ตอนที่ 28 ทูตเจรจาเหวินเป่า โดย Ink Stone_Fantasy
หวังลู่ไม่ให้เวลาอีกฝ่ายได้คิด
จริงอยู่ที่เจ้าสำนักเจ็ดดาราเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่ท้ายที่สุดเขาก็เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนที่ตรมเศร้าในโลกแห่งเซียน ไม่คู่ควรให้หวังลู่เอ่ยปากถามซ้ำสอง
ดังนั้นเจ้าสำนักเจ็ดดาราจึงเลือกเส้นทางเดียวที่เปิดกว้างให้เขาอย่างสิ้นหวัง นั่นคือยอมตกลง จากนั้นเขาก็ให้คำสาบานกับปีศาจในใจ และนับแต่นี้ต่อไปก็จะทำงานเป็นผู้ติดตามใต้อาณัติของหวังลู่ด้วยความสมัครใจ
ตั้งแต่นั้น ตำแหน่งของเย่ชูเฉิน เจ้าสำนักเจ็ดดาราก็เปลี่ยนเป็นรองหัวหน้าศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา
เมื่อถูกถอดจากตำแหน่งเจ้าสำนัก เย่ชูเฉินจึงเป็นเพียงชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบถึงห้าสิบปี พอถูกแต่งตั้งให้เป็นรองหัวหน้าศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา เย่ชูเฉินก็ได้แต่แค่นยิ้ม รู้ตัวว่าตัวเองไม่มีทางเลือกอื่นใด
ภารกิจแรกที่หวังลู่มอบให้เย่ชูเฉินคือให้เขาเอาชนะผู้ใต้บังคับบัญชาเดิม เย่ชูเฉินหันหลังเดินจากไปด้วยรอยยิ้มบูดเบี้ยว เขาคิดถึงพลังวิญญาณขั้นปฐมของตนที่ถูกผูกติดไว้กับคำสาบานกับปีศาจ แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะพูดอย่างไรเมื่อได้พบกับอดีตผู้ใต้บังคับบัญชา
หวังลู่มองเย่ชูเฉินที่เหาะจากไปในอากาศ จากนั้นก็ได้แต่ยืนนิ่งอยู่พักใหญ่แล้วก็ถอนหายใจออกมา “การทำตัวเย็นชานี่ใช้ความพยายามไม่น้อยเลย”
“ฮ่า ใครบังคับให้เจ้าเสแสร้งกันเล่า”
เสียงของเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ดังมาจากด้านหลังโดยที่หวังลู่ไม่ทันได้รู้ตัว
สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนที่สามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงของพลังปราณฟ้าดินได้ หญิงสาวผู้นี้ถือว่าไวเหมือนปรอท และเพราะคุณสมบัติข้อนี้เองที่ทำให้นางลอบจู่โจมเย่ชูเฉิน ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ผู้ทรงเกียรติได้ง่ายๆ
“ตายละ ได้เห็นเจ้าทำหน้านิ่งเหมือนมังกรทะนงที่บินเอื่อยไปบนฟากฟ้าอย่างไร้อารมณ์เช่นนี้ ข้าไม่สบายใจเลยจริงๆ”
หวังลู่หัวเราะ “ข้าเองก็ไม่สบายใจ เหมือนเพิ่งรู้ว่าตัวเองตั้งท้องก็ไม่ปาน… ทว่านี่คือการฝึกฝนของผู้เป็นนักแสดง หากข้าอยากให้คนอย่างเย่ชูเฉินยินยอมอย่างสมัครใจ ทักษะการแสดงของข้าก็ควรจะต้องเยี่ยมยุทธ์”
เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ส่งเสียงฮึ “แค่อัดให้น่วมก็พอแล้ว”
ทว่าหญิงสาวก็ไม่ได้เป็นจริงเป็นจังกับคำพูดนั้นนัก หลังจากเงียบกันไปพักใหญ่ นางก็มองไปยังควันซึ่งลอยออกมาจากหมู่บ้านตระกูลหวังจากนั้นก็ถอนหายใจ “ครั้งนี้การเล่นสนุกของเจ้าไม่ใช่เล็กๆ เลย ข้าว่าไม่มีผู้อาวุโสในสำนักคนไหนคาดคิดว่าเจ้าจะเรียนรู้หาประสบการณ์ด้วยวิธีเช่นนี้แน่”
