ตอนที่ 511 นิกายหงส์มังกรถอนกำลัง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ในดินแดนเทพมายา นอกเหนือจากขุมกำลังหลักๆเหล่านี้ยังมีขุมกำลังลึกลับอีกหลายแห่งที่ทรงพลังไม่น้อยไปกว่าพวกเขา โดยสี่ตระกูลลับก็เป็นขุมกำลังที่แกร่งกล้าจนเรียกได้ว่าเป็นระดับหัวกะทิของดินแดน

หากกล่าวถึง ‘ตระกูลลับทั้งสี่’ พวกเขาดำรงอยู่มาเนิ่นนานยิ่งกว่านิกายหงส์มังกรและวิหารทมิฬ ยิ่งไปกว่านั้น พลังอำนาจของตระกูลลับทั้งสี่ก็ยังเหนือกว่าขุมกำลังเหล่านี้อีกด้วย

เพียงแต่ทั้งสี่ตระกูลลับไม่เคยมีส่วนร่วมในการต่อสู้ของดินแดน แต่ละตระกูลของพวกเขาก็เหมือนจะอยู่ในมิติพิเศษบางอย่าง และในสถานการณ์ปกติ พวกเขาแทบไม่เคยออกมาให้ผู้ใดพบเห็น

หากไม่ได้เกิดสถานการณ์บางอย่างขึ้นในดินแดนซึ่งพวกเขาทุกคนต้องให้ความสนใจนั้น พวกเขาทั้งสี่ตระกูลก็ไม่เคยออกมาจากมิติพิเศษดังกล่าว

สำหรับตระกูลลึกลับทั้งสี่—ตระกูลหาน ตระกูลเหมย ตระกูลไป๋หลี่และตระกูลหลิว หากพวกเขาเลือกที่จะเข้าร่วมการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในดินแดนเทพมายา มันก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงทิศทางของสถานการณ์ในตอนนั้นได้

เมื่อทราบว่าเสี่ยวโร่วและคณะผู้ติดตามเป็นคนของตระกูลเหมย สีหน้าของหลงจื้อก็เหยเกอย่างยิ่งและคิ้วขมวดเป็นปม ทว่าเขายังไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก

“ในฐานะหนึ่งในสี่ตระกูลลับ ตระกูลเหมยไม่เคยเข้าแทรกแซงในเหตุการณ์ต่างๆของดินแดนเทพมายา บัดนี้การที่พวกท่านเข้ามายุ่งเรื่องของพวกเรา นั่นหมายความว่าพวกท่านคิดจะละเมิดสัญญาข้อตกลงจากตอนนั้นรึ?”

เซิ่งเซียวก้าวออกไปข้างหน้าและมองเสี่ยวโร่วพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา

เขาตระหนักดีว่าเสี่ยวโร่วผู้ถูกเรียกว่า ‘คุณหนู’ จะต้องมีสถานะสูงพอสมควรในตระกูลเหมย สมาชิกตระกูลทุกคนในที่นี้ก็แสดงท่าทีเคารพนางอย่างชัดเจน

ตระกูลลับทั้งสี่ทำสัญญาข้อตกลงกับดินแดนเทพมายาไว้เมื่อหลายปีมาแล้วโดยระบุว่าพวกเขาจะไม่เข้ามาแทรกแซงการต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ระหว่างขุมกำลังต่างๆของดินแดน เพราะเหตุนั้นเซิ่งเซียวจึงต้องการใช้เรื่องนี้เพื่อกดดันให้เสี่ยวโร่วถอนตัวออกไป

“เหอะ พวกเจ้าไม่ต้องใช้ข้ออ้างนั้นมากดดันข้าหรอก ครานี้ข้ามาเพื่อตามหาสหายของข้าเท่านั้น ที่ข้าต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ก็เพราะพวกเจ้าคิดจะรังแกและสังหารสหายของข้า ข้ามิได้มาที่นี่ในฐานะตัวแทนของตระกูลเหมย ฉะนั้นแล้วมันจึงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสัญญานั่น!”

