ซินเยว่เยี่ยนพลันเกิดความสนใจ แล้วมองเยี่ยเม่ย เอ่ยชื่นชมว่า “ความสามารถของเจ้าเหนือกว่าข้า ” 

 

 

นางคือหัวหน้าสี่ผู้อาวุโสของหมู่ตึกกูเยว่ ตำแหน่งรองจากกูเยว่อู๋เหินมาเป็นอันดับหนึ่ง คนผู้นั้นก็คือนางซินเยว่เยี่ยน กลับคิดไม่ถึงว่าวันนี้ยังไม่ทันลงมือก็ ถูกสตรีนางนี้ควบคุมไว้ได้ แค่ก ๆ…  

 

 

วรยุทธ์เช่นนี้ สามารถแบกรับตำแหน่งนายหญิงของหมู่ตึกกูเยว่เอาไว้ได้ 

 

 

ถึงแม้นางไม่รู้ว่าเยี่ยเม่ยคิดทำอะไร เตรียมการจัดการต้ามั่วเมื่อไหร่ ทว่าสัญชาตญาณบอกว่านางต้องไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน 

 

 

เยี่ยเม่ยฟังคำพูดของซินเยว่เยี่ยน ใบหน้าไม่มีความแตกตื่นยินดีที่ได้รับคำชมเลยสักน้อย เพียงกวาดสายตามองอีกฝ่าย เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เรื่องที่ความสามารถของข้าเหนือกว่าเจ้า ข้าหลงคิดว่าเจ้ามองออกตั้งแต่แรกแล้ว”  

 

 

ซินเยว่เยี่ยน “…” 

 

 

แม่นางเยี่ยเม่ยรู้จักคำว่าถ่อมตนบ้างหรือเปล่า ไม่ไว้หน้านางซินเยว่เยี่ยนสักนิดเชียวหรือ เอ๊ะ? นางเป็นถึงหัวหน้าสี่ผู้อาวุโสหมู่ตึกกูเยว่ นางต้องรักษาหน้าเข้าใจไหม 

 

 

ช่างเถอะ เพื่อน้องสะใภ้ ศักดิ์ศรีหน้าตาคืออะไรกัน นางซินเยว่เยี่ยนไม่เคยได้ยินมาก่อน 

 

 

นางมองเยี่ยเม่ยเอ่ยจบแล้วหันไปสั่งคนทั้งหมดว่า “ไปเถอะ” 

 

 

เยี่ยเม่ยนำคนทั้งหมดจากไป ซินเยว่เยี่ยนก็รีบติดตาม เดินอาดๆ อยู่หลังเยี่ยเม่ย เอ่ยปากสืบความ “เจ้าบอกได้หรือเปล่า เจ้าเตรียมแผนอะไรไว้จัดการกับชาวต้ามั่ว” 

 

 

เยี่ยเม่ยหันกลับมามองนาง เสียงเย็นชา “บางทีเจ้าสมควรบอกฐานะของตนมาก่อน?” 

 

 

ซินเยว่เยี่ยนกระพริบตาปริบ เอ่ยปากว่า “ข้าเหรอ ข้าคือคู่หมั้นของราชาดาบเซียวเซ่อหยาง ซินเยว่เยี่ยนแห่งหมู่ตึกกูเยว่ หากเจ้าไม่พอใจอะไรในตัวข้าก็คิดบัญชีไว้ที่เซียวเซ่อหยาง เขายินยอมแบกหม้อก้นดำแทนข้า[1]” 

 

 

นางเอ่ยออกมาเช่นนี้ บุรุษไม่น้อยในที่แห่งนี้ล้วนหันหน้ามองนาง 

 

 

ชื่อซินเยว่เยี่ยนพวกเขาเคยได้ยินมา โดยเฉพาะหมู่ตึกกูเยว่ยิ่งไม่อาจไม่รู้จัก แต่ว่าคำพูดอย่างโจ่งแจ้งที่ให้ผู้อื่นเอาความไม่พอใจทั้งหมดไปลงที่คู่หมั้นของตนนั้นเป็นการกระทำประเภทไหน 

 

 

พวกเขาพลันรู้สึกเห็นใจเซียวเซ่อหยาง  

 