หวังลู่พูดหยัน “นี่ละคือช่องว่างระหว่างนักผจญภัยมืออาชีพกับปุถุชนธรรมดา โอกาสจะลงจากเขานั้นถือว่าหาได้ยาก จะให้วิ่งพล่านไปทั่วเหมือนไก่ไร้หัว รอคอยสิ่งที่เรียกว่าโอกาสมาปรากฏตรงหน้า และบรรลุสิ่งที่เรียกว่าการเติบโตจากความล้มเหลวและผิดพลาดซ้ำๆ เช่นนั้น ท่านไม่คิดว่ามันงี่เง่าบ้างหรือ”
เสี่ยวหลิงเอ๋อร์หมุนตัวกลับมาและเหลือบตามองหวังลู่ ใบหน้าของเด็กหนุ่มอาบด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน แต่ก็ไม่สื่อถึงความรำคาญแต่อย่างใด
ตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน หวังลู่เป็นคนที่มีความมั่นใจและหลงตัวเอง บางคนอาจคิดว่าคนผู้นี้นั้นหยิ่งผยองและเหลืออด แต่เสี่ยวหลิงเอ๋อร์กลับคิดว่าเขาน่าสนใจไม่น้อย
ตราบใดที่นางอยู่ใกล้ๆ หวังลู่ นางย่อมได้ประสบกับเรื่องสนุกๆ ที่ไม่คาดฝันมากมาย เหมือนเรื่องเงินสิบล้านตำลึงเงินบ้าบอนั่นเมื่อตอนพบกันครั้งแรกที่เมืองธาราวิญญาณ หรือการกระทำที่ไม่คาดฝันของเขาตอนงานชุมนุมคัดเลือกเซียน การเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ในขณะที่ศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักกระบี่วิญญาณตั้งอกตั้งใจมองหาโอกาสตามสถานที่ที่ผู้อาวุโสกำหนดไว้ให้ในแผนที่ แต่หวังลู่กลับพยายามทำเคลื่อนโลกขึ้นสู่สวรรค์…ช่างน่าขันเกินไปแล้ว!
เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามสิ่งที่อยู่ในใจของนางมาเนิ่นนาน
“นี่ หวังลู่ ข้าถามอะไรเจ้าหน่อยสิ”
“ว่ามาเลย พี่หญิงหลิง”
“เจ้าจริงจังกับสำนักภูมิปัญญานี่จริงๆ หรือ”
หวังลู่เบ้ปาก “ข้าลงเงินไปตั้งแสนศิลาวิญญาณ ท่านคิดว่าข้าไม่จริงจังหรือ”
“…งั้นเจ้าก็ควรคิดด้วยว่า นี่ไม่ใช่การละเล่นที่เจ้าควรจะหมกมุ่นจนเกินไป เพราะภารกิจเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ของสำนักกินเวลาแค่ปีเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะเป็นเจ้าสำนักภูมิปัญญาไปตลอดกาล นอกจากว่าเจ้า…”
หวังลู่ขัดขึ้น “คุณสมบัติพื้นฐานข้อหนึ่งของนักผจญภัยมืออาชีพก็คือ ไม่จำเป็นต้องโดนไฟฟ้าดูดเพื่อให้เลิกหมกมุ่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ข้าลงจากเขามาเพื่อเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ ไม่ใช่เพื่อละทิ้งหน้าที่หลัก ท้ายที่สุดสิ่งที่ข้าสนใจก็คือโลกแห่งเซียน ไม่ใช่การเก็บภาษีสติปัญญาจากพวกไม่รู้ความเหล่านี้”
“จริงหรือ” เสี่ยวหลิงเอ๋อร์เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แม้คำพูดของหวังลู่จะฟังดูดี แต่หลายเดือนมานี้ หวังลู่อุทิศตนให้สำนักภูมิปัญญาอย่างมาก จนไม่น่าจะปล่อยมือไปได้ง่ายๆ ทว่าในเมื่อเขาพูดเช่นนั้น…
“ข้าได้บอกท่านหรือเปล่าว่า เมื่อเร็วๆ นี้มีสัญญาณว่าจิตไร้ลักษณ์ของข้าจะบรรลุขึ้นไปอีกขั้น ไม่แน่ว่าภายในสองเดือน ข้าอาจจะสำเร็จไปถึงขั้นฝึกปราณระดับกลางก็เป็นได้”