เสี่ยวโร่วแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวออกไปขณะจิตสังหารในร่างแผ่ออกไปรอบตัวอย่างเปิดเผย หลังจากการฝึกยุทธ์อย่างจริงจังเป็นเวลานานและเผชิญเรื่องราวต่างๆทั้งเล็กใหญ่ในตระกูลเหมย นางก็มิใช่เด็กสาวอ่อนแอไร้เดียงสาอีกต่อไป วันนี้นางมีกลิ่นอายที่แผ่ความทรงพลังน่าเกรงขามและความทะนงตนในแบบของผู้สูงศักดิ์

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเสี่ยวโร่วและแอบถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ เมื่อเห็นเสี่ยวโร่วเติบโตขึ้นอย่างในตอนนี้ นางก็มีความสุขและยินดีกับเด็กสาวจากก้นบึ้งของหัวใจ

“เสี่ยวโร่ว เจ้าโตขึ้นมากจริงๆ”

เมื่อมองดูสตรีโฉมงามที่ไม่ด้อยไปกว่าตน ฉินอวี้โม่ก็อดถอนหายใจเบาๆและกล่าวออกไปไม่ได้

“คุณหนู ตอนนี้ข้าสามารถปกป้องคุณหนูและเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดของคุณหนูได้แล้วเจ้าค่ะ”

เสี่ยวโร่วกล่าวพร้อมยิ้มกว้าง แม้นางเปลี่ยนไปมากและแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก ทว่าความสัมพันธ์และมิตรภาพระหว่างนางและฉินอวี้โม่ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป

นางและฉินอวี้โม่เป็นทั้งญาติสนิท มิตรสหาย คู่หูและพี่น้องที่ดีต่อกันที่สุด แม้ตอนนี้นางเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเหมยซึ่งโดดเด่นและมีชื่อเสียงมาก อย่างไรก็ตาม ในหัวใจของนาง ฉินอวี้โม่ก็จะเป็นคุณหนูที่นางรักดั่งพี่สาวคนสนิทตลอดไปและตัวของนางจะยังเป็นเสี่ยวโร่ว ‘เด็กสาวรับใช้’ คนเดิมเสมอ

“ดูเหมือนว่าหลายปีที่ผ่านมานี้เจ้าจะทุ่มเทพยายามมาอย่างหนัก”

ฉินอวี้โม่เขย่ามือบางของเสี่ยวโร่วเบาๆพร้อมถอนหายใจ การที่เสี่ยวโร่วมีความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเช่นตอนนี้ นางคงต้องเผชิญเรื่องเลวร้ายและช่วงเวลาที่ยากลำบากมาตลอดหลายปี แน่นอนว่านั่นทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกหดหู่ขึ้นมาอย่างมิอาจควบคุม อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามีความหดหู่เหล่านั้นอยู่ ความรู้สึกยินดีกลับมากยิ่งกว่า การเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นต้องแลกด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง หากเสี่ยวโร่วยังคงติดตามนางอยู่ตลอด เด็กสาวก็คงจะไม่สามารถพัฒนาจนกลายเป็นสตรีมากพรสวรรค์ที่ไม่ด้อยไปกว่าฉินอวี้โม่เช่นนี้

“คุณหนู ข้าไม่ได้ทุ่มเทอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ ท่านต่างหากที่ทุ่มเทและพยายามมาอย่างหนักตลอดหลายปีมานี้”

เสี่ยวโร่วส่ายศีรษะเบาๆและดวงตาเริ่มแดงก่ำด้วยน้ำตาทว่ายังคงแสดงถึงความตื่นเต้นดีใจ

เมื่อเห็นเสี่ยวโร่วและฉินอวี้โม่พูดคุยกันอย่างสนิทสนมเหมือนมิใช่คนห่างไกล อีกทั้งยังเมินเฉยต่อทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ทุกๆคนที่อยู่ในที่นี้ก็ถึงกับพูดไม่ออกไปพักใหญ่ สีหน้าของหลงจื้อและเซิ่งเซียวในตอนนี้บูดบึ้งอย่างที่สุด หากมิใช่เพราะความแข็งแกร่งของคณะผู้ติดตามที่มากับเสี่ยวโร่วนั้น พวกเขาก็คงจะอดทนอดกลั้นไม่ไหวและลงมือสั่งสอนบทเรียนให้กับคนเหล่านี้ไปแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น แม้เสี่ยวโร่วกล่าวว่านางมิได้มาในฐานะตัวแทนของตระกูลเหมย ทว่าสถานะของนางในฐานะคนสำคัญของตระกูลเหมยก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หากเกิดสงครามขึ้นจริง พวกเขาจะต้องกลายเป็นศัตรูต่อตระกูลเหมยไปโดยปริยาย และหากผู้นำของพวกเขาทราบว่าตนเองสร้างปัญหาใหญ่ให้กับขุมกำลังเช่นนี้ พวกเขาจะต้องถูกตำหนิต่อว่าเป็นแน่แท้

เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลงจื้อก็เริ่มต้องการที่จะล่าถอยออกไป

แม้ว่าดินแดนทางเหนือเป็นกองกำลังที่สำคัญยิ่ง ทว่ามันก็ไม่คุ้มค่าที่จะเอาชีวิตมาเสี่ยงที่นี่ ตราบใดที่เขากลับไปและรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ต่อผู้นำนิกาย ท่านผู้นำจะไม่ถือโทษเขาอย่างแน่นอน

“เหอะ ถือว่าพวกเจ้าโชคดีไป ในเมื่อตระกูลเหมยเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ จากนั้นเราจะปล่อยให้พวกเจ้าได้ครองดินแดนทางเหนือไปก่อนชั่วคราว แต่อย่าเพิ่งดีใจไปล่ะ ต่อให้ดินแดนทางเหนือจะผนึกกำลังรวมกัน การที่คิดจะเอาชนะนิกายหงส์มังกรของพวกเรา มันก็มิใช่เรื่องง่าย!”

หลังจากกล่าวจบ หลงจื้อก็หันหลังกลับไปและนำคนของนิกายหงส์มังกรถอนกำลังไปอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่าเซิ่งเซียวไม่รอช้าและตามไปติดๆ ทว่าก่อนจากไป เขาก็ตวัดสายตากลับมามองฉินอวี้โม่อย่างแข็งกร้าวอีกครั้งพร้อมเผยรอยยิ้มครุ่นคิดบางอย่าง

เพียงเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเซิ่งเซียว ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที นางรู้สึกมาตลอดว่าเซิ่งเซียวอาจค้นพบตัวตนของนางแล้ว อย่างไรก็ตาม นางยังแอบมีความรู้สึกที่ขัดแย้งกันอยู่อีกอย่างหนึ่ง คือต่อให้เขาจะทราบว่านางเป็นใคร เขาก็จะไม่กล่าวบอกเรื่องนี้กับใครเป็นแน่ เซิ่งเซียวผู้นี้ไม่ได้ดูเรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอกอย่างแน่นอน

ดูเหมือนว่าฉินอวี้โม่จะต้องสืบหาความจริงเกี่ยวกับเซิ่งเซียวผู้นี้อย่างละเอียดเสียแล้ว!

“แล้วพวกเจ้าวิหารทมิฬไม่กลับไปรึ?!”

เมื่อหลงจื้อและคนอื่นๆจากไป ทว่าอู่ซิงยังคงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว เสี่ยวโร่วจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าววาจาเย็นชา

แม้ว่าอู่ซิงอยู่ฝ่ายเดียวกับฉินอวี้โม่ นางก็ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ดีและรู้สึกว่าไม่ควรปล่อยให้คุณหนูของนางใกล้ชิดสนิทสนมกับวิหารทมิฬมากจนเกินไป

“เสี่ยวโร่ว พี่อู่ซิงและวิหารทมิฬเป็นมิตรที่ดีของข้า”

ฉินอวี้โม่จับมือของเสี่ยวโร่วไว้และกล่าวอธิบายสั้นๆพร้อมรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวโร่วก็พยักศีรษะตอบรับและเข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่ทันที นางไม่กล่าวสิ่งใดให้มากความทว่าเดินเข้าไปหาอาหลิวและกล่าวบางอย่างกับเขาด้วยเสียงเบา

อาหลิวชำเลืองสายตามองมาที่ฉินอวี้โม่และขมวดคิ้วเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เสี้ยวอึดใจต่อมาเขาก็พยักศีรษะอย่างสุภาพราวกับกำลังรับปากอะไรบางอย่างกับเสี่ยวโร่ว

