ภาคที่ 3 ขยายแผนการอันยิ่งใหญ่ ตอนที่ 29 เจ้าพวกรุ่นสองไม่เอาไหน

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 29 เจ้าพวกรุ่นสองไม่เอาไหน โดย Ink Stone_Fantasy

 

ตั้งแต่เมื่อแปดเดือนก่อนที่เหวินเป่าถูกหวังลู่ลวงให้ออกมาจากเมืองธาราวิญญาณ เขาก็ถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตัวอย่างเช่น ตอนที่ตั้งสำนักใหม่ๆ แม้แต่ตาแก่ลามกยังได้แต่งตั้งเป็นรองผู้จัดการศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา แต่เขาได้เป็นเพียงคนงานที่น่าสรรเสริญของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา หรือที่รู้จักกันในนาม ชายผู้แข็งแกร่ง ทั้งวันทั้งคืนเขาได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบเรื่องการขุดเหมือง ไม่ก็สร้างอาคารตามที่ต่างๆ ภายหลังจากที่สำนักภูมิปัญญาพัฒนาแล้ว เขาได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐาน ทว่าหน้าที่ความรับผิดชอบก็ยังเหมือนเดิม คือขุดเหมืองและสร้างอาคาร แต่เป็นขนาดที่ใหญ่กว่า

แน่นอนเหวินเป่ารู้เต็มอกว่าหวังลู่เชื่อใจให้เขาทำงานสำคัญของสำนัก ครึ่งปีกว่ามานี้ สำนักภูมิปัญญาหาเงินมาได้มหาศาล แต่สำนักเองก็จ่ายเงินออกไปราวสายน้ำเช่นกัน นอกจากเพื่อจัดหาโอสถหกประสาน โอสถเพาะรากวิญญาณและอื่นๆแล้ว ที่เหลือก็ลงไปกับสิ่งก่อสร้างพื้นฐานทั้งสิ้น ในตอนนั้น สิ่งของสร้างของสำนักภูมิปัญญาในหมู่บ้านตระกูลหวังยังทำให้อดีตเจ้าสำนักเจ็ดดาราตกตะลึงอีกด้วย

ทว่านับแต่นั้นจำนวนหมู่บ้านที่พัฒนาขึ้นมาเท่าเทียมกับหมู่บ้านตระกูลหวังก็มีเกือบสิบแห่ง แต่ละหมู่บ้านต่างมีพลังปราณฟ้าดินหนาแน่น จึงสมควรที่จะสร้างแท่นบูชาขึ้นที่นั่น เพื่อที่ว่าเหมืองเท่าทวีสองเหมืองของสำนักจะพัฒนาขึ้นเป็นเหมืองจำนวนมาก หวังลู่ไม่ได้ลงมาควบคุมการก่อสร้างหมู่บ้านเหล่านี้ด้วยตัวเอง แต่กลับลงเงินไปกับวัตถุดิบ และระดมพลผู้ติดตามให้ฝึกวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเพื่อแลกเปลี่ยนกับพลังอิทธิฤทธิ์ เมื่อมีแรงงานมากขึ้น การก่อสร้างก็รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว และในฐานะหัวหน้าหน่วยก่อสร้างพื้นฐาน เหวินเป่าถือว่ามีบทบาทสำคัญยิ่ง

หมู่บ้านที่มีแท่นบูชาถือเป็นพื้นที่สำคัญของสำนักภูมิปัญญา นอกเหนือจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ตามแต่สภาพพื้นที่ที่หลากหลาย เช่น ทุ่งโอสถ แปลงนา โรงถลุงแร่ โรงหลอมแร่ เป็นต้น… สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้มีเป็นจำนวนมาก แม้ระดับจะไม่ได้สูงมากมาย แต่ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในฐานะหัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐาน เหวินเป่าต้องทำงานหามค่ำหามรุ่งเพื่อโครงการเหล่านี้ ครึ่งปีให้หลังความอ้วนของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ

