“…ผีที่น่ากลัวเหนือจินตนาการ…”

หากเทียบกับเนื้อหาก่อนหน้านี้ ตัวอักษรสองบรรทัดนี้กลับเขียนด้วยลายมือที่ตวัดเน้นหนักอย่างยิ่ง สัมผัสได้ถึงความกลัวและความตื่นตระหนกที่ซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัดได้อย่างง่ายดาย

‘สัตว์อสูรแบบไหนกันที่ทำให้นักเวทชั้นตำนานหวาดกลัวได้ถึงขนาดนั้น อีกอย่าง ทำไมเขาถึงไม่หนีไปในตอนที่ยังมีเวลาเล่า พวกเขาน่าจะเข้าใจรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของพิกัดในนี้แล้วนี่นา…’ ลูเซียนไม่แสดงสีหน้าใดๆ แต่ในใจกลับคิดวิเคราะห์ถึงความผิดปกติทั้งหลาย

ในเมื่อสมุดบันทึกของชายผู้นี้ไม่เน่าเปื่อยผุพังเลยสักนิดหลังจากผ่านไปหลายปีทั้งๆ ที่ไม่มีผู้ใดคอยดูแล และในเมื่อชายผู้นี้สร้างห้องลับที่มีความพิเศษเป็นห้องทดลองของตนเองไว้ภายในห้องโถงสีเทาได้ ลูเซียนจึงค่อนข้างมั่นใจว่าผู้เขียนจะต้องเป็นนักเวทชั้นตำนาน คนระดับนั้นย่อมไม่หวาดกลัวอะไร แม้ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับมนุษย์ครึ่งเทพก็ตาม พวกเขาอาจทดท้อและพ่ายแพ้ แต่พวกเขาไม่ควรจะขลาดกลัวดั่งเด็กน้อยเช่นนี้

ผีที่ว่านั่นคืออะไรกันแน่

ไม่รู้ทำไมลูเซียนจึงรู้สึกว่าความรู้สึกชวนขนลุกที่แผ่ออกมาจากสมุดบันทึกช่างคุ้นเคยนัก แต่เขากลับค้นหาประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกันจากความทรงจำไม่พบเลย

ไรน์ตั้งข้อสังเกตขณะที่มือทั้งสองข้างถือประคองแขนของหุ่นเชิด ด้วยท่าทางราวกับกำลังชื่นชมเครื่องประดับอัญมณี “หุ่นเชิดตัวนี้สร้างด้วยกรรมวิธีพิเศษ เท่าที่ข้ารู้ แม็คลอยด์คือคนเพียงคนเดียวที่ทำได้ นี่อาจจะเป็นสิ่งของชิ้นสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้ก็เป็นได้”

เขาเน้นตรงคำว่า ‘สิ่งของชิ้นสุดท้าย’

“แม็คลอยด์ ราชาแห่งการเล่นแร่แปรธาตุในจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณ นักเวทชั้นตำนานระดับสามผู้นั้นน่ะหรือขอรับ” ลูเซียนถามย้ำเมื่อความแน่ใจ

จากข้อมูลที่ได้จากไวเค็นและอะดอล แม็คลอยด์คือหนึ่งในสิบนักเวทชั้นตำนานที่เข้ามาสำรวจโลกแห่งวิญญาณพร้อมกับมาสเกลีน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะ ‘หายตัวไป’ ในที่แห่งนี้จริงๆ

ลูเซียนไม่รู้ว่าทั้งกลุ่มมีอยู่กี่คนกันแน่ เพราะไวเค็นไม่ได้บันทึกชื่อของผู้ใดไว้เลย ส่วนอะดอลก็ทราบเพียงคนที่มีชื่อเสียงจากทั้งกลุ่มเท่านั้น เขาจึงทำได้เพียงคาดเดาคนที่เหลือเอาเอง แต่แน่นอน นักเวทชั้นตำนานจากจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณที่ ‘หายตัวไป’ นั้นไม่ได้หายตัวไปในโลกแห่งวิญญาณเสียทั้งหมด

“จากข้อมูลที่ข้ารู้ อาจจะเป็นเขาจริงๆ” ไรน์ลูบไล้แขนสีเขียวเป็นประกายของหุ่นเชิดที่ถูกวาดลวดลายแปลกประหลาดอยู่เต็มไปหมด

