ตอนที่ 27 ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งวัน ไปคิดทบทวนมาดีๆ โดย Ink Stone_Fantasy
ครั้งหนึ่งเจ้าสำนักเจ็ดดาราเคยฝึกวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาจริงๆ
เมื่อไม่กี่ปีก่อน เขามีโอกาสได้ฝึกวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาจากพ่อค้าคนหนึ่ง สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ที่ติดอยู่ที่ระดับเก้ามาหลายสิบปีแล้ว โอกาสนี้เป็นดังสวรรค์ประทานอย่างไม่ต้องสงสัย
หากแก่นบำเพ็ญเซียนไม่สมบูรณ์ ตามทฤษฎีแล้วตบะขั้นสูงที่สุดที่เจ้าสำนักเจ็ดดาราจะฝึกถึงได้คือขั้นสร้างฐานช่วงปลาย ทว่าครั้งหนึ่งเขาได้กินผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงเข้าโดยบังเอิญ ทำให้พลังอิทธิฤทธิ์เพิ่มขึ้นมหาศาลในชั่วพริบตา จึงสามารถทะลุถึงขั้นพิสุทธิ์ได้ด้วย ทว่าเส้นทางแห่งเซียนในเบื้องหน้านั้นช่างมืดมิดนัก
ด้วยสติปัญญาและไหวพริบที่เจ้าสำนักมี เป็นเรื่องยากยิ่งที่เขาจะเดินหน้าต่อได้ ไม่ต่างจากคนตาบอดที่คลำสำรวจตัวช้าง นี่ถ้าหากเขาได้กินผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงอีกครั้งล่ะก็… โชคร้ายที่ผลไม้ศักดิ์สิทธิ์นั้นหาได้ยากยิ่ง การได้ลิ้มรสของมันครั้งหนึ่งเมื่อในอดีตก็เหมือนเขาได้ใช้โชคทั้งหมดที่สะสมไว้หลายชาติหมดไปแล้ว…
ดังนั้นจึงมีเพียงวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเท่านั้นจึงจะช่วยได้ วิชาที่เปลี่ยนอายุขัยเป็นพลังอิทธิฤทธิ์จำนวนมหาศาลจะช่วยให้เขามีโอกาสฝ่าทะลวงขั้นตบะได้
ทว่าพอเจ้าสำนักเจ็ดดาราสังเวยช่วงชีวิตสิบปีของเขาไปแล้ว แม้จะได้พลังอิทธิฤทธิ์กลับมามหาศาล แต่ก็ยังห่างไกลจากการฝ่าทะลวงขั้นตบะมาก อาศัยการสะสมพลังอิทธิฤทธิ์เพียงอย่างเดียวในการขยับขั้นตบะ หากมองทั้งแง่ศาสตร์และศิลป์แล้ว ความยากของมันนั้นเกินกว่าที่เจ้าสำนักเจ็ดดาราจะจินตนาการได้ หากต้องการฝ่าทะลวงขั้นตบะโดยการใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภา ไม่แน่ว่าเขาอาจต้องสังเวยอายุตัวเองนับร้อยๆ ปี! ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่คุ้มเอาเสียเลย…
“วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาไม่ได้สร้างมาเพื่อให้พวกคนโง่สันหลังยาวใช้เป็นทางลัด ผู้บำเพ็ญเซียนชั่วร้ายที่คิดค้นวิชานี้ขึ้นมาใช้วิชานี้เป็นตัวเลือกสุดท้ายหลังจากได้ลองทุกทางแล้ว ความจริงหลายคนเข้าใจวิธีใช้งานของวิชานี้ผิด พวกเขามองเพียงว่าวิชานี้ใช้อย่างไร นั่นคืออายุขัยแลกการบำเพ็ญเซียน แต่พวกเขาละเลยแก่นที่แท้จริงของวิชานี้”
“แก่นที่แท้จริง?”
