิ้นเชิง
อู่หลิวเฟิงส่ายศีรษะและกล่าว “แม้ข้าจะกลัวตาย ข้าก็ไม่ยินยอมตกเป็นเบี้ยล่างของขุมกำลังในภูมิภาคกลางหรอก การที่นิกายหงส์มังกรต้องการจะยึดอำนาจทั้งหมดของดินแดนทางเหนือ มันก็ไม่ต่างจากการที่พวกเขาจะใช้งานพวกเราเหมือนกับสุนัขรับใช้ ในฐานะคนพื้นเมืองของที่นี่ ข้าไม่มีทางทนมองเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นแน่ ต่อให้ข้าต้องจบชีวิตลงที่นี่ ข้าก็ไม่ยอมให้คนจากภูมิภาคกลางเข้ามาทำให้ดินแดนทางเหนือของเราแปดเปื้อน!”
น้ำเสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและหนักแน่น เขากล่าวออกไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
แม้อู่หลิวเฟิงยอมรับว่าเขารักตัวกลัวตาย เขาก็ไม่ยอมทนเห็นดินแดนทางเหนือกลายเป็นวายร้ายที่คอยรับใช้ขุมกำลังชั่วร้ายจากภูมิภาคกลาง ยิ่งไปกว่านั้น สาเหตุที่เขายอมรับและร่วมมือกับฉินอวี้โม่ก็เป็นเพราะเสน่ห์ความน่าสนใจของนาง ในทางกลับกันชื่อเสียงของนิกายหงส์มังกรเสื่อมเสียพอสมควรและเขาไม่ยอมจำนนต่อคนสกปรกเหล่านั้น
“ดี ดี ดีเลย!”
เมื่อได้ยินการตัดสินใจของผู้นำนิกายอู่ซาน เฝินเมี่ยเทียนก็กัดฟันแน่นและกล่าวออกไปซ้ำๆสามครั้ง
“ผู้อาวุโสหลงจื้อ คนพวกนี้หัวรั้นเกินไป มันจะเป็นการดีที่สุดหากเราฆ่าคนพวกนี้ไปตามแผนการก่อนหน้านี้ของพวกเรา!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลงจื้อก็พยักศีรษะ ในความจริงเขาก็ตัดสินใจไว้แล้ว ตราบใดที่ควบคุมผู้ที่ทรงพลังและแข็งแกร่งของดินแดนทางเหนือได้ เขาก็ไม่กังวลว่าคนอื่นๆจะไม่ยอมจำนน ในฐานะผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายหงส์มังกร แน่นอนว่าเขามั่นใจในศักยภาพของตนเองในการปกครองดินแดนแห่งนี้
“ฮ่าๆๆ พวกเจ้ามั่นใจว่าจะชนะแน่นอนรึ?”
จู่ๆฉินอวี้โม่ก็หัวเราะเบาๆ เมื่อครู่นางมองดูเฝินเมี่ยเทียนราวกับชมเรื่องตลกขบขันโดยไม่เอ่ยปากกล่าวสิ่งใด ทว่าแท้จริงแล้วนางกำลังไตร่ตรองหาวิธีการตอบโต้อยู่
ต้องยอมรับว่าหลงจื้อเตรียมการมาดี แม้ว่าผู้ติดตามที่มากับเขาจะไม่มากนัก พวกเขาทั้งหมดก็เป็นจอมยุทธ์มากฝีมือ แม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาก็อยู่ในขอบเขตเซียนขั้นเก้าซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย นอกจากนี้ยังมีจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งที่เป็นจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียน
แม้ว่าฝ่ายดินแดนทางเหนือมีจำนวนมากกว่า ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ด้อยกว่ามาก ในดินแดนทางเหนือแห่งนี้มีจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนน้อยกว่าสิบคนและมีจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนขั้นเก้าประมาณหลายสิบคนเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆที่เหลือนั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึง หากต้องการยืนหยัดเพื่อประจันหน้ากับฝ่ายนิกายหงส์มังกรจริง พวกเขาจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในไม่ช้า
แม้ว่าฉินอวี้โม่มีไพ่ตายซ่อนไว้มากมายหลายอย่าง ทว่าหากนางเปิดเผยพวกมันทั้งหมดไป ด้วยความชาญฉลาดของหลงจื้อก็คงไม่ยากที่เขาจะคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของนางได้ เมื่อถึงตอนนั้น ตัวตนของนางจะรับรู้ไปทั่วและนั่นจะนำพาปัญหาที่ไม่รู้จบเข้ามา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นดินแดนทางเหนือที่กำลังจะตกไปอยู่ในมือของนิกายหงส์มังกรและทุกคนในดินแดนที่กำลังตกอยู่ในอันตรายนั้น ฉินอวี้โม่ก็มิอาจทนดูอยู่เฉยๆได้