“อะไรกัน! ทำไมเจ้าถึงจะบรรลุไปถึงขั้นฝึกปราณระดับกลางเร็วนัก” เสี่ยวหลิงเอ๋อร์มองหวังลู่อย่างประหลาดใจ “ไม่เห็นจะสัมพันธ์กับผู้บำเพ็ญเซียนขี้แพ้อย่างเจ้าเลย”
“ไม่เอาน่า อย่าดูถูกรากวิญญาณนภาของข้าเชียวนะ… เมื่อเทียบกับรากวิญญาณนภาของท่านบรรพบุรุษเต๋อเซิ่ง พัฒนาการข้าถือว่าช้าจนอยากจะร่ำไห้ ท่านบรรพบุรุษเต๋อเซิ่งใช้เวลายี่สิบปีจึงได้เป็นเซียนที่แท้จริง แถมตบะขั้นฝึกปราณทั้งขั้นเขาใช้เวลาบรรลุมันไม่ถึงหนึ่งปี ส่วนข้าต้องใช้เวลาถึงสามปีกว่าจะมาถึงขั้นฝึกปราณระดับกลาง ไม่ต่างจากเต่าคลานเลยจริงๆ หนำซ้ำนี่เป็นผลมาจากการถูกกระตุ้นซ้ำๆ ด้วยซ้ำไป ตอนแรกก็เมื่อคราวที่ข้าสร้างกระแสพลังปราณ ต่อมาก็ตอนที่ข้าฝืนตัวเองเพื่อสู้กับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ข้าจะบรรลุไปได้ อีกขั้น อย่างไรเสียนี่ก็ถือเป็นผลสำเร็จข้อหนึ่งที่จะใช้รายงานได้ตอนกลับขึ้นเขาไปแล้ว”
เสี่ยวหลิงเอ๋อร์กลอกตา นางจับใจความสำคัญในประโยคของหวังลู่ได้ “เจ้าจะไม่รายงานเรื่องสำนักภูมิปัญญาหน่อยหรือ”
“เหลวไหล ข้าจะพูดได้อย่างไร หากตาแก่ฟางรู้เรื่องเข้าละก็ ข้าต้องโดนสายฟ้าจากสวรรค์ฟาดลงมาจนเหลือเพียงขี้เถ้าแน่ๆ แต่เอาเถอะ ในเมื่อข้ามีพี่หญิงหลิงอยู่ด้วย ข้าก็ไม่ต้องกังวลถึงเรื่องนั้นให้มากนักหรอก ฮ่า!”
“เวรเถอะ! อย่าคิดเอาข้าเป็นโล่มนุษย์หน่อยเลย ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเขาถือว่าไม่เลว หากเขามาถึงนี่จริงๆ สิ่งแรกที่ข้าจะทำคือลากตัวเจ้าไปหาเขาเนี่ยแหละ! เฮ้อ ดีแล้วล่ะที่เจ้าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ หากเรื่องนี้เล็ดลอดออกไป ทั้งสำนักต้องถูกดึงมาพัวพันเพราะเจ้าแน่ๆ แม้ทฤษฎีของเจ้าจะสั่นคลอนจิตใจคนได้ แต่แค่การใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเพียงอย่างเดียว พันธมิตรหมื่นเซียนก็ย่อมไม่ปล่อยเจ้าแน่”
หวังลู่ยิ้มไม่พูดอะไร
ถูกต้องแล้ว วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาถือเป็นจุดอ่อนของสำนักภูมิปัญญา แม้เขาจะลวงเย่ชูเฉินได้ด้วยการใช้คำพูดสละสลวยอย่าง “เลือดร้อน” และ “กระตือรือร้น” แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่ใช่วิชาที่ซื่อตรง แม้จะมีความกระตือรือร้นมากเท่าไร แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะได้ผลลัพธ์ในเชิงบวกจำนวนมากหากอาศัยเพียงรากวิญญาณหกประสานอย่างเดียว ที่สุดแล้วสำนักภูมิปัญญาก็อยู่ในขั้นต้นของการก่อตั้ง ไม่แน่ว่าเส้นทางแห่งเซียนอาจมีปาฏิหาริย์ก็จริง แต่ก็ไม่ได้มีไว้เพื่อปุถุชนธรรมดาอยู่ดี