ลูเซียนแย้มยิ้ม “ท่านคือ ‘ผู้สังเกตการณ์’ นะขอรับ ข้อสรุปของท่านย่อมถูกต้องแม่นยำกว่าของข้าแน่นอน”

ไรน์ยิ้มพลางแตะๆ ไปบนแขนของหุ่นเชิด ราวกับกำลังเล่นเปียโน “หุ่นเชิดตัวนี้เป็นอุปกรณ์ชั้นตำนานแบบใช้ได้ครั้งเดียวที่แทบไม่เคยมีมาก่อน และดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ถูกทำให้พังแต่เป็นแม็คลอยด์ที่จงใจถอดชิ้นส่วนออกเป็นชิ้นๆ หากเราหาส่วนอื่นๆ เจอ เราก็อาจจะประกอบมันกลับตามเดิมได้”

“จงใจถอดชิ้นส่วนงั้นหรือ บางที เราอาจได้รับข้อมูลสำคัญที่ท่านแม็คลอยด์ทิ้งไว้หลังจากซ่อมมันเสร็จก็เป็นได้” ลูเซียนกล่าว ขณะครุ่นคิดอย่างหนัก นี่คือวิธีการในสำนักโหราศาสตร์วิธีหนึ่งเพื่อหลบเลี่ยงการพยากรณ์

“ไม่มีอะไรเลยที่บ่งบอกว่าในนี้มีประตูและห้องโถงสีเทากี่มากน้อย ในเมื่อเราไม่รู้พิกัดที่แน่นอนของตำแหน่งที่แม็คลอยด์เก็บชิ้นส่วนต่างๆ ของหุ่นเชิดเอาไว้ อีกพันปีเราก็คงเก็บมันให้ครบไม่ได้แน่” ไรน์ยื่นแขนหุ่นเชิดมาให้ลูเซียน “อยู่กับข้ามันไม่มีประโยชน์เสียเท่าไหร่ เจ้าเก็บไว้เถิด”

ลูเซียนสนอกสนใจวิธีการสร้างหุ่นเชิดตัวนี้อยู่แต่แรกแล้ว นอกจากนี้ มันยังเป็นเพียงอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ไม่สมบูรณ์และใช้การไม่ได้ เขาจึงยื่นมือไปรับอย่างไม่คิดปฏิเสธ

มือขวาของเขากำรอบแขนของหุ่นเชิดแล้วออกแรงดึง แต่มันกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด เป็นไรน์ที่กำปลายแขนอีกด้านของหุ่นเชิดเอาไว้แน่น

ลูเซียนเงยหน้าขึ้นและมองสบตากับไรน์ เขาบอกเองไม่ใช่หรือว่าจะมอบมันให้เขา

ขณะมองไรน์ด้วยความมึนงง ไรน์ก็แย้มยิ้มและกล่าวเสียงขบขัน “เจ้าจะรับไปโดยไม่ขอบคุณข้าสักคำเลยหรือ”

ชั่วขณะนั้น ลูเซียนก็เห็นว่าดวงตาสีเงินสดใสของเขากลายเป็นพร่ามัว ดูเหมือนดวงจันทร์แสนเย็นเยียบและเลือนลางท่ามกลางราตรีอันมืดมิดที่ทำให้วิญญาณทุกผู้คนหลงใหลได้

ลูเซียนพลันรู้สึกเหนื่อยอ่อนมากเสียจนไม่อยากทำอะไรนอกจากเข้าสู่นิทรา

‘ท่าไม่ดีแล้ว!’

‘นี่มันทักษะสะกดจิตของแวมไพร์!’