 

คิดไม่ถึงว่าซินเยว่เยี่ยนเอ่ยเช่นนี้กลับได้รับความเห็นด้วยจากเยี่ยเม่ย 

 

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยเสียงเรียบว่า “บุรุษแบกรับความผิดแทนคู่หมั้น เป็นหน้าที่และเกียรติของพวกเขา” 

 

 

บุรุษทั้งหลายในที่นี้ “…” 

 

 

ซินเยว่เยี่ยนฟังเยี่ยเม่ยเอ่ยประโยคนี้ สายตาวาวโรจน์ในฉับพลัน รู้สึกอย่างสุดซึ้งว่าตนพบผู้รู้ใจแล้ว ภายหน้ามีน้องสะใภ้เช่นนี้ วันเวลาในหมู่ตึกกูเยว่ของตนก็ไม่น่าเบื่อหน่ายอีก นี่ทำให้นางสะกดความรู้สึกดีที่มีต่อเยี่ยเม่ยไว้ไม่ได้ 

 

 

นางเดินมาเบื้องหน้าเยี่ยเม่ยอีกครั้ง คล้ายถามออกไปด้วยความประจบสอพลอ “เจ้าเข้าใจกำลังภายในไหม” 

 

 

คราวนี้กลายเป็นเยี่ยเม่ยที่สายตาทอประกาย หันกลับมองอีกฝ่าย เห็นว่าใบหน้าฝั่งตรงข้ามไม่มีเจตนาร้าย ก็คลายการป้องกันลง เอ่ยว่า “ไม่เข้าใจ ทำไมหรือ” 

 

 

ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ ไม่จำเป็นต้องปิดบัง อีกอย่างนางมั่นใจว่าคนที่ใช้กำลังภายในได้ไม่กี่คนเท่านั้นที่ร้ายกาจกว่านาง 

 

 

เมื่อนางตอบว่าไม่เข้าใจ เวลานั้นซินเยว่เยี่ยนก็รู้สึกว่าตนมีตัวตนขึ้นมา 

 

 

นางกระตือรือร้น เอ่ยปากว่า “ข้ามีเคล็ดวิชาเล่มหนึ่ง เป็นของอาจารย์อาข้า หากเจ้าฝึกแล้วล่ะก็ ต้องสำเร็จยอดวิชาอย่างแน่นอน” 

 

 

 “เอ๋?” คราวนี้เยี่ยเม่ยพลันสนใจบ้าง นางอยากเรียนกำลังภายในจริงๆ เพียงแต่… 

 

 

นางมองซินเยว่เยี่ยน ถามว่า “ในเมื่อเป็นเคล็ดวิชาลับของเขา ไฉนถึงให้ข้าเรียนได้ง่ายๆ โดยไร้เหตุผลเล่า” 

 

 

อย่างโยว่อี้อ๋องแห่งต้ามั่วเพื่อเคล็ดวิชาลับของราชาดาบ ก็ลอบทำร้ายราชาดาบจนเป็นตายไม่รู้ชัด เห็นได้ชัดว่าคนในยุคสมัยนี้หาได้เปิดเผยเคล็ดวิชาลับของตน 

 

 

 “เจ้าพูดไม่ผิด แต่เราสองคนนับว่ามีวาสนา ข้าอยากเป็นสหายกับเจ้า สหายชนิดที่สนิทแน่นแฟ้นมาก คบหากันด้วยชีวิตถึงเป็นเป้าหมายของข้า” ซินเยว่เยี่ยนพูดไปพลาง พยักหน้าไปพลาง แสดงออกว่าตนพูดความจริง 

 

 

เยี่ยเม่ยถามอย่างเย็นชา “จากนั้นเล่า” 

 

 

 “จากนั้น” ซินเยว่เยี่ยนสีหน้าจริงจัง “จากนั้นข้าก็มอบเคล็ดวิชาลับให้เจ้า ข้ารู้สึกว่าความสามารถของเจ้า มีคุณสมบัติครอบครองมัน แต่ภายหน้าเจ้าต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง” 

 

 

 “เงื่อนไขที่ไม่ผิดต่อมโนธรรม คุณธรรม ไม่ผิดต่อหลักการในใจของข้า ข้าสามารถรับปากได้” เยี่ยเม่ยเอ่ยข้อเสนอของตน 