เสี่ยวโร่วยิ้มกว้างและเดินกลับมาหาฉินอวี้โม่ตามเดิมเพื่อรอให้นางสะสางปัญหาตรงหน้าให้เสร็จสิ้น

นางยังมีเรื่องราวมากมายต้องการบอกเล่าและพูดคุยกับฉินอวี้โม่ ทว่าทราบดีว่าอีกฝ่ายยังต้องสะสางจัดการเรื่องของดินแดนทางเหนือเสียก่อน

ทั้งเฝินเมี่ยเทียนและเฝินชวี่ถูกพาตัวกลับไปโดยหลงจื้อแล้วในขณะที่คนของหุบเขากรุ่นกำยานก็ชาญฉลาดและพากันถอนตัวออกจากขุมกำลัง ส่วนนิกายเพลิงแดงเดือดและนิกายอู่ซานก็เลือกที่จะยอมจำนนต่อฉินอวี้โม่แล้ว ดังนั้นในที่แห่งนี้จึงไม่มีศัตรูใดๆอยู่อีก

“ศิษย์พี่ ท่านจัดการเรื่องตรงนี้เถิด ข้าขอตัวไปพูดคุยกับเสี่ยวโร่วก่อน”

ฉินอวี้โม่หันไปยิ้มและกล่าวกับฉินเฟิง เขาสามารถจัดการเรื่องทุกอย่างที่นี่ได้ นางจึงไม่ต้องกังวลเรื่องใดๆ

ฉินเฟิงพยักศีรษะรับคำ และแม้ว่ามีคำถามมากมาย เขาก็ตระหนักดีว่าตอนนี้มิใช่เวลาสำหรับการหาคำตอบ

“พี่อู่ซิง ท่านก็มากับข้าเถอะ”

เวลานี้คฤหาสน์เฟิงหัวปรากฏตรงหน้าฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ นางจับมือพาเสี่ยวโร่วก้าวเข้าไปก่อน ส่วนอู่ซิงก็ไม่รอช้าและเดินตามเข้าไปเช่นกัน

ทันทีที่เข้าสู่คฤหาสน์เฟิงหัว เจ้าหนูน้อยน่ารักน่าชังทั้งสองก็วิ่งออกมาจากข้างในและปรี่เข้ามาหาฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มกว้าง “หม่าม๊า~”

ฉินอวี้โม่กอดบุตรน้อยทั้งสองและจุมพิตแก้มนิ่มทั้งซ้ายขวาก่อนกล่าว “นี่คือน้าเสี่ยวโร่ว ลองเรียกน้าสิ”

เสี่ยวโร่วตกตะลึงทันทีที่เห็นเด็กตัวน้อยทั้งสอง นางไม่ได้ข่าวคราวของฉินอวี้โม่ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้และแน่นอนว่านางไม่ได้รับรู้เกี่ยวกับบุตรทั้งสองเลย เมื่อได้พบเด็กน้อยทั้งคู่ที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับฉินอวี้โม่ในตอนนี้ เป็นธรรมดาที่นางจะตกตะลึงจนนิ่งไปชั่วขณะ

“น้า~น้า~”

ตอนนี้เด็กน้อยทั้งชายหญิงสามารถกล่าวคำพูดได้หลายคำแล้วและเอ่ยเรียกเสี่ยวโร่วด้วยเสียงหวานทันที ทั้งสองขยับเข้ามาใกล้เล็กน้อยและประทับปากเล็กๆแนบแก้มเสี่ยวโร่วอย่างเอาใจ

“คุณหนู นี่คือ..”

เสี่ยวโร่วคาดเดาได้แล้วทว่ายังรู้สึกไม่อยากเชื่อเล็กน้อย นางมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาประหลาดใจและรอฟังคำยืนยัน

“เจ้าหนูทั้งสองคือลูกของข้าและโม่ฉือ ทั้งสองเป็นฝาแฝดหญิงชายชื่อว่าหานอ้ายโม่และฉินอ้ายฉือ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและพยักศีรษะเป็นการยืนยัน

“สวรรค์! ไม่คิดเลยว่าคุณหนูจะกลายเป็นแม่แล้ว”