“หากดูที่ชื่อเจ้าก็คงรู้ได้ สิ่งที่วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาผลาญจริงๆ ก็คือเลือดไม่ใช่อายุขัย หึ เจ้าคงอยากจะถามว่ามันต่างกันอย่างไร ง่ายมาก ตอนที่เจ้าคำนวณอายุขัยกับพลังอิทธิฤทธิ์ สิ่งที่เผาผลาญไปก็คืออายุของเจ้า แต่หากเจ้าเพิกเฉยเรื่องอายุขัยและจดจ่อไปที่เส้นทางแห่งเซียนเพื่อจะก้าวไปข้างหน้า สิ่งที่เจ้าเผาผลาญก็คือเลือด เลือดร้อนๆ หากมองในอีกมุมหนึ่ง วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาต้องการผู้บำเพ็ญเซียนที่ลุ่มหลงในเส้นทางแห่งเซียน เมื่อมองจากจุดนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ติดตามของสำนักพันวิญญาณในประเทศจันทราขาวที่เชื่อว่าพวกเขาสามารถใช้ขั้นตบะที่สูงกว่ากดหัวคนอื่นได้ หรือแม้แต้เจ้า ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ ก็ยังถือว่าห่างไกลอยู่มาก”
เรื่องประวัติและคุณสมบัติเฉพาะของวิชาโลหิตเพลิงโหมนภานั้น ความรู้ของเจ้าสำนักยังห่างชั้นกว่าหวังลู่นัก ดังนั้นเขาจึงฟังเงียบๆ พลางขบคิดถึงเหตุผลที่หวังลู่เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง
“เพราะข้าคิดว่าเจ้าควรรู้ถึงปัญหานี้ และในเมื่อข้ารู้ถึงธรรมชาติของวิชาโลหิตเพลิงโหมนภา แล้วข้าจะใช้วิชานี้ผิดๆ เหมือนสำนักพันวิญญาณได้อย่างไร”
ขณะพูด หวังลู่ก็เดินมาถึงโรงเรียนหมู่บ้านตระกูลหวัง พวกเขาได้ยินเสียงขึ้นๆ ลงๆ ของตาแก่เหออวิ๋นดังออกมาจากภายใน ตาแก่ลามกกำลังอธิบายวิธีบำเพ็ญเซียนและทักษะพื้นฐานง่ายๆ บางเรื่อง ถึงอย่างนั้นคำอธิบายของเหออวิ๋นก็มีหลักการ หนำซ้ำข้อมูลยังถูกต้อง แสดงให้เห็นถึงความรู้พื้นฐานที่ลุ่มลึก
เจ้าสำนักเจ็ดดาราตระหนักได้ในทันทีว่าตาแก่ผู้นี้เพียงแค่อ่านจากตำราเอา ส่วนผู้ที่ตระเตรียมเนื้อหาในการสอนแน่นอนว่าต้องเป็นเด็กหนุ่มเจ้าสำนักภูมิปัญญาที่บำเพ็ญเซียนมาเพียงสามปีซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้… ทว่าให้เขามาเห็นสิ่งนี้แล้วจะได้ประโยชน์อะไร
“นี่ เจ้าเข้าไปดูให้เห็นกับตาตัวเองสิ” พูดจบหวังลู่ก็เปิดประตูโรงเรียน ภายในมีเหล่าชาวบ้านนั่งนิ่งฟังคำสอนของตาแก่ลามกราวกับเป็นรูปแกะสลัก
เจ้าสำนักเจ็ดดาราตะลึง แต่สิ่งที่ชวนตะลึงยิ่งกว่าคือสิ่งที่ได้เห็นต่อจากนั้น
ในตาของเหล่าชาวบ้านเต็มไปด้วยความคลั่งไคล้ ซึ่งเข้ากันกับท่านั่งนิ่งราวกับหินของพวกเขาราวกับลาวาที่กำลังเดือดปุดๆ อยู่ภายใต้ผืนโลก… เป็นสายตาที่ปรารถนาและโหยหาเส้นทางแห่งเซียน!