 

 

ไม่เพียงแค่คุณธรรม สิ่งที่ขัดใจตน นางก็ไม่อยากทำ 

 

 

เอ่ยจบแล้ว เยี่ยเม่ยเสริมต่อว่า “แน่นอนว่า เคล็ดวิชาของเจ้าก็ต้องมีค่าพอ” 

 

 

ซินเยว่เยี่ยนครุ่นคิดชั่วครู่ พยักหน้า “ได้” อย่างไรหากอีกฝ่ายไม่อยากแต่งานกับอู๋เหิน ตนฝืนก็ไม่มีความสุข ดังนั้นไม่ขัดต่อใจนาง เรื่องนี้รับปากได้ 

 

 

หลังจากตกลงแล้ว ซินเยว่เยี่ยนยิ้มร่ากล่าวว่า “วางใจเถอะ เคล็ดวิชาลับของอาจารย์อาข้า ไม่ทำให้เจ้าผิดหวังแน่นอน” 

 

 

คำพูดสองสามประโยคนี้ สองคนก็ตกปากรับคำกันแล้ว ส่วนผู้ชมด้านข้างทั้งหลายพากันตกตะลึงกันไปหมด 

 

 

ใครๆ ก็รู้ อาจารย์อาของซินเยว่เยี่ยนคือใคร เคล็ดวิชาลับของคนผู้นั้นจะไม่มีค่าได้อย่างไร ทุกคนล้วนรู้สึกว่าซินเยว่เยี่ยนจงใจล้างผลาญอาจารย์อาชัดๆ   

 

 

ซินเยว่เยี่ยนมีเวลามาใส่ใจความคิดผู้อื่นที่ไหน นางรีบล้วงชายเสื้อเอาเคล็ดวิชาลับออกมา มอบให้เยี่ยเม่ยตรงๆ นางไม่ปกปิดใคร อย่างไรเสียของของอาจารย์อา นอกจากนางซินเยว่เยี่ยนกล้าขโมยวิชาเขาแล้ว ใครก็ไม่กล้าแย่งไปง่ายๆ 

 

 

เยี่ยเม่ยเองก็เปิดออกโดยไม่ปิดบัง พลิกดูทีหนึ่ง มุมปากเยี่ยเม่ยกระตุกเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าแรก 

 

 

มือข้างหนึ่งวางลงไป ชี้ตัวอักษรด้านบน ถามว่า “เคล็ดวิชาลับเสี่ยวเถียนไช่[2]?” 

 

 

ทันทีที่เห็นชื่อนี้ รู้สึกว่านี่เป็นเหมือนหลุมพราง 

 

 

แม่นางซินเยว่เยี่ยน เจ้ามั่นใจว่าอาจารย์อาของเจ้าเป็นยอดคนจริงๆ ไม่ใช่ตัวตลก? อีกอย่างเคล็ดวิชาลับเล่มนี้จะฝึกฝนจนเป็นวรยุทธ์ล้ำเลิศได้ ไม่ใช่เอามาเป็นเรื่องล้อเล่นหรอกนะ 

 

 

คนในที่นี้ได้ฟัง มุมปากกระตุกเล็กน้อย พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า คนผู้นั้นถึงกับตั้งชื่อประเภทนี้ให้กับเคล็ดวิชาลับตัวเอง” 

 

 

ซินเยว่เยี่ยนก็เคยดูเคล็ดวิชาไปหลายครั้ง แต่ไม่ได้อ่านหน้าแรก ดังนั้นตอนได้ยินคำพูดเยี่ยเม่ย หางตานางยังกระตุกขึ้น 

 

 

จากนั้นนางถามเยี่ยเม่ยอย่างงุนงงว่า “หรือเจ้าไม่เคยได้ยินชื่ออาจารย์อาของข้า อาจารย์อาของข้า เป็นอาจารย์ของกู่เยว่อู๋เหิน ฉายาในยุทธภพคือ…เสี่ยวเถียนไช่?” 

 

 

เยี่ยเม่ย “…?” 