แน่ละว่าไม่ใช่เพราะความเกียจคร้าน แต่เหวินเป่ากำลังจะบรรลุสู่ขั้นฝึกปราณระดับหก เมื่อเทียบกับการมีรากวิญญาณปฐพีในครอบครอง ความก้าวหน้าในระดับนี้ไม่ถือว่าน่าแปลก ทว่าเมื่อพิจารณาจากนโยบายการสอนที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยมของสำนักกระบี่วิญญาณ ท่ามกลางศิษย์ที่ยังมีขั้นบำเพ็ญเซียนต่ำ ความเร็วระดับนี้ถือว่าชวนตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก ย้อนกลับไป ศิษย์พี่เยวี่ยอวิ๋น หัวหน้ากลุ่มเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ที่เขาเมฆาครามเล็กในครั้งนั้นใช้เวลาถึงสี่ปีกว่าจะก้าวขึ้นสู่ขั้นฝึกปราณระดับหก

การทำงานหนักตลอดแปดเดือนที่ผ่านมาส่งผลต่อความก้าวหน้านี้ด้วย งานโครงสร้างพื้นฐานของสำนักภูมิปัญญาไม่ได้อาศัยเฉพาะพละกำลังเพียงอย่างเดียว แต่ละงานต้องมีการควบคุมพลังปราณฟ้าดินอย่างละเอียด ตอนแรกเหวินเป่าไม่ถนัดงานนี้นัก แต่ท้ายที่สุดหลังจากขลุกอยู่กับมันมากว่าครึ่งปีจนเหนื่อยเจียนตาย เหวินเป่าก็รู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาเสถียรขึ้นมาก หนำซ้ำเขายังสามารถใช้พลังได้อย่างแม่นยำขึ้นด้วย ดังนั้นตบะเซียนขั้นฝึกปราณของเขาจึงพัฒนาไปอย่างราบรื่น

ความก้าวหน้าในการบำเพ็ญเซียนนี้ทำให้เหวินเป่าตระหนักได้ว่าการที่เขาตัดสินใจตามหวังลู่ลงภูเขามาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ศิษย์พี่ปากร้ายผู้นี้ปฏิบัติต่อเขาอย่างดีมาตลอด แต่ก็นั่นล่ะ…

หากคิดจะหลอกใช้งานเขา ศิษย์พี่ผู้นี้ก็ไม่รู้จักคำว่าปรานี! หวังลู่กล้ามอบหมายงานทูตเจรจาให้กับคนที่ข้นแค้นคลังคำศัพท์ในหัวเช่นเขาได้อย่างไร หรือไม่นี่อาจจะเป็นรายการล้อกันเล่น ที่พอเขาไปพูดตะกุกตะกักในประเทศต้าหมิง ก็จะมีคนโผล่ออกมาแล้วตะโกนใส่ว่า เจ้าโดนหลอกแล้ว!

ขณะคิดทบทวนไปมา เขาก็ก้มลงมองหนังสือการทูตในมือที่หวังลู่เป็นคนเขียนให้แล้วก็ถอนหายใจ เหวินเป่ารู้เต็มอกว่าไม่มีทางเลือก จึงได้แต่เดินกอดอกมุ่งตรงไปข้างหน้า

จากฐานที่มั่นหลักของสำนักภูมิปัญญาในหมู่บ้านตระกูลหวังไปยังเมืองหลวงของประเทศต้าหมิง แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนเองยังต้องใช้เวลาเดินสามถึงห้าวัน เหวินเป่าสั่งให้ผู้ช่วยคนสนิทสองคนในหน่วยโครงสร้างพื้นฐานตระเตรียมสัมพาระให้เขาและออกเดินทางไปด้วยกัน

สามวันให้หลัง ทั้งสามคนก็มาถึงเมืองหน้าด่าน พอเดินเข้าประตูเมืองไป ผู้ช่วยคนที่ยืนข้างๆ เหวินเป่าก็อุทานเสียงดัง

“หากเราสร้างแท่นบูชาขึ้นที่นี่เพื่อดึงดูดจำนวนผู้ติดตาม คงจะวิเศษมากทีเดียว”

เมื่อได้ยินดังนี้ เหวินเป่าซึ่งตอนแรกรู้สึกหวั่นวิตกก็หัวเราะออกมา “เสี่ยวหยาง เจ้านี่ทะเยอทะยานไม่น้อย”

ผู้ช่วยหยางเซียวอธิบาย “เมืองหน้าด่านแห่งนี้คึกคักกว่าเมืองหลวงของจังหวัดตงเต้าอีก ลำพังแค่จำนวนร้านค้าบนถนนเส้นนี้ก็เยอะว่าร้านค้าทั้งหมดในเมืองหลวงของจังหวัดตงเต้าแล้ว!”