ทว่าแล้วอย่างไรเล่า แม้แต่คนมีไหวพริบอย่างเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ยังไม่ตระหนักถึงเนื้อแท้ของพันธมิตรหมื่นเซียนผู้ทรงอำนาจเลย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หวังลู่ก็ส่ายหัว เส้นความคิดในสมองเขาดูเหมือนจะไถลออกนอกรางไปไกล อย่างไรเสียเรื่องของสำนักภูมิปัญญาก็ยังไปไม่ถึงหูของพันธมิตรหมื่นเซียน ในอนาคตเมื่อสำนักเติบโตได้มากพอ ถึงเวลานั้นเขาค่อยคิดแก้ปัญหาเรื่องพันธมิตรหมื่นเซียนก็ย่อมได้
——
การถอนตัวของเย่ชูเฉินถือเป็นจุดสิ้นสุดของสำนักเจ็ดดารา ทำให้สำนักต้องสลายไปโดยปริยาย ผู้อาวุโสมากกว่าสิบคนที่ติดตามเขามาตอนที่จะมาปะทะกับสำนักภูมิปัญญาได้รับการอภัยจากหวังลู่ คนทั้งหมดเปลี่ยนใจและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสำนักภูมิปัญญา
นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของสำนักภูมิปัญญาเท่านั้น ท่ามกลางผู้มีพรสวรรค์มากมายและหวังลู่ก็นั่งเป็นประธานเจ้าสำนัก ย่อมไม่มีสิ่งใดผิดพลาดแน่นอน ตอนที่ผู้อาวุโสของสำนักเจ็ดดาราเข้าร่วมสำนักภูมิปัญญา พวกเขาไม่ได้ถูกแยกออกจากกัน แต่ถูกจับให้ทำงานร่วมกันในหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาใหม่ที่ชื่อว่า หน่วยเจ็ดดารา ซึ่งเย่ชูเฉินเป็นคนดูแลจัดการ
ส่วนเนื้องานนั้น ไม่ได้เป็นการปล้นชิงหรือกรรโชกกทรัพย์ แต่เป็นการส่งต่อมรดกของสำนักเจ็ดดาราให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ก่อนที่เจ้าสำนักเย่ชูเฉินจะยอมจำนน ในบรรดาสำนักต่างๆ ในประเทศต้าหมิง อิทธิพลของสำนักเจ็ดดาราถือว่ายิ่งใหญ่ไม่น้อย นอกเหนือจากฐานที่มั่นหลักในจังหวัดตงเต้า พวกเขายังมีขุมกำลังกระจายอยู่ในจังหวัดใหญ่ๆ ของประเทศต้าหมิงอีกด้วย
ผ่านไปหนึ่งเดือน ขุมกำลังเกือบทั้งหมดก็ตกอยู่ในมือของสำนักภูมิปัญญา และเมื่อใช้สถานที่เหล่านี้เป็นฐานกำลัง อิทธิพลของสำนักภูมิปัญญาก็แผ่ขยายไปทั่วทุกทิศทาง หนึ่งเดือนถัดมา ผู้ติดตามของสำนักภูมิปัญญาก็เพิ่มจำนวนขึ้นเป็นแสนคน ในขณะเดียวกัน ที่ฐานที่มั่นเดิมของสำนักเจ็ดดาราในอำเภออู่โถว หวังลู่ก็ลงไปทำภารกิจหนึ่งด้วยตัวเอง เขาใช้แท่นบูชาเดิมของเย่ชูเฉินเป็นฐานและสร้างแท่นบูชาใหม่ ซึ่งคือแท่นบูชาวายุพิโรธชนิดเคลื่อนย้ายได้ขึ้นมา แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแท่นบูชาระดับแปด แต่ก็เป็นประเภทที่เคลื่อนย้ายได้จริง ซึ่งถือว่าเยี่ยมที่สุดในหมู่แท่นบูชาระดับแปดด้วยกัน เมื่อแท่นบูชานี้สร้างสำเร็จ สมาชิกดั้งเดิมของสำนักเจ็ดดาราถึงกลับหลั่งน้ำตา ก่อนหน้านี้คนของสำนักเจ็ดดาราไม่กล้าคิดฝันสักนิดว่าจะได้ครอบครองแท่นบูชาประเภทนี้
ผลก็คือ อุปสรรคใหญ่ที่สุดที่อาจส่งผลต่อความไม่มั่นคงของสำนักภูมิปัญญาก็ค่อยๆ ถูกขจัดออกไป แม้สมาชิกดั้งเดิมจะรู้สึกอาลัยสำนักเจ็ดดาราอยู่บ้าง แต่หลายเดือนที่ผ่านมา คนของสำนักภูมิปัญญาก็ไม่ได้กดขี่หรือเอาเปรียบพวกเขา ทั้งยังไม่ทำท่าเย็นชาใส่ หนำซ้ำพวกเขากลับสบายใจที่สำนักภูมิปัญญาเชื่อใจให้พวกเขาทำงานสำคัญมากมาย พฤติกรรมเช่นนี้ทำให้ผู้คนต่างพากันพูดไม่ออกอย่างแท้จริง