 

 

เยี่ยเม่ยพยายามบังคับให้ตนสงบลง เพียงเพราะชื่อ อย่าได้ตัดสินใจคืนเคล็ดวิชาให้ซินเยว่เยี่ยน นางพลิกอ่านไปหลายหน้า  

 

 

ไม่ช้านางก็มองเคล็ดลับด้านในออก ถึงแม้นางไม่เข้าใจกำลังภายใน แต่ว่าเลียนอย่างข้อความที่เขียนไว้ เพ่งไปที่จุดตันเถียน รับรู้ถึงพลังขุมหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ภายในจริงๆ  

 

 

นี่ทำให้นางรู้สึกมั่นใจในเคล็ดวิชาเล่มนี้ขึ้นหลายส่วน 

 

 

ด้วยเหตุนี้นางบังคับตนเอง ไม่ใส่ใจว่าเคล็ดวิชาเล่มนี้เรียกว่าอะไร ถามขึ้นว่า “ดังนั้นอาจารย์อาของเจ้า เป็นเด็กสาวไร้เดียงสาช่างฝันคนหนึ่ง หรือว่าเป็นคนอายุมากแล้วแต่ยังมีจิตใจเด็กอยู่” 

 

 

หากเป็นเช่นนี้ นางก็ยังเกลี้ยกล่อมตัวเองได้บ้าง อีกฝ่ายชื่อเสี่ยวเถียนไช่ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม 

 

 

จากนั้นซินเยว่เยี่ยนหางตากระตุก จากการแสดงออกของเยี่ยเม่ย นางดูออกแล้วว่าอีกฝ่ายไม่เคยได้ยินชื่ออาจารย์อามาก่อน 

 

 

คราวนี้ซินเยว่เยี่ยนฟังคำถามของเยี่ยเม่ย  นางพลันรู้สึกจนปัญญาจะพูดถึงอาจารย์อาตัวเอง นางปาดเหงื่อบนหน้าผากออก “ไม่ใช่ อาจารย์อาของข้าเป็นตาแก่อายุเจ็ดแปดสิบแล้ว”  

 

 

เยี่ยเม่ย “…” 

 

 

เยี่ยเม่ยชะงักไปเล็กน้อย กล่าว “คิดเสียว่าเมื่อครู่ข้าไม่ได้ถาม” นางไม่อยากถกเรื่องผู้เฒ่าเถียนไช่ที่ตั้งชื่อตนด้วยความพิเศษเกินเหตุแล้ว 

 

 

ซินเยว่เยี่ยนในยามนี้เหงื่อไหลทะลัก มองเยี่ยเม่ยอย่างระวัง “หากเจ้าเรียนวิชาอาจารย์อาข้าได้สำเร็จ บางทีเขาอาจมาหาเจ้า ไม่แน่ว่าจะบีบบังคับรับเจ้าเป็นศิษย์ แต่เจ้าอย่าได้ดูแคลนอาจารย์อาเชียว ไม่เพียงอู๋เหินเป็นลูกศิษย์เขา ฮ่องเต้องค์หนึ่งจากดินแดนเสวียนอวี้ ก็เป็นลูกศิษย์ที่โดดเด่นของอาจารย์อาข้า” 

 

 

เยี่ยเม่ยหาได้ใส่ใจปัญหาข้อนี้มากนัก หลายวันที่ผ่านมานางเข้าใจแล้วว่า ในยุคสมัยนี้แบ่งแผ่นดินออกเป็นห้าส่วน ที่นี่เป็นแค่หนี่งในห้าเท่านั้น ดินแดนเสวียนอวี้ก็เป็นแผ่นดินอีกผืนหนึ่ง 

 

 

นางได้แต่ตอบรับ“อืม” 

 

 

คนทั้งสองเพิ่งเอ่ยมาถึงตรงนี้ ไม่ห่างออกไปเห็นคนกลุ่มหนึ่ง เต็มไปด้วยรังสีอำมหิตมุ่งตรงมายังทิศที่พวกนางอยู่ เตรียมเข้ามาโอบล้อม  

 

 

เยี่ยเม่ยขมวดคิ้ว กวาดสายตามองพวกเขา 

 

 

 

 

 

[1] รับผิดแทน 

 

 

[2] บีตรูต