ตอนที่ 510 คุณหนูและสาวใช้พบกันอีกครา

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

สถานการณ์ในเมืองฉางอานตกอยู่ในสภาวะชะงักงันพักใหญ่

หลงจื้อเหลือบมองฉินอวี้โม่และจู่ๆก็หัวเราะเสียงดังออกมา

“ฉินอวี้โม่ เจ้าเป็นคนที่มากพรสวรรค์และมีฝีมือดีทีเดียว หากเจ้ายอมเข้าร่วมนิกายหงส์มังกรของเรา เจ้าจะได้รับการฟูมฟักและสนับสนุนอย่างเต็มที่ อนาคตของเจ้าจะไร้ขีดจำกัด เจ้าเป็นสตรีที่มีปัญญาเป็นเลิศและข้าเชื่อว่าเจ้าน่าจะรู้ว่าควรเลือกทางใด”

น้ำเสียงของหลงจื้อเจือด้วยคำข่มขู่และชักชวน เขารู้สึกว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้น่าสนใจอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น การที่สามารถเอาชนะเฝินชวี่ได้ภายในสองถึงสามกระบวนท่า พรสวรรค์ของฉินอวี้โม่ก็ไม่ด้อยไปกว่าศิษย์อันดับต้นๆของนิกายหงส์มังกรเลยสักนิด

เมื่อได้ยินวาจาของหลงจื้อ สีหน้าของเฝินเมี่ยเทียนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยทันที พรสวรรค์และความสามารถของฉินอวี้โม่ทำให้ตัวเขาหวาดหวั่นไม่น้อย สาเหตุที่เขาลงมือโจมตีนางนั้นเป็นเพราะเขารู้สึกได้ว่านางเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น บุตรชายของเขาก็ถือว่าเป็นคนที่มีฝีมือเช่นกัน หากฉินอวี้โม่เข้าร่วมนิกายหงส์มังกร เฝินชวี่ก็อาจไม่ได้รับการสนับสนุนและฝึกฝนจากนิกายหงส์มังกร นั่นเป็นสิ่งที่เฝินเมี่ยเทียนไม่ต้องการให้เกิดขึ้น

“ผู้อาวุโสหลงจื้อ นี่มัน…”

เขากำลังจะเอ่ยออกไปตามที่คิดทว่าดูเหมือนหลงจื้อจะคาดเดาความคิดของเขาไว้ก่อนแล้ว

“ผู้นำเฝิน ไม่ต้องกล่าวอะไรทั้งนั้น ข้ามีแผนการของข้าเอง อีกอย่าง..จงจำสถานะของตนเองไว้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ท่านไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงได้!”

หลงจื้อตวัดสายตามองเฝินเมี่ยเทียนอย่างเย็นชา ในสายตาของเขา เฝินเมี่ยเทียนผู้นี้เป็นได้เพียงหมากตัวหนึ่งในกระดานเท่านั้น ในเมื่อไม่มีคุณค่าใด ต่อให้จะถูกสังหารไป เขาก็จะไม่รู้สึกเห็นใจเลยสักนิด

เมื่อเห็นแววตาเยือกเย็นของหลงจื้อ เฝินเมี่ยเทียนก็สงบเสงี่ยมทันทีและไม่กล้ากล่าวอะไรออกไปอีก แววตาของผู้อาวุโสใหญ่แห่งนิกายหงส์มังกรน่าหวาดหวั่นยิ่งนักและมันยังเจือด้วยจิตสังหารที่มิอาจปกปิด เขามั่นใจเลยว่าหากยังดึงดันกล่าวออกไป หลงจื้อจะไม่ไว้หน้าและอาจถึงขั้นสังหารเขาเสีย

“ฮ่าๆๆ แล้วหากว่าข้าปฏิเสธล่ะ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆและกล่าวตอบหลงจื้อ แววตาของนางในตอนนี้มีเพียงความเฉยเมยไม่แยแส

“ฮ่าๆๆ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จะต้องถูกฆ่าตายไป เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นผู้มากพรสวรรค์ หากปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะกลายเป็นภัยต่อนิกายหงส์มังกรของเรา และนั่นมิใช่สิ่งที่เราอยากให้เกิดขึ้น!”