ในขณะเดียวกัน เมื่อมีแท่นบูชาวายุพิโรธชนิดเคลื่อนย้ายได้ในครอบครอง ความเร็วในการพัฒนาสำนักภูมิปัญญาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น จากคำพูดของหวังลู่ ตอนนี้สำนักเข้าสู่ยุคกอบโกยเท่าทวี แท่นบูชาทั้งสองแท่นจัดหาทรัพยากรได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแท่นบูชาปฐมกลียุคที่พ่นสิ่งของออกมาในคราวเดียวสอบเอ็ดอย่าง หากหวังลู่เป็นผู้ควบคุม มันมักพ่นวัตถุวิเศษชั้นเลิศออกมาบ่อยครั้ง หากวัดกันตามความร่ำรวยเพียงอย่างเดียว สำนักภูมิปัญญาร่ำรวยยิ่งกว่าสำนักระดับเก้าในพันธมิตรหมื่นเซียนเสียอีก เรียกได้ว่าพรั่งพร้อมสมบูรณ์ แน่ละว่าหากคำนึงถึงจำนวนผู้ติดตามนับแสนคนของสำนักภูมิปัญญาแล้ว คิดตามรายหัวแล้วยังถือว่าแทบไม่ได้อะไร แต่ก็ตามที่หวังลู่พูดไว้ ตอนนี้การเคลื่อนสู่สวรรค์ของโลกยังอยู่ในขั้นแรกเท่านั้น
อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า สำนักภูมิปัญญาจะมีอายุครบหกเดือนนับตั้งแต่ก่อตั้งมา เกินครึ่งของดินแดนในประเทศต้าหมิงต่างได้รับอิทธิพลจากสำนักภูมิปัญญาทั้งนั้น โดยมีจำนวนผู้ติดตามเกือบล้านคน ส่วนผู้ที่ให้ความสนใจต่อสำนักยิ่งมีจำนวนเยอะกว่านั้นมากนัก ถึงกระนั้นการขยายตัวอย่างรวดเร็วก็ไม่ได้ทำให้สำนักเกิดปัญหา การเพิ่มจำนวนของผู้ติดตามนั้นยิ่งทำให้การสั่งสมแหล่งทรัพยากรเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วไปด้วย
เมื่อครั้งที่สำนักเจ็ดดาราครอบครองเมืองหลวงจังหวัด พวกเขาได้ลาภลอยจำนวนมหาศาล ทว่าเงินทองที่ได้มาจากเมืองนั้นมาจากบรรณาการของชาวบ้านทั่วไป ดังนั้นเมื่อขับเคลื่อนด้วยคนนับล้าน ความเร็วในการรวบรวมศิลาวิญญาณก็มากเสียจนอ้าปากค้าง
ไม่แปลกที่คนยุคก่อนกล่าวไว้ใน ‘ตำราภูมิศาสตร์อาณาจักรเก้าแคว้น’ ว่าสายแร่ทรัพยากรของอาณาจักรเก้าแคว้นมีเพียงหนึ่งในสามของทั้งหมด ที่เหลือกระจัดกระจายกันไปตามที่ต่างๆ ในอาณาจักรเก้าแคว้น แต่ก็ยากที่จะเก็บรวบรวม เพราะค่าใช้จ่ายในการทำเหมืองนั้นสูงมาก จึงทำให้ถูกมองข้ามอยู่บ่อยครั้ง ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิศาสตร์เหล่านั้นจะประเมินจำนวนศิลาวิญญาณในอาณาจักรเก้าแคว้นต่ำไปสักหน่อย ในการประชุมครบรอบการก่อตั้งหกเดือนของสำนักภูมิปัญญา เจ้าสำนักหวังลู่เอารายงานสถิติล่าสุดออกมาแสดง จำนวนศิลาวิญญาณที่สำนักภูมิปัญญาเก็บรวบรวมได้ในหนึ่งวันนั้นสูงกว่าห้าพันศิลาวิญญาณเสียอีก…
แม้จะรู้ว่าความเร็วที่บ้าคลั่งนี้มาจากการแสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่ยั่งยืน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะทะนุบำรุงเอาไว้ แต่ตอนที่ได้รับรายงาน หวังลู่ก็ยังคงถอนหายใจ ตอนนี้อิทธิพลส่วนใหญ่ของสำนักภูมิปัญญายังอยู่ในประเทศต้าหมิง แต่ความสามารถในการเก็บรวบรวมศิลาวิญญาณนั้นไม่ต่างไปจากที่คาดไว้ในตอนแรก หากพวกเขายังแผ่ขยายอำนาจได้เช่นนี้ต่อไป ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็น่าจะศิลาวิญญาณเกินกว่าที่ตั้งไว้ เมื่อนั้นหากเขาใช้ประโยชน์สิ่งเหล่านี้อย่างเหมาะสม คุณภาพของสำนักต้องเติบโตอย่างก้าวกระโดดแน่