กั๋วฮงผู้ช่วยอีกคนพยักหน้าเห็นด้วยและพูดเสริม “ว่ากันว่าเมืองหน้าด่านแห่งนี้มีประชากรมากถึงหนึ่งล้านคน มากกว่าคนในเมืองหลวงจังหวัดตงเต้าถึงสิบเท่า หนำซ้ำที่นี่นับว่ามีฮวงจุ้ยที่ดีงาม พลังปราณฟ้าดินในระยะห้าร้อยลี้ต่างมาบรรจบกันที่นี่ ข้าว่าหากสำนักภูมิปัญญาของเราแข็งแกร่งขึ้นอีกนิด คงจะเจ๋งไม่น้อยหากเราย้ายฐานที่มั่นหลักและแท่นบูชาปฐมกลียุคมาไว้ที่นี่!”

เหวินเป่าพยักหน้า “มันย่อมเจ๋งแน่ ทว่าโชคร้ายที่เป็นไปไม่ได้ แม้ประเทศต้าหมิงจะไม่ใช่ประเทศที่แข็งแกร่งอันดับต้นๆ แต่พวกเขาย่อมไม่ให้เราครอบครองเมืองหลวงของตัวเองแน่”

หยางเซียวทำหน้าไม่เชื่อ “เจ้าสำนักพูดว่า ประกายไฟประจุเดียวทำให้เกิดไฟไหม้ป่าได้ แม้สำนักภูมิปัญญาเพิ่งตั้งมาไม่นาน จึงยังไม่มีอำนาจมากนัก แต่ไม่ช้าจะต้องแผ่ขยายไปจนทั่วอาณาจักรเก้าแคว้นเป็นแน่ ถึงตอนนั้นประเทศต้าหมิงก็ขี้ผงแล้ว”

คำพูดของเหวินเป่าติดขัดอยู่ในลำคอ ซึ่งเขาเองก็รู้สึกรำคาญไม่น้อย ทว่าในใจกลับรู้สึกโศกเศร้าที่การล้างสมองของศิษย์พี่นั้นทรงพลังเกินไป เดิมทีทั้งหยางเซียวและกั๋วฮงเป็นผู้บำเพ็ญเซียนจากสำนักเจ็ดดารา ซึ่งแตกต่างจากพวกชาวบ้านไร้การศึกษา ทว่าไม่กี่เดือนหลังจากที่เข้าร่วมสำนักภูมิปัญญา พวกเขากลับหมกมุ่นยิ่งกว่าชาวบ้านทั่วไปมากนัก ทุกวันพวกเขาจะตะโกนว่าจะเป็นหนึ่งในผู้เบิกทางหนึ่งล้านคนให้ได้ แถมยังเป็นคนงานที่กระตือรือร้นสูง ซึ่งทำให้หัวหน้าหน่วยอย่างเขาละอายไม่น้อย

“พูดพอแล้ว ตอนนี้เรามาหาวิหารประทีปเพื่อมอบจดหมายแนะนำตัวดีกว่า”

สิ่งก่อสร้างที่เรียกว่าวิหารประทีปนั้นคือสำนักพิเศษในประเทศต้าหมิงซึ่งมีหน้าที่ดูแลจัดการสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโลกแห่งเซียน หน้าที่ของที่นี่รวมถึงหน้าที่ของหอสัจจะบุรุษของพันธมิตรหมื่นเซียนดูจะทับซ้อนกันก็จริง แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น หอสัจจะบุรุษของพันธมิตรหมื่นเซียนคล้ายกับหน่วยปราบปรามความรุนแรง ที่ดูแลจัดการปัญหาซึ่งเจ้าหน้าที่ของเมืองซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดาจัดการไม่ได้ ส่วนเรื่องการติดต่อประสานงานทั่วไประหว่างผู้บำเพ็ญเซียนแห่งโลกเซียนกับมนุษย์ปุถุชน ปกติแล้วจะขึ้นอยู่กับกฎที่เจ้าหน้าที่ของแต่ละประเทศตั้งขึ้นมา ดังนั้นวิหารประทีปแห่งประเทศต้าหมิงจึงมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้