หลงจื้อกล่าวพร้อมยิ้มเย็นชาและจิตสังหารแผ่ออกมาอย่างเปิดเผย หากจอมยุทธ์มากพรสวรรค์อย่างฉินอวี้โม่ไม่ยอมผูกมิตรเป็นสหายกับนิกายหงส์มังกร เขาก็จะไม่ปล่อยให้นางได้มีชีวิตอยู่ต่อไป มิฉะนั้นในภายภาคหน้า นางอาจจะนำพาปัญหาไม่รู้จบมาสู่พวกเขา

เมื่อได้ยินคำตอบชัดเจนไม่ปิดบังของหลงจื้อ ฉินอวี้โม่ก็กระตุกยิ้มเยือกเย็นทันที นางกำลังจะกล่าวบางอย่างออกไปทว่าจู่ๆนางก็ได้ยินเสียงอุทานด้วยความตกใจ จากนั้นนางก็เห็นว่าเฝินเมี่ยเทียนซึ่งยืนนิ่งอยู่ก่อนหน้านี้กำลังมองไปข้างหลังนาง สีหน้าของเขาในตอนนี้ดูราวกับเห็นบางอย่างที่น่าประหลาดใจอยู่ข้างหลังนาง

หลังจากมองตามไปครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกถึงกลิ่นอายของคนกลุ่มใหญ่ตรงเข้ามาในเมืองฉางอานอย่างรวดเร็วจากข้างหลังตน กลิ่นอายของคนเหล่านั้นถือว่าแข็งแกร่งพอสมควรและพวกเขาไม่ได้หยุดชะงักเพียงเพราะสถานการณ์ตึงเครียดในลานจัตุรัส ทว่ายังคงมุ่งหน้าใกล้เข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง

สิ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่ประหลาดใจคือในกลุ่มคนจำนวนมากที่ตรงเข้ามานั้น มีกลิ่นอายที่นางคุ้นเคยอย่างประหลาดแผ่มาจากหนึ่งในคนเหล่านี้

“ใครกัน? นิกายหงส์มังกรของพวกเรากำลังจัดการปัญหาบางอย่างอยู่ที่นี่ อย่าเข้ามารบกวนเด็ดขาด!”

กลุ่มคนของนิกายหงส์มังกรก้าวออกไปหยุดกลุ่มคนเหล่านั้นไว้เพื่อป้องกันมิให้พวกเขาผ่านเข้ามา ปัญหาในวันนี้ยังไม่ได้รับการสะสางและพวกเขาไม่ทราบเลยว่ากลุ่มผู้ทรงพลังกว่าหลายสิบคนเหล่านี้มาจากที่ใด เพราะเหตุนั้นจึงไม่มีใครกล้าปล่อยให้พวกเขาผ่านเข้ามา

“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหากนางไม่ยินยอม เจ้าจะฆ่านางงั้นรึ?”

เสียงที่ฟังดูคุ้นเคยดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่ก่อนที่คนจากนิกายหงส์มังกรที่ขวางหน้าถูกซัดจนน่วมและกระเด็นออกไป จากนั้นกลุ่มคนหลายสิบคนก็ตรงเข้ามาหยุดข้างหลังฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าที่เย็นชา

หลงจื้อขมวดคิ้วมุ่นทันทีและมิอาจทราบได้เลยว่าคนเหล่านี้มาจากขุมกำลังใด เพียงแต่เขาสัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้ไม่ธรรมดาเลย อีกทั้งยังมีหนึ่งในนั้นที่เหนือชั้นยิ่งกว่าตัวเขาเสียอีก

เขากำลังจะเอ่ยถามตัวตนของคนเหล่านี้ ทว่าเมื่อได้ยินวาจาของสตรีผู้นำกลุ่ม เขาก็ตะลึงไปเล็กน้อย

“ฮ่าๆๆ เชื่อข้าเถอะ หากเจ้ากล้าแตะต้องนางแม้แต่ปลายผม ข้าจะขุดหลุมฝังพวกเจ้าทั้งหมดที่อยู่ที่นี่!”