หลังจากที่เขาให้เจ้าสำนักสำรวจภายในโรงเรียนอยู่พักใหญ่ หวังลู่ก็เดินออกมา ฉีกยิ้มและถามขึ้น “เจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง”
เจ้าสำนักเจ็ดดาราถามด้วยน้ำเสียงกดต่ำ “ทำไมกัน”
เหตุใดกลุ่มชาวบ้านที่ไม่อาจเอื้อมในเส้นทางแห่งเซียนจึงมีความหลงไหลในโลกแห่งเซียนอย่างรุนแรงเช่นนี้ สิ่งนี้นั้น…เขาไม่อาจเข้าใจได้แม้แต่น้อย
“เพราะอุดมการณ์”
หวังลู่กล่าว ทว่าเขาไม่ได้รีบร้อนอธิบายว่าอุดมการณ์ของชาวบ้านเหล่านั้นคืออะไร แต่กลับถามกลับ “เจ้าล่ะมีอุดมการณ์ไหม”
เจ้าสำนักเจ็ดดาราผงะ เขาไม่คาดคิดว่าหวังลู่จะถามคำถามเช่นนั้น จึงไม่รู้ว่าจะตอบให้ฟังดูดีที่สุดได้อย่างไร
“เจ้าบำเพ็ญเซียนมานับร้อยปีอีกทั้งยังก่อตั้งสำนักเจ็ดดาราด้วย เจ้าไม่มีเป้าหมายเลยหรือ หากดูตามขั้นตบะของเจ้า เจ้าสามารถเข้าร่วมพันธมิตรหมื่นเซียนได้ด้วยซ้ำ เหตุใดจึงมัวยึดติดอยู่กับสำนักเจ็ดดาราเล่า เจ้าไม่มีเป้าประสงค์ในใจอยู่เลยหรือไร”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของหวังลู่ ความรู้สึกของเจ้าสำนักเจ็ดดาราก็ผสมปนเปกันอยู่ครู่หนึ่ง แน่นอนว่าหากไม่ใช่เพราะอุดมการณ์ส่วนตัว เขาย่อมหาสำนักใหญ่ๆ เป็นที่คุ้มกะลาหัวแต่แรกแล้ว หลังจากที่เป็นสุนัขรับใช้ในสำนักต่างๆ มาหลายปี แน่ละว่าเขาย่อมได้ประโยชน์ตามสมควร แต่กระนั้น…
หวังลู่ไม่ให้โอกาสเจ้าสำนักดำดิ่งอยู่กับอารมณ์ของตัวเองนานนัก เขายิ้มและพูดต่อ “ข้าว่าเจ้าอาจต้องการอิสระ แทนที่จะเป็นสุนัขรับใช้ในสำนักอื่น เจ้ากลับออกมาและสร้างสำนักขึ้นเอง ด้วยเหตุนี้สำนักเจ็ดดาราจึงกำเนิดขึ้น บอกตามตรงว่าพัฒนาการของเจ้านั้นไม่เลว หากเจ้ามุดหัวอยู่ในสำนักอื่น ด้วยข้อจำกัดที่เจ้ามี แน่นอนว่าขั้นตบะเจ้าย่อมไม่สูงถึงขนาดนี้แน่”
“หึ” เจ้าสำนักเจ็ดดาราหัวเราะเบาๆ ยอมรับในใจว่าคำพูดของอีกฝ่ายนั้นสมเหตุสมผล
“นั่นคือเหตุผลที่ว่าเหตุใดการมีอุดมการณ์จึงเป็นเรื่องดี เมื่อมีอุดมการณ์เจ้าก็จะบำเพ็ญเซียนได้ดี มีพลังขับเคลื่อนด้วยตนเอง แม้จะเทียบไม่ได้กับพวกคนที่มีสติปัญญาในโลกแห่งเซียน แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่ในความคลุมเครือไปตลอดชีวิต เจ้าว่าจริงไหม ทว่าอุดมการณ์ของเจ้ามันก็เท่านั้น”
ขณะกำลังสนทนากันพวกเขาเดินอยู่บนถนนในหมู่บ้าน มีชาวบ้านคนหนึ่งวิ่งผ่านไปอย่างรีบร้อน หวังลู่ฉวยแขนอีกฝ่ายไว้และถามตรงไปตรงมา “เจ้าบำเพ็ญเซียนไปเพื่ออะไร”
ครั้งนี้หวังลู่ไม่ได้ปรากฏตัวในร่างของเจ้าสำนัก ชาวบ้านคนนั้นจึงจำเขาไม่ได้ จึงรู้สึกประหลาดใจที่ถูกเรียกตัวไว้ แต่พอเห็นว่าผู้ที่ยืนอยู่ข้างหลังหวังลู่คือเหวินเป่า เขาก็เดาได้ทันทีว่าหวังลู่ต้องเป็นหนึ่งในพวกระดับสูงของสำนักภูมิปัญญาแน่ หลังจากยกมือขึ้นคำนับแล้ว ชาวบ้านคนนั้นก็ตอบกลับอย่างจริงจัง “เพื่อการเคลื่อนสู่สวรรค์ของโลก!”