ทั้งสามใช้เวลาเดินเข้าไปในเมืองอยู่พักใหญ่ก่อนจะมาถึงหน้าวิหารประทีป สำนักที่มีหน้าที่ติดต่อประสานงานระหว่างโลกแห่งเซียนและโลกมนุษย์แห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหน้าด่าน ข้างๆ สำนักคือวังหลวง ชัยภูมิพิเศษของสำนักแห่งนี้สะท้อนสถานะที่อยู่เหนือประชาชนทั้งปวง แม้แต่ยามที่เฝ้าหน้าประตูยังมองชาวบ้านทั่วไปด้วยสายตาดูหมิ่น เหวินเป่าก้าวเข้ามาที่ด้านหน้าวิหาร แสดงตนว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนและมอบจดหมายแนะนำตัวให้ แต่อีกฝ่ายก็ยังมีท่าทีเย็นชาปั้นปึง

เหวินเป่าเป็นคนเรียบง่าย จึงไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ หลังจากที่มอบจดหมายแนะนำตัวให้แล้ว เขาก็ถอยหลังออกมาเพราะตั้งใจจะให้คนของวิหารประทีปติดต่อมาอีกที ทว่าผู้ช่วยสองคนมีท่าทีฉุนเฉียว

“พวกสารเลวหยิ่งผยอง เป็นแค่ยามเฝ้าหน้าประตูแท้ๆ คิดว่ายิ่งใหญ่มาจากไหนกัน”

“จริงด้วย เป็นแค่คนธรรมดากล้ามาดูถูกกันได้!”

เหวินเป่ายิ้มขัน “ต่อให้เป็นคนธรรมดา พวกเขาก็เป็นคนธรรมดาจากวิหารประทีป แม้ประเทศต้าหมิงจะไม่ได้เป็นประเทศที่ทรงอำนาจมากมาย แต่ในดินแดนนี้มีผู้บำเพ็ญเซียนนับล้านคน ดังนั้นคนที่พวกเขาต้อนรับขับสู่อย่างดีคงเป็นพวกผู้สูงศักดิ์ระดับสูง เขาจึงย่อมมองเหยียดพวกบ้านนอกอย่างเราอยู่แล้ว”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในสมองของเหวินเป่าทันที เขาเดาได้ถูกต้องว่าเหตุใดหวังลู่จึงแต่งตั้งเขาให้เป็นทูตเจรจาของสำนักภูมิปัญญา

ตอนนี้สำนักภูมิปัญญายังห่างไกลจากคำว่าผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศต้าหมิง แม้จำนวนผู้ติดตามและทรัพย์สินเงินทองจะมหาศาล แต่ก็ยังไม่พ้นถูกมองว่าเป็นสำนักชั้นล่าง ผู้บำเพ็ญเซียนที่มีขั้นตบะสูงสุดก็ยังเป็นเย่ชูเฉินซึ่งอยู่ในขั้นพิสุทธิ์ พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ หากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกนสักสองสามคนมาเคาะประตูสำนักเข้าละก็ สำนักภูมิปัญญาย่อมราบเป็นหน้ากลองอย่างง่ายดาย

ดังนั้นในยามที่พวกเขาต้องมาเยี่ยมเยียนวิหารประทีป ย่อมต้องทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนราวกับหลานปู่ไปเยี่ยมบรรพบุรุษ แล้วใครกันเล่าที่จะเชี่ยวชาญงานที่น่าเบื่อเช่นนี้ไปกว่าเหวินเป่า

เมื่อคิดได้ดังนี้ เหวินเป่าก็รู้สึกสบายใจ ในเมื่อศิษย์พี่เลือกเขาให้แสดงบทหลานปู่ ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยหากเขาทำหน้าที่ตนเองได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรเสียเรื่องข้อมูลจำเพาะเกี่ยวกับการเจรจา หวังลู่ได้เขียนลงในตำราการทูตเรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เขาก็แค่ยื่นสิ่งนี้ให้หัวหน้าของวิหารประทีป รอคอยให้พวกเขาตัดสินใจก็เท่านั้น

ดังนั้นระหว่างที่พยายามปลอบประโลมผู้ช่วยหัวร้อนทั้งสองคน เหวินเป่าก็มองหาโรงเตี๊ยมในเมืองหน้าด้านนี้เพื่อรอให้คนของวิหารประทีปติดต่อมาอีกที นี่คือความรวดร้าวของสำนักเล็กๆ หากเป็นหนึ่งในสำนักของพันธมิตรหมื่นเซียน ปัญหาเหล่านี้จะไม่มีให้เห็น เพราะพวกเขาจะสามารถเดินผ่านประตูเข้าไปพูดคุยกับหัวหน้าของวิหารประทีปได้โดยตรง