น้ำเสียงเยือกเย็นจนน่าขนลุกดังขึ้นในหูของหลงจื้อจนทำให้เขาที่มักวางท่ายโสโอหังอยู่เสมอถึงกับหวาดหวั่นในใจ

“เจ้าเป็นใครกัน? ทางที่ดีอย่าเข้ามายุ่งเรื่องของนิกายหงส์มังกรจะดีกว่า มิฉะนั้น..หากเจ้าทำให้นิกายหงส์มังกรไม่พอใจขึ้นมา เชิญเจ้ารับความตายไปได้เลย!”

เฝินเมี่ยเทียนจ้องหน้าสตรีผู้นำกลุ่มและกล่าวอย่างฉุนเฉียวโดยไร้ซึ่งความหวั่นเกรง

แม้แต่ขุมกำลังทรงพลังอย่างนครเวหาที่แข็งแกร่งทัดเทียมกับนิกายหงส์มังกรก็ยังไม่กล้าวางท่ายโสโอหังต่อหน้าคนจากนิกายหงส์มังกรเช่นนี้ สำหรับผู้ที่ริอาจกล่าววาจาโอหังเช่นนี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่ตระหนักว่าแท้จริงแล้วนิกายหงส์มังกรทรงพลังเพียงใด!

“หนวกหูชะมัด!”

โฉมนารีร่างบางขมวดคิ้วเล็กน้อยและหันไปขยิบตาส่งสัญญาณให้กับบุรุษชราข้างกาย

ผลัวะ ผลัวะ ผลัวะ!

เสียงฝ่ามือกระทบเนื้อดังขึ้นสามครั้งในขณะที่เฝินเมี่ยเทียนถูกฝ่ามือทรงพลังฟาดเข้าอย่างจัง เขาไม่ทันเห็นด้วยซ้ำว่าผู้ที่ฟาดฝ่ามือเข้าใส่ตนคือผู้ใด นับประสาอะไรกับวิธีการของคนผู้นั้น

“พวกคนจากนิกายหงส์มังกรยโสโอหังถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?!”

บุรุษชรากล่าวขึ้นเบาๆราวกับไม่เห็นนิกายหงส์มังกรอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย หากเป็นคนที่ไม่รู้มาก่อนซึ่งได้ยินวาจาเช่นนี้ พวกเขาก็คงจะคิดว่านิกายหงส์มังกรเป็นเพียงขุมกำลังเล็กๆไร้พลังเท่านั้น

“เสี่ยวโร่ว ในที่สุดเราก็ได้พบกันอีกครั้ง”

ฉินอวี้โม่หันกลับไปอย่างช้าๆและแน่นอนว่าสตรีเจ้าของเสียงที่คุ้นเคยนั้นคือเสี่ยวโร่วผู้ที่แยกจากนางไปนานหลายปี

หลังจากผ่านเวลาไปหลายปี ดรุณีผู้อ่อนแอในตอนนั้นเติบโตกลายเป็นโฉมนารีงดงามชวนตะลึง นางสวมอาภรณ์สีเหลืองสดที่ดูสบายๆและไม่เป็นทางการจนเกินไป รอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าทำให้นางดูอ่อนโยนและแสดงถึงความสุขอย่างยิ่ง

“คุณหนู ในที่สุดข้าก็พบท่าน”

แม้ฉินอวี้โม่สวมผ้าคลุมบดบังใบหน้า เสี่ยวโร่วก็จำสตรีตรงหน้าได้ในทันที หยดน้ำใสเริ่มรื้นในขอบตาและนางโผเข้ากอดฉินอวี้โม่อย่างสุขใจ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาในดินแดนเทพมายา นางหมั่นฝึกฝนอย่างหนักด้วยหวังว่าจะแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุดเพื่อที่จะตามหาฉินอวี้โม่

ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ในหัวใจของเสี่ยวโร่วมีเพียงสามคนเท่านั้นที่นางรักและห่วงใยเป็นที่สุด อีกทั้งยังมองเป็นดั่งครอบครัวที่มีสายเลือดเดียวกัน

คนแรกคืออวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวปลอมที่ชุบเลี้ยงนางมาตั้งแต่ยังเด็ก อีกคนหนึ่งคือฉินอี้เฟยผู้ที่นางแอบคิดคำนึงถึงอยู่ในใจ ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือฉินอวี้โม่ผู้ที่อยู่ตรงหน้านางแล้วในตอนนี้

ในบรรดาคนทั้งสาม นางและฉินอวี้โม่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากที่สุดและมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมอบอุ่นต่อกันมากที่สุด นางทราบดีว่าฉินอวี้โม่จะต้องโศกเศร้าเพียงใดในตอนที่ต้องแยกจากกับตน และนั่นเป็นสิ่งที่นางโทษตัวเองมาตลอด

เพราะเหตุนั้น หลังเดินทางมาที่ดินแดนเทพมายาแห่งนี้และจัดการปัญหาบางอย่างได้ นางจึงเริ่มทุ่มเทกับการฝึกยุทธ์และพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองมาอย่างต่อเนื่อง

นางมั่นใจว่าวันหนึ่งคุณหนูผู้เป็นเหมือนพี่สาวแท้ๆของนางจะเข้ามาตามหานางที่นี่ ทว่านางเพียงหวังว่าจะได้ใช้ความแข็งแกร่งของตนเองเพื่อตามหาฉินอวี้โม่ก่อน บัดนี้ความหวังของนางเป็นจริงแล้ว นางได้พบกับฉินอวี้โม่ดังที่เฝ้ารอมานาน แล้วนางจะไม่มีความสุขได้อย่างไรกัน?

“เด็กโง่เอ๋ย เช็ดน้ำตาเสียเถอะ ทุกคนกำลังมองอยู่”

ฉินอวี้โม่มีความสุขอย่างยิ่งและขอบตาเริ่มรื้นด้วยน้ำตาแห่งความดีใจ นับตั้งแต่จุติมาในโลกใบใหม่นี้ เสี่ยวโร่วเป็นคนแรกที่นางได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยและเป็นเหมือนญาติแท้ๆคนหนึ่งที่สำคัญที่สุด นางพยายามฝึกยุทธ์อย่างเต็มที่โดยหวังว่าวันหนึ่งจะพบกับเสี่ยวโร่วอีกครั้ง ไม่คิดเลยว่าหลังจากไม่พบหน้ากันหลายปี เด็กสาวรับใช้คนเดิมคนนั้นจะเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นมากเพียงนี้

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าเสี่ยวโร่วจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทนมากมายตลอดเวลาที่ผ่านมา

หลังจากปาดน้ำตาที่ไหลรินจากดวงตาของอีกฝ่าย ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มอย่างมีความสุข

ใบหน้าของเสี่ยวโร่วในตอนนี้ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างและเมินเฉยต่อสายตาของทุกคนรอบตัว เนื่องจากไม่ได้พบหรือติดต่อกันมานานเหลือเกิน ตอนนี้นางจึงมีเรื่องราวมากมายที่ต้องการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับฉินอวี้โม่

“พวกเจ้าเป็นใครกัน?!”

เมื่อได้ยินเสี่ยวโร่วเอ่ยเรียกฉินอวี้โม่ว่า ‘คุณหนู’ หลงจื้อก็ชะงักไปเล็กน้อยและเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างในใจ ทว่าข้อสงสัยในใจเขาถูกปัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เพราะบุคคลผู้นั้นที่เขาตามหาไม่มีเด็กสาวรับใช้เช่นนี้

“เหอะ ข้ากำลังพูดคุยกับคุณหนูอยู่ และก่อนหน้านี้พวกเจ้าก็คิดจะทำร้ายคุณหนูของข้า..เจ้าพวกสารเลว!”