คำพูดที่ทรงพลังของเขาทำให้คนฟังตื่นตะลึง
หวังลู่ยิ้มพลางตบบ่าอีกฝ่าย “เด็กหนุ่มอนาคตไกล” จากนั้นก็ปล่อยชาวบ้านผู้นั้นไป
เจ้าสำนักเจ็ดดาราหันศีรษะกลับมา แม้เขาจะทึ่งกับคำตอบที่มุ่งมั่นของชาวบ้านคนนั้น แต่เขาก็ยังไม่กระจ่างอยู่เรื่องหนึ่ง “การเคลื่อนสู่สวรรค์ของโลกคืออะไร”
ดังนั้นหวังลู่จึงอธิบายทฤษฎีผู้เบิกทางหนึ่งล้านคนให้เจ้าสำนักฟัง เมื่อได้ฟังคำอธิบาย เจ้าสำนักเจ็ดดาราก็อึ้งไป “นี่เจ้าคิดทฤษฎีระยำนี่ขึ้นมาได้อย่างไรเนี่ย” จากนั้นก็เหยียดยิ้ม “งั้นที่เจ้าพูดมาทั้งหมดทั้งมวลนี่ อุดมการณ์ที่ว่านี่ก็แค่อุบายล้างสมองปลอมเปลือกอย่างนั้นหรือ”
หวังลู่ยิ้มและถามกลับ “จริงอยู่ที่มันเป็นแค่อุบาย แต่แล้วจะผิดอะไรเล่า หากอาณาจักรเก้าแคว้นจะมีผู้เบิกทางถึงหนึ่งล้านคน มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร การที่ทำให้พวกชาวบ้านสมองขี้เลื่อยทั้งหลายมีอุดมการณ์ที่พวกเขาจะดิ้นรนเพื่อทำให้สำเร็จ นี่สิจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด”
“ช่างเป็นคำพูดที่สวยหรูยิ่งนัก! เจ้าใช้เรื่องโกหกปลุกปั่นให้ชาวบ้านไร้การศึกษารู้สึกฮึกเหิม จากนั้นก็ใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเผาผลาญความลุ่มหลงนี้ จากนั้น…
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เจ้าสำนักเจ็ดดาราก็นิ่งอึ้งไป
หวังลู่ต่อคำพูดของเจ้าสำรักด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “จากนั้นข้าก็ลงทุนลงแรงกับชาวบ้านไร้การศึกษาพวกนี้ ภายในสามเดือนต่อมาหมู่บ้านตระกูลหวังจึงพัฒนามาถึงจุดนี้ได้ ตั้งแต่แรกนั้น ข้าลงทุนลงแรงไปไม่น้อย จนถึงตอนนี้ ข้ายังขาดทุนศิลาวิญญาณไปตั้งหลายก้อน… เช่นนั้นเจ้าจะกล่าวหาข้าว่าอย่างไร เสียสละเกินไปอย่างนั้นหรือ”
เจ้าสำนักเจ็ดดารานิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะเอ่ยปากถาม “ทำไม”
หวังลู่ถามกลับ “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”
“…ชาวบ้านพวกเขาต้องเกลียดเจ้าแน่ถ้าได้รู้ความจริง”
หวังลู่ระเบิดหัวเราะ “น่าขำสิ้นดี เจ้าเองเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ เจ้าย่อมไม่ควรโง่เขลาเรื่องการบำเพ็ญเซียน จริงไหม วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเผาผลาญอายุขัย แล้วคนที่บำเพ็ญเซียนจะไม่รู้ได้อย่างไร หากต้องการ เจ้าจะไปถามชาวบ้านว่าพวกเขารู้ความจริงข้อนี้หรือเปล่าก็ย่อมได้!
“เพื่ออุดมการณ์ลวงโลก พวกเขาถึงกับยอมสละอายุขัยตัวเองเชียวหรือ”
“ฮ่าๆๆ แม้อุดมการณ์ไม่อาจทำให้เป็นจริง แต่การเปลี่ยนแปลงในหมู่บ้านตระกูลหวังเป็นเรื่องจริง และการบรรลุขั้นเซียนของพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องโกหก แน่ละว่านี่เป็นเพียงก้าวเล็กๆ ในเส้นทางแห่งเซียน ทว่าความจริงที่ว่าพวกเขาได้ก้าวย่างลงบนเส้นทางแห่งเซียนแล้วจริงๆ ก็เพียงพอให้เหล่าคนที่โง่เขลาพวกนี้ตื่นเต้นแล้ว”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หวังลู่ก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง “พูดถึงเรื่องนี้ ข้าอยากจะเล่าเรื่องน่าสนใจให้เจ้าฟังสักหน่อย เมื่อสองสามวันก่อน มีกลุ่มโจรภูเขาปรากฏตัวแถวๆ หมู่บ้านตระกูลหวังเพื่อขโมยของ ผลก็คือชาวบ้านตบะขั้นฝึกปราณสามคนที่มีเพียงเคียวกับไม้สามารถจัดการโจรนับสิบคนได้ พวกนั้นทำอะไรไม่ได้นอกจากวิ่งหนีหางจุกตูด… ถือเป็นฉากดีงามไม่น้อยเลย”