หนทางของสำนักภูมิปัญญานั้นยังอีกยาวไกลนัก

ด้วยความที่เป็นคนใจเย็น เหวินเป่าจึงรอคอยคำตอบจากวิหารประทีปอย่างอดทน หนึ่งวันก็แล้ว สองวันก็แล้ว สามวันก็แล้ว… พอมาถึงวันที่สี่ ไม่ต้องพูดถึงผู้ช่วยหัวร้อนสองคนของเขา เพราะขนาดตัวเหวินเป่าเองก็ยังรู้สึกว่าอยู่เฉยๆ อีกไม่ได้

จดหมายที่เขาให้ไปไม่ได้เป็นเพียงจดหมายแนะนำตัวเท่านั้น มันบรรจุตัวอักษรหลายร้อยตัวซึ่งแสดงให้เห็นสถานะ ต้นกำเนิด รวมถึงข้อเรียกร้องที่จะขอเจรจากับหัวหน้าวิหารประทีป มันยากที่จะจัดการที่ตรงไหนกัน ไม่ใช่ว่าเขียนด้วยภาษาตะวันตกเสียหน่อย!

เห็นได้ชัดว่าวิหารประทีปดูแคลนพวกเขาดังนั้นจึงไม่ให้ความสำคัญกับจดหมายของพวกเขา แม้เขาจะพร้อมทำตัวเป็นหลานปู่ที่อ่อนน้อมถ่อมตน แต่นี่มันชักจะเกินไปหน่อยแล้ว เหวินเป่ารู้สึกขุ่นเคืองใจไม่น้อย

“พี่เหวิน เรายังต้องรออยู่อีกหรือ”

ผู้ช่วยทั้งสองรู้สึกขุ่นเคืองใจเป็นทวีคูณ ในหมู่บ้านตระกูลหวังและสถานที่อื่นๆ พวกเขาในฐานะแกนหลักของสำนักย่อมถูกผู้ติดตามนับไม่ถ้วนกราบไหว้บูชา ทว่าที่เมืองหน้าด่านแห่งนี้ แค่จะเป็นหลานปู่ยังมีคุณสมบัติไม่พอเลย!

เหวินเป่านิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ความจริงตามพื้นฐานอารมณ์ของเขา หากต้องรออีกสักหน่อยเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ทว่าในสถานการณ์ที่จดหมายแนะนำตัวดูเหมือนจะถูกเก็บไว้ในลิ้นชักราวกับหินที่ถูกโยนลงทะเล เช่นนั้นภารกิจการทูตในครั้งนี้ต้องล้มเหลวแน่…

“เช่นนั้นเราจะไปถามพวกเขาอีกที”

ดังนั้นทั้งสามจึงมุ่งหน้าไปที่วิหารประทีปอีกครั้ง ระหว่างทางผู้ช่วยทั้งสองก็สุมไฟให้เหวินเป่ารู้สึกฉุนเฉียวอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเหวินเป่าที่หัวอ่อนก็หัวร้อนอย่างหนักจนพร้อมจะพุ่งเข้าใส่ประตูโดยไม่สนใจว่าใครจะยืนยามอยู่

เมื่อมาถึงวิหารประทีป พวกเขาก็เห็นคนที่เหมือนจะเป็นหัวหน้ากำลังพูดคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเคร่งเครียด

“พวกเจ้าทั้งสองเตรียมตัวให้ดี อีกไม่นาน ท่านอาจารย์เซียนจะมาเยือนที่นี่ ดูให้ดีอย่าให้มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะถลกหลักพวกเข้าออกมาแน่ ได้ยินไหม!?”