เสี่ยวโร่วแค่นเสียงเย็นชาก่อนหันไปกล่าวกับคนรอบตัว “อาหลิว คนพวกนี้ข้ายกให้เป็นหน้าที่ของท่าน จัดการพวกเขาโดยเร็วที่สุด ข้าไม่อยากเห็นพวกเขายืนเกะกะสายตาอยู่ที่นี่อีกต่อไป”

คำพูดของเสี่ยวโร่วฟังดูน่าเกรงขามอย่างยิ่งซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในตัวผู้ติดตามของตน ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากหลายปีที่ผ่านมา เด็กสาวรับใช้คนเดิมก็ได้กลายเป็นผู้ที่มีอำนาจควบคุมและจัดการสิ่งต่างๆด้วยตัวเองแล้ว

“ขอรับ คุณหนู”

ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘อาหลิว’ เป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีความแข็งแกร่งที่ฉินอวี้โม่มิอาจสัมผัสได้ เขาขยิบตาส่งสัญญาณให้กับคนของตนก่อนพุ่งออกไปโจมตีคนของฝ่ายหลงจื้อทันที

“ศิษย์พี่ ท่านไปช่วยพวกเขาเถอะ”

ฉินอวี้โม่หันไปกล่าวกับฉินเฟิง แม้นางยังไม่ทราบแน่ชัดเกี่ยวกับสถานะของเสี่ยวโร่วในตอนนี้ นางก็มั่นใจในตัวเด็กสาวอย่างเต็มเปี่ยม ฉินอวี้โม่เชื่อมั่นว่าในเมื่อเสี่ยวโร่วกล่าวเช่นนั้นหมายความว่าคนของนางสามารถจัดการคนอย่างหลงจื้อได้อย่างง่ายดาย

“เหอะ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าสิ่งใดที่จะทำให้พวกเจ้ายโสโอหังนัก!”

หลงจื้อแค่นเสียงเย็นชาและประจันหน้ากับอาหลิว คนอื่นๆก็พุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้เช่นกันและเริ่มปะทะกันอย่างดุเดือด

เซิ่งเซียวติดพันกับการประจันหน้ากับอู่ซิง ทั้งสองประจันหน้ากันอย่างไม่มีฝ่ายใดเสียเปรียบ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ยากที่จะบอกได้ว่าฝ่ายใดจะชนะหรือพ่ายแพ้

“ไม่คิดเลยว่าการที่เราเก็บตัวเงียบมานานหลายปี นิกายหงส์มังกรจะยโสโอหังจนถึงเพียงนี้ เห็นทีข้าต้องบอก ‘เขา’ เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อกลับไปและให้เขาหารือกับคนอื่นๆว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป”

ในขณะต่อสู้กัน อาหลิวก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงวางท่า

“พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?!”

หลังจากต่อสู้กันไประยะหนึ่ง หลงจื้อก็ไม่ได้ตกเป็นฝ่ายได้เปรียบแต่อย่างใด ทว่าในทางกลับกัน อาหลิวก็ผลักดันให้เขาต้องล่าถอยหลายครั้งหลายครา เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งที่เหนือชั้นกว่าตัวเขา

“ฮ่าๆๆ จงเบิกตาดูตราสัญลักษณ์นี้ให้ดีและจำไว้ว่ามิตรสหายและคนใกล้ชิดของคุณหนูของพวกเรา…ไม่ใช่คนที่พวกเจ้าจะท้าทายได้เด็ดขาด!”

อาหลิวยิ้มเยาะขณะหยิบป้ายหยกออกมาและให้หลงจื้อได้เห็นอย่างชัดเจน

เมื่อมองดูป้ายหยกตรงหน้า ใบหน้าของหลงจื้อก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันและแววตาแสดงถึงความหวาดหวั่น

แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงป้ายหยกธรรมดาที่ไม่มีพลังวิญญาณหรือสิ่งใดโดดเด่น เพียงแต่บนป้ายหยกแผ่นนั้นมีตราสัญลักษณ์หนึ่งที่เพียงพอจะทำให้ทุกขุมกำลังในดินแดนเทพมายารู้สึกหวาดหวั่นใจได้

“พวกเจ้าคือคนของตระกูลเหมย! หนึ่งในสี่ตระกูลลับ!”

หลงจื้อโพล่งออกไปด้วยความตกใจขณะก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็วและหยุดการต่อสู้

.