‘ทำไมจู่ๆ ท่านไรน์ถึงโจมตีกันล่ะ’

เสียงปราการคุ้มกันจิตแตกกระจายดังก้องในดวงจิตของลูเซียนและนั่นทำให้เขาได้สติขึ้นมาเล็กน้อย แต่ดวงตาของไรน์ก็เป็นเหมือนท้องนภายามราตรีที่มีดวงจันทร์สีเงินเปล่งประกาย เขาไม่อาจละสายตาไปได้เลย

แสงสลัวรางของ ‘เวทเคลื่อนที่ระยะสั้น’ ฉายวูบ และ ‘ชนวนเวท’ ก็ถูกกระตุ้นใช้งานโดยอัตโนมัติเพราะดวงจิตของเขากำลังถูกโจมตี

ในตอนนั้นเอง ไรน์ก็ขยับมือขวา แผ่คลื่นสีดำเปล่งแสงเจิดจ้าผ่านแขนหุ่นเชิดตรงไปหามือลูเซียน ขัดขวางคลื่นเวทมนตร์และหยุดลูเซียนจากการเคลื่อนที่พริบตาหลบหนีไป

‘จัดลำดับเวทมนตร์’ และ ‘เวทคาถาต่อเนื่อง’ ถูกเรียกใช้ออกมาติดต่อกัน แต่ไรน์ก็หยุดพวกมันได้ด้วยวิธีการแปลกๆ ฟันอันแหลมคมของเขางอกยาวแล้วขบกัดลูเซียนด้วยท่าทางสง่างามดั่งสุภาพบุรุษ “การไม่ขอบคุณมันเสียมารยาทมากนะ”

ทันใดนั้น ดวงตาลูเซียนก็กลับมากระจ่างใส เมื่อแสงจันทร์ส่องสว่างวูบ คมเขี้ยวของไรน์ก็ขบกัดได้เพียงภาพมายาที่กระเพื่อมเป็นระลอก ซึ่งนั่นทำให้เขาอึ้งงันไปเล็กน้อย ในขณะเดียวกันนั้นเอง เขาก็รู้สึกว่าแขนหุ่นเชิดมีน้ำหนักเบาลงแล้ว เพราะลูเซียนปล่อยมือ

ลูเซียนสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกผะแผ่วจากแหวนคอนกัสบนมือซ้าย ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดทอนพลังมายาอย่างยิ่งยวด และผลจากเวทมนตร์อย่างชนวนเวทก็ซื้อเวลาให้ลูเซียนได้มากพอ!

“เจ้าไม่ใช่ท่านไรน์!” ลูเซียนยกโล่แห่งสัจธรรมขึ้นถือด้วยมือซ้าย พลางใช้มือขวาชักดาบยาวสีเงินออกจากฝัก

จวบจนเมื่อครู่นี้ ลูเซียนไม่เคยนึกสงสัยเลยว่าคนตรงหน้าคือไรน์ตัวปลอม แม้จะคาดเดาไว้ว่าไรน์อาจโจมตีเขาเพราะมีเหตุผลบางประการก็ตาม ทั้งกลิ่นอาย ปฏิกิริยาต่อโลหิตต้นกำเนิดของชายผู้นี้ และการใช้เวทมนตร์ตรวจสอบต่างบ่งบอกว่าเขาคือเคานต์เนตรเงิน หรือผู้สังเกตการณ์ แต่ลูเซียนกลับสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างในตอนที่ไรน์ทำให้เวทมนตร์คาถาอย่างชนวนเวทกับจัดลำดับเวทมนตร์เสื่อมฤทธิ์ด้วยวิธีการแปลกประหลาด

‘ไรน์’ พลันหยุดมือแล้วกระโจนถอยห่างเพื่อหลบหลีกการจู่โจมจากดาบแห่งสัจธรรมของลูเซียน เขาหัวเราะขัน “เรามีความทรงจำแบบเดียวกัน รูปลักษณ์เหมือนกัน เลือดและร่างกายก็เหมือนกัน เหตุใดข้าจึงเป็นไรน์ไม่ได้ นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับสัตว์อสูรที่มีสติปัญญาหรอกหรือ”

“เจ้าคือผีที่น่ากลัวเหนือจินตนาการและปีศาจ” ลูเซียนยกโล่แห่งสัจธรรมขึ้นรับการจู่โจมจาก ‘ไรน์’ ที่ก้าวพริบตามาอยู่ตรงหน้าเขา เล็บแหลมคมที่เย็นเยียบยิ่งกว่าโลหะของดาบยาวขีดครูดไปบนโล่

อิ๊ดเอี๊ยด ท่ามกลางเสียงครูดที่ดังแสบหูชวนให้เลือดในกายเย็นยะเยือก ลูเซียนพลัตวัดดาบฟันช่วงเอวของศัตรู รัศมีที่เปี่ยมล้นด้วยพลังจากดาบทิ้งรอยบากไว้บนผนังด้านหนึ่งของห้องลับ