“ฮ่าๆๆ วันนี้วิหารทมิฬของเราก็ขอเข้าร่วมเรื่องที่น่าสนุกนี้เช่นกัน ต่อให้พวกเจ้าจะได้เปรียบ ก็ไม่ใช่ว่าดินแดนทางเหนือจะไม่มีโอกาสเอาชนะได้ ตราบใดที่ทุกคนรวมกำลังกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเจ้าจะเอาชนะพวกเรา”
ร่างของอู่ซิงพุ่งตรงไปปรากฏกายถัดจากฉินอวี้โม่และกล่าวแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน อานเหยียน—เจ้าเมืองฉางอานก็มองเฝินเมี่ยเทียนด้วยแววตาหยามเหยียดและมุ่งไปอยู่ข้างฉินอวี้โม่เช่นกัน สีหน้าของเขาบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าจะอยู่ฝ่าฟันความเป็นความตายไปกับดินแดนทางเหนือแห่งนี้
“ฮ่าๆๆ อู่ซิง แสดงฝีมือของเจ้าให้ข้าได้ชมสักหน่อยเถอะ ข้าได้ยินมาว่าพลังความมืดของเจ้าบรรลุถึงระดับสูงสุดของการฝึกยุทธ์แล้ว สงสัยนักว่าเมื่อประจันหน้ากับพลังแห่งแสงของเรา ใครจะเป็นฝ่ายชนะ”
เซิ่งเซียวจากอารามโชติช่วงยืนขึ้นและเข้าร่วมความวุ่นวายนี้เช่นกัน ถึงอย่างไรแล้วพวกเขาก็เป็นพวกเดียวกับนิกายหงส์มังกรและมีความสัมพันธ์ดั่งพันธมิตร กล่าวได้ว่าทั้งสองขุมกำลังต่างก็เป็นขุมกำลังที่ทรงพลังและมากฝีมืออย่างยิ่ง เพราะเหตุนั้น ไม่ว่าการต่อสู้ในวันนี้จะเป็นไปในทิศทางใด นิกายหงส์มังกรจะไม่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
เนื่องจากคาดการณ์ไว้แล้วว่าอารามโชติช่วงจะเข้ามามีส่วนร่วมในไม่ช้าก็เร็ว อู่ซิงและฉินอวี้โม่จึงไม่แปลกใจแต่อย่างใด
“แม่นางอวี้โม่ ท่านมีแผนการอย่างไร?”
อู่ซิงขมวดคิ้วเล็กน้อยทว่าสื่อสารกับฉินอวี้โม่ผ่านทางกระแสจิตอย่างรวดเร็ว เขาทราบดีว่าฉินอวี้โม่มักมีแผนการเตรียมไว้อยู่เสมอและตอนนี้ก็น่าจะคิดแผนรับมือไว้แล้ว ก่อนหน้านี้นางก็เพียงต้องการรอให้หลงจื้อและคนอื่นๆเปิดเผยตัวซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าฉินอวี้โม่ค้นพบความจริงนี้มานานแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ยิ่งเชื่อมั่นว่านางมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ
“พี่อู่ซิง ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าคาดการณ์สถานการณ์เช่นวันนี้ไว้นานแล้ว ข้าจึงเตรียมการไว้ล่วงหน้าพอสมควร อย่างไรก็ตาม ครานี้นิกายหงส์มังกรส่งยอดฝีมือมามากเกินไปซึ่งเหนือความคาดหมายของข้าทีเดียว เพราะฉะนั้นข้าจึงต้องคิดไตร่ตรองว่าจะคว้าชัยชนะโดยหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตายให้ได้มากที่สุดอย่างไร”
ขณะนี้นางกำลังพิจารณาว่าควรที่จะใช้ไพ่ตายที่ซ่อนไว้หรือไม่
ทั้งสองฝ่ายไม่ริเริ่มการโจมตีก่อนและมีเพียงการมองหน้ากันไปมาระยะหนึ่ง หลงจื้อต้องการเห็นว่าฉินอวี้โม่วางแผนอย่างไรในขณะที่ฝ่ายดินแดนทางเหนือก็รอการตัดสินใจชี้ขาดของฉินอวี้โม่
ก่อนที่ฉินอวี้โม่จะรู้ตัว นางก็ได้กลายเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดของสงครามครานี้ไปเสียแล้ว
บรรยากาศในเมืองฉางอานคุกรุ่นและตึงเครียดอย่างยิ่ง เพียงแต่ทุกคนไม่ทราบเลยว่าข้างนอกเมืองฉางอานในเวลานี้มีค่ายกลเคลื่อนย้ายลึกลับปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันก่อนที่คนกลุ่มใหญ่จะกรูกันก้าวออกมา
ผู้นำกลุ่มคนเหล่านี้คือโฉมนารีงดงามนางหนึ่ง นางมองไปที่เมืองฉางอานเบื้องหน้าด้วยแววตาตื่นเต้นและคาดหวัง จากนั้นนางก็ออกเดินมุ่งหน้าไปยังตัวเมืองอย่างช้าๆ…