แน่นอนว่าการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของสำนักภูมิปัญญา ย่อมกระทบกับสำนักอื่นอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาหวังลู่พยายามเลี่ยงพันธมิตรหมื่นเซียนอย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันเขาก็ให้เย่ชูเฉิน เซี่ยฉือและผู้อาวุโสคนอื่นๆ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์เพื่อให้สำนักไม่ถูกเบื้องบนจับตามองมากนัก ส่วนสำนักอื่นที่ไม่ได้โด่งดังอะไร หากเกลี้ยกล่อมได้ก็จะเกลี้ยกล่อมเข้าสำนัก หากเกลี้ยกล่อมไม่ได้ก็จะทำลายให้สิ้น ในเมื่อสำนักภูมิปัญญามีเย่ชูเฉินที่ทำตัวเป็นอันธพาลขั้นพิสุทธิ์ รวมถึงธิดาเทพที่ล้มอันธพาลขั้นพิสุทธิ์ได้ในหมัดเดียว พวกเขาย่อมไม่เกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น
ทว่าการขยับขยายอย่างรวดเร็วและบ้าคลั่งของสำนักภูมิปัญญาก็ต้องเผชิญกับสภาวะคอขวดเมื่อย่างเข้าเดือนแปดของการก่อตั้งสำนักนั่นเอง
ราชสำนักของต้าหมิงรับรู้ถึงการมีอยู่ของสำนักภูมิปัญญาเข้าแล้ว
เอาเข้าจริงตามความเห็นของสำนักภูมิปัญญา ปฏิกิริยาของประเทศต้าหมิงถือว่าช้ามาก แม้สำนักภูมิปัญญาจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาตลอดแปดเดือน รวมถึงไม่ก่อเหตุวุ่นวายใหญ่โต แต่จะว่าไปเมื่อสำนักภูมิปัญญาเข้ามา การดูแลด้านความปลอดภัยทั่วประเทศต้าหมิงก็พัฒนาขึ้นไม่น้อย
ทว่าเมื่อสำนักสามารถส่งอิทธิพลต่อชาวบ้านนับสิบล้านคนในประเทศต้าหมิง จึงเป็นธรรมดาที่ราชสำนักจะตระหนักถึงเรื่องนี้
เมื่ออีกฝ่ายรับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขาแล้ว พวกเขาจะไม่มีตัวแทนก็ไม่ได้ ดังนั้นหวังลู่จึงส่งคณะทูตไปยังเมืองหลวงของประเทศต้าหมิงเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับผู้ปกครองประเทศ
“เช่นนั้นข้าจะมอบความรับผิดชอบที่หนักอึ้งของการเป็นตัวแทนทูตของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาในประเทศต้าหมิงให้กับเจ้า”
“หวัง… เอ่อไม่สิ ท่านผู้จัดการ งานนี้มันยากเกินไปสำหรับข้า” ทูตจำเป็นเปิดปากประท้วงอย่างสิ้นหวัง
“แน่นอนว่าการย้ายเจ้าที่จากเดิมเป็นหัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐานให้มาเป็นทูตเจรจาย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ข้าแน่ใจว่าเจ้าต้องเอาชนะมันได้แน่ เอาล่ะ พอที หมดเวลาพูดจาเรื่อยเปื่อยแล้ว เด็กหนุ่มผู้กล้า จงออกไปสร้างปาฏิหาริย์เถิด”
จากนั้นท่านผู้จัดการก็เตะทูตเจรจาหน้าใหม่ให้ออกไปเผชิญกับการเดินทางที่ยาวนาน
เหวินเป่าที่ต้องออกเดินทางไกล อดคิดในใจไม่ได้ว่าถูกหลอกเสียแล้ว
………………………………..