‘ไรน์’ หาได้มีปฏิกิริยาอะไร แต่เมื่อคมดาบโดนตัวเขา กลับกลายเป็นเงาที่แตกตัวออกจากกัน จากนั้น เขาก็ก้าวพริบตาลงมาจากเพดานและบินโฉบราวกับเหยี่ยว โดยกางปีกค้างคาวออกกว้างจนบดบังทั่วทั้งเพดาน

‘มันเกือบจะเร็วเท่าภาพมายาสะท้อนของเจ้าแห่งนรก สมแล้วที่แวมไพร์เป็นสายพันธุ์ที่มีจุดเด่นด้านความเร็วและความคล่องแคล่วจริงๆ แต่ว่า การโจมตีของมันยังไม่ดีพอ ดูเหมือนว่ามันจะแสดงพลังได้มากสุดแค่ชั้นตำนานระดับสอง นั่นยังไม่พอจะทำลายโล่แห่งสัจธรรมหรอก’ ลูเซียนวิเคราะห์สถานการณ์อย่างนิ่งสงบ หลังจากที่ ‘ไรน์’ เร่งความเร็วขึ้นอีก ร่างเงาของมันก็ปรากฏอยู่ทุกทิศทาง ทำให้ลูเซียนแยกแยะตัวจริงของมันได้ยาก เขาทำได้เพียงยกโล่แห่งสัจธรรมขึ้นต้านทานศัตรู แต่ไม่อาจตอบโต้ด้วยดาบแห่งสัจธรรมได้

เคร้งๆๆ รัศมีสีเงินของดาบตัดผ่านผนังสีเทา บังเกิดเป็นเสียงเสนาะหูและสร้างรอยแตกฝังลึกติดๆ กัน

เมื่อมองเห็นรอยแตกเหล่านั้น ลูเซียนก็พลันเกิดความคิดดีๆ ‘ห้องนี้ไม่ใหญ่มาก แต่แข็งแกร่งมากจริงๆ…’

“บอลนรก!” ลูเซียนร่ายคาถา จากนั้น บอลแสงเจิดจ้าดั่งดวงตะวันก็ลอยขึ้นจากเสื้อคลุมมหาจอมเวทแล้วพุ่งเข้าใส่ ‘ไรน์’ และก็เป็นไปตามที่คาดไว้ บอลแสงนั้นพลาดเป้าหมายและกระแทกเข้ากับผนัง!

ตูม!

คลื่นเสียงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งห้องลับราวกับมันเป็นเครื่องดนตรี ทั้งยังมีกรดสีเขียวๆ ปนเปื้อนมาในอากาศ สายฟ้าสีเงินเปลี่ยนทั้งห้องให้กลายเป็นป่าแห่งสายฟ้าและเสียงฟ้าร้อง เปลวเพลิงอันร้อนแรงเผาไหม้ทุกสิ่งอย่าง ทำให้สถานที่นั้นดูเหมือนกับขุมนรกของจริง

ไม่มีซอกหลืบใดในห้องที่หลุดรอดจากความเสียหายอันใหญ่หลวงนี้ได้ ไม่แม้แต่ตัวลูเซียนเอง แต่เพราะเขาอยู่หลังโล่แห่งสัจธรรม เขาจึงเหมือนกับอยู่คนละโลก

ภายในขุมนรกตรงหน้า ร่างเงามายาทั้งหมดสลายหายไป ก่อนที่ ‘ไรน์’ ตัวจริงจะปรากฏขึ้นกลางอากาศดำทะมึน

‘ตอนนี้แหละ!’ หลังจากเล็งเป้าหมายที่ตัวจริงของมัน ลูเซียนก็ฟาดฟันดาบแห่งสัจธรรมที่เตรียมพร้อมมานานออกไป

รัศมีสีเงินรูปวงพระจันทร์เสี้ยวของดาบตัดผ่านเปลวไฟ สายฟ้า และกระแทกเข้ากับ ‘ไรน์’ ผู้ไม่มีเวลาให้หลบเลี่ยง อากาศดำทะมึนรอบกายและร่างกายเขาพลันถูกตัดเฉือนเป็นรอยกว้าง