เสี่ยวโร่วอดกล่าวด้วยความประหลาดใจไม่ได้และน้ำตาใสเริ่มรื้นในดวงตาอีกครั้ง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางไม่ได้อยู่เคียงข้างคอยรับใช้คุณหนูคนโปรด นางไม่ได้เข้าร่วมพิธีกราบไหว้ฟ้าดินของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือด้วยซ้ำ นางเพิ่งได้พบเด็กน้อยทั้งสองในตอนนี้และอดรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมาไม่ได้

อู่ซิงซึ่งตามหลังเข้ามาก็เห็นเด็กทั้งสองเช่นกันและใบหน้าตกตะลึงอย่างชัดเจน เพียงแต่เขาไม่ได้มีความคิดมากมายเหมือนกับเสี่ยวโร่วก็เท่านั้น

“เสี่ยวโร่ว!”

อสูรมายาหลายตัวของฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินที่สนิทสนมกับเสี่ยวโร่วมาก เมื่อเห็นเด็กสาวที่พลัดพรากไปนาน พวกมันก็อดไม่ได้และวิ่งพรวดตรงเข้ามาด้วยความตื่นเต้นอย่างที่สุด

“เสี่ยวเฮย.. เสี่ยวจิน..”

เสี่ยวโร่วเองก็ดีใจมากเมื่อได้พบอสูรมายาที่คุ้นเคย นางโผเข้ากอดพวกมันอย่างมีความสุขทันที

เมื่อทราบว่าฉินอวี้โม่และอู่ซิงน่าจะมีเรื่องต้องคุยกัน เสี่ยวโร่วจึงพาเจ้าหนูน้อยทั้งสองออกไปเล่นด้านข้างเพื่อมิให้เป็นการรบกวนบทสนทนาของทั้งสอง เสี่ยวเฮยและอสูรอื่นๆก็เดินไปกับเสี่ยวโร่วอย่างมีความสุขเช่นกัน

“แม่นางอวี้โม่ เรารอท่านมานานหลายปี เดิมทีข้าก็นึกว่าจะต้องรอท่านนานกว่านี้เสียอีก ไม่คิดเลยว่าจะได้พบท่านที่งานชุมนุมดินแดนเหนือครานี้ หากคนอื่นๆทราบเรื่องนี้ ทุกคนจะต้องมีความสุขมากแน่ๆ”

อู่ซิงและฉินอวี้โม่นั่งลงในศาลาเล็กๆในสวนของคฤหาสน์ จากนั้นอู่ซิงก็กล่าวขึ้นด้วยความโล่งใจ ฉินอวี้โม่ผู้นี้ไม่ทำให้การรอคอยของพวกเขาผิดหวังเลยสักนิด พรสวรรค์ ความแข็งแกร่งและการพัฒนาของนางตลอดหลายปีที่ผ่านมาช่างมหัศจรรย์เกินความคาดหมายของพวกเขาทุกคน

“พวกเขาสบายดีรึไม่?”

ฉินอวี้โม่ถอดผ้าคลุมที่บดบังใบหน้าออกและเผยให้เห็นรอยยิ้มเป็นมิตรก่อนที่จะเอ่ยถามสิ่งที่สงสัยออกไป

“ทุกคนสบายดีและพลังของพวกเขาก็พัฒนาขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาได้ก่อตั้งนครขึ้นมาใหม่ที่สามารถประชันฝีมือกับขุมกำลังใหญ่ๆได้และตั้งชื่อมันว่า ‘นครล่าฝัน’ ข้าเชื่อว่าหากท่านส่งคนออกไปสืบข่าว ท่านจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมอย่างแน่นอน”

อู่ซิงยิ้มและกล่าวอธิบาย

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

“ขอบคุณท่านมากที่ช่วยดูแลพวกเขา”

นางทราบดีว่าอู่ซิงและพรรคพวกจะต้องให้ความช่วยเหลือมู่อวิ๋นและคนอื่นๆตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้อย่างแน่นอน และนั่นเป็นสิ่งที่นางซาบซึ้งใจยิ่งนัก

“นั่นเป็นสิ่งที่พวกเราควรทำอยู่แล้ว เพียงแต่…”

อู่ซิงอดถอนหายใจเบาๆไม่ได้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขาเกรงว่าจะทำให้ฉินอวี้โม่ต้องผิดหวัง