พูดจบหวังลู่ก็หันกลับมา “ตอนนี้เจ้าก็คงเข้าใจสภาพของสำนักภูมิปัญญาได้คร่าวๆ แล้ว คิดจะเปลี่ยนใจหรือยังเล่า”
เจ้าสำนักเจ็ดดารากล่าวอย่างขมขื่น “เจ้า…อยากให้ข้าเข้าสำนักภูมิปัญญาจริงหรือ”
หวังลู่ตอบ “ถูกต้อง ครั้งนี้ถือเป็นการชักชวนอย่างเป็นทางการ แม้สำนักนี้จะตั้งมาไม่นาน แต่ใครก็ตามที่มีตา ย่อมเห็นโอกาสที่สำนักภูมิปัญญาจะพัฒนาได้อย่างอน่นอน”
เจ้าสำนักเจ็ดดาราถามกลับ “เหตุใดจึงเป็นข้า จากปูมหลังของเจ้า เจ้าย่อมหาผู้ติดตามที่ยอดเยี่ยมได้เป็นจำนวนมาก แม้แต่คนในพันธมิตรหมื่นเซียน…”
หวังลู่ขัดขึ้น “ข้าไม่สนพวกผู้บำเพ็ญเซียนจากพันธมิตรหมื่นเซียน ตอนนี้สำนักภูมิปัญญาไม่ต้องการพวกมีพรสวรรค์ระดับสูงที่เย่อหยิ่งเอาแต่ใจ แต่เป็นพวกที่ตามองต่ำเท้าติดดินและมาจากชั้นรากหญ้าอย่างสำนักเจ็ดดาราของเจ้า และท่ามกลางพวกหัวกะทิในชั้นรากหญ้า เจ้าถือว่าหาได้ยากยิ่ง แม้ปัญญาและการหยั่งรู้ของเจ้าจะธรรมดา แต่หากสามารถฝึกไปถึงขั้นพิสุทธิ์และก่อตั้งสำนักเจ็ดดาราเองได้… เจ้าย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน”
เมื่อถูกวิจารณ์จากผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มขั้นฝึกปราณราวกับว่าอีกฝ่ายมีประสบการณ์มากกว่า เจ้าสำนักเจ็ดดาราก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี
“เป็นไปไม่ได้ที่จะพัฒนาสำนักโดยอาศัยเพียงแค่กำลังคนอย่างเดียว การใช้เงินหมื่นเหรียญ ไม่สิ แสนเหรียญศิลาวิญญาณจ้างกลุ่มผู้บำเพ็ญเซียนที่โง่เขลาแล้วเปลี่ยนพวกเขาให้เชื่อฟังฟังดูสวยงามก็จริง แต่หากสำนักผลาญศิลาวิญญาณไปเกือบหมดสิ้น เช่นนั้นสำนักก็จะอันตรธานไปราวกับหมอกควัน ในทางตรงข้าม สำนักเจ็ดดาราที่เต็มไปด้วยหมาจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ ผู้เชี่ยวชาญในการแหวกว่ายโคลนตมในโลกแห่งเซียน ย่อมคู่ควรกับสำนักภูมิปัญญาในยุคแรกๆ นี้มากกว่า ในความคิดเห็นของเจ้า เจ้าอยากจะติดแหงกอยู่บนยอดเขาแร้นแค้นที่เจ้าเรียกว่าฐานที่มั่นหลัก หรือจะมาฝึกบำเพ็ญเซียนที่นี่ ข้าเชื่อว่าคงตัดสินใจไม่ยากหรอกมั้ง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของหวังลู่ก็เยือกเย็นขึ้น “ไม่แน่ว่าในฐานะเจ้าสำนัก เจ้าอาจลำบากใจที่ต้องเลือกเป็นหัวไก่หรือเป็นหางของนกเพลิง แต่สำหรับคนอื่นๆ ของสำนักเจ็ดดารา เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย หนำซ้ำเจ้าเองก็เป็นเจ้าสำนักมานานพอแล้ว ลองถามตัวเองสิว่า ความใฝ่ฝันที่เจ้าเรียกมันว่าอิสระนั้นเจ้าคว้ามันมาได้จริงๆ แล้วหรือยัง”
เจ้าสำนักเจ็ดดารานิ่งเงียบอยู่นาน
“ขอเวลาข้าวันนึง”
“ย่อมได้ ข้าให้เวลาเจ้าไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน เพราะฉะนั้นตอนนี้ให้คำตอบข้าได้แล้ว”
“…”
…………………………………