ช่องว่างบนปากแผลนั้นทำลายชื้นเนื้อและหยาดโลหิตทุกส่วน แต่ ‘ไรน์’ กลับเผยรอยยิ้มประหลาด จากนั้น เขาก็ทาบมือขวาลงบนอกและค้อมตัวลงเล็กน้อย ดูสง่างามราวกับนักดนตรีที่ออกมาแสดงความขอบคุณหลังจบการแสดงแล้ว

ก่อนที่ร่างของ ‘ไรน์’ จะล้มลงและสลายหายไปอย่างไร้ซุ่มเสียง และแขนของหุ่นเชิดก็ร่วงลงไปกองกับพื้น

หลังจากภาพอันน่าหวาดเกรงที่ ‘บอลนรก’ สร้างขึ้นสลายไปแล้ว ทุกอย่างก็กลับมาเงียบสงบดังเดิม และ ‘ไรน์’ ก็ไม่ปรากฏตัวออกมาอีก

เพื่อความไม่ประมาท ลูเซียนจึงใช้โล่แห่งสัจธรรมยกแขนของหุ่นเชิดขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง แต่เขากลับไม่พบข้อมูลใดๆ ที่แม็คลอยด์ทิ้งไว้เลย ในขณะเดียวกันนั้น เขาก็รู้สึกฉงนมึนงงอย่างยิ่ง ‘ผีตนนี้แปลงกายเป็นใครสักคนที่สามารถตบตาคนที่สนิทสนมใกล้ชิดด้วยได้ มันคงลอบสังหารได้แบบง่ายดายสุดๆ แต่มันมีพลังแค่ชั้นตำนานระดับสองเอง และแข็งแกร่งกว่าข้าแค่นิดหน่อย ทำไมมันถึงทำให้ท่านแม็คลอยด์หวาดกลัวได้กันนะ แล้วมันทำให้นักเวทชั้นตำนานอย่างท่านมาสเกลีนหายตัวไปได้อย่างไรกัน’

‘แต่ว่า ตัวมันยังมีบางอย่างผิดปกติอีกด้วย มันไม่ได้ตายหลังจากโดนดาบแห่งสัจธรรมโจมตี…’

ลูเซียนส่ายศีรษะ รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้ช่างเต็มไปด้วยปริศนามากเกินกว่าที่เขาจะสำรวจตรวจตราได้ครบถ้วนตอนนี้

‘เวลาข้างในนี้เดินช้ากว่าข้างนอก พวกที่ไล่ตามมาคงจะเข้ามาในนี้แล้ว และระยะเวลาแสดงผลของ “พลังพระคุณของพระเจ้า” ก็คงจะหมดลงแล้ว ข้าลองกลับทางเดิมดูก็ได้ ลูเซียนไม่อยากเสี่ยงอีก หลังจากคำนวณพิกัดปัจจุบันกับพิกัดของทางเข้าตามรูปแบบเสร็จ เขาก็มองหาเส้นทางที่จะกลับออกไป

ในตอนนั้นเอง ประตูดำอีกบานก็ส่งเสียงลั่นเอี๊ยดและเปิดออก

ลูเซียนหันขวับไปมองอย่างระแวงระไว ในมือยังคงถือโล่แห่งสัจธรรม เขามั่นใจมากว่าจะรับมือกับการโจมตีแรกได้ไม่ว่ามันจะมาจากผู้มีพลังชั้นสูงคนใดก็ตามที่มิใช่มนุษย์ครึ่งเทพ

ประตูบานนั้นอ้าออกกว้าง แล้วบุคคลแสนคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นในคลองสายตาลูเซียน เส้นผมยาวสลวยสีเงิน เสื้อโค้ตสีแดง เสื้อเชิ้ตสีดำ รอยเลือดสีเข้มบนอก และริมฝีปากที่ซีดเซียวกว่าปกติ เป็นไรน์อีกแล้ว!

“ไง ลูเซียน เราเจอกันอีกแล้วนะ” เขาส่งยิ้มให้ แต่แล้วสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป “เฮ่ อย่าทักทายข้าด้วยดาบแห่งสัจธรรมสิ!”

……………………………………