ยามทั้งสองรับคำว่าง่าย ทว่าไม่ไกลจากจุดนั้น เหวินเป่าและผู้ช่วยทั้งสองมองหน้ากันอย่างงุนงง

หยางเซียวถามขึ้น “อาจารย์เซียน? ใช่พวกเราหรือเปล่า”

เหวินเป่าหัวเราะทั้งที่พยายามกลั้น “จะเป็นไปได้อย่างไร นี่เป็นเมืองหลวงประเทศเชียวนะ ดังนั้นหากเป็นอาจารย์เซียนจริงๆ อย่างน้อยย่อมต้องอยู่ในขั้นสร้างแกน”

กั๋วฮงถามบ้าง “หากพวกเขาเอาจริงเอาจังเรื่องผู้บำเพ็ญเซียน เหตุใดจึงปล่อยให้เรารอแห้งแกร็กอยู่ที่โรงเตี๊ยมตั้งหลายวัน ข้าก็นึกว่าไม่ค่อยมีอาจารย์เซียนมาเยี่ยมเยียนที่นี่ เพราะงั้นพวกเขาจึงทำตัวไม่ค่อยถูก”

กั๋วฮงกำลังไม่พอใจ ดังนั้นเสียงของเขาจึงดังขึ้นเล็กน้อย เหวินเป่ารีบดึงเขาออกมา แต่โชคร้ายที่คนเป็นหัวหน้าดูเหมือนจะได้ยินว่าวาจาว่ากล่าวนั้น

โชคดีที่ตอนนี้เรื่องอื่นสำคัญกว่า ดังนั้นหลังจากที่พ่อบ้านปรายตามองพวกเขาทั้งสาม เขาก็ไม่ได้สนใจจะไต่ถามพวกบ้านนอกสามคนนี่ และหันไปลงรายละเอียดกับพวกยามต่อ ครั้งนี้วิหารประทีปให้ความสำคัญกับการมาเยือนของอาจารย์เซียนคนนี้ไม่น้อย แถมยังลงรายละเอียดในส่วนที่จุกจิกยิบย่อยอีกด้วย ทว่าก่อนที่พ่อบ้านจะหยุดการจ้ำจี้จำไชที่ดูราวไม่รู้จบ ชายคนหนึ่งก็เร่งรีบเข้ามากระซิบบางอย่างใส่หู สีหน้าของพ่อบ้านเปลี่ยนไปในทันที หลังจากส่งสายตาดุร้ายไปที่ยามทั้งสองและพูดตักเตือนอีกครั้ง เขาก็ยืนอย่างน้อบน้อมอยู่ที่หน้าประตูทางเข้านั่นเอง

ไม่นานนักก็มีเสียงดังโหวกเหวก วัยรุ่นสองคนที่ถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มชาวบ้านเดินมุ่งหน้าไปยังวิหารประทีป ดูจากการแต่งตัว ทั้งสองน่าจะเป็นบุคคลสำคัญของประเทศต้าหมิง โดยปกติแล้วระหว่างเดินทาง พวกชนชั้นสูงจะหลีกเลี่ยงฝูงชน ทว่าตอนนี้ทั้งสองต่างยิ้มย่องขณะเดินเคียงข้างชาวบ้านที่มีเหงื่อชุมโชก ปราศจากภาพของบุคคลชั้นสูงอย่างสิ้นเชิง

กั๋วฮงมีท่าทีกังขา “ข้าไม่เห็นว่าสองคนนั้นจะสลักสำคัญอะไร ก็แค่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมชาวบ้านถึงห้อมล้อมพวกเขานัก ข้าว่าคงไม่พ้นเป็นศิษย์จากสำนักชั้นนำ ไม่ก็ลูกของผู้บำเพ็ญเซียนคนใหญ่คนโต เชอะ เจ้าพวกรุ่นสองไม่เอาไหน!”

หยางเซียวพนักหน้าเห็นด้วย “วิหารประทีปแห่งประเทศต้าหมิงนี่ช่างเลือกปฏิบัติ ท่าทีประจบประแจงนั่นก็น่าหัวร่อ เมื่อเทียบกับสำนักภูมิปัญญาของเราแล้ว… ช่างต่างกันราวสวรรค์กับโลกมนุษย์”

“ใช่แล้ว หากสำนักเราได้ครอบครองประเทศนี้ละก็ ต้องยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นอยู่หลายเท่าแน่”

ทั้งสองคนพูดจาพาทีวาดฝันถึงอนาคตเบื้องหน้ากันอยู่พักใหญ่ ยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น ทว่าอึดใจถัดมา พวกเขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป หากเป็นตามปกติ พี่เหวินเป่าย่อมต้องบอกให้พวกเขาหยุดพูดแล้ว แต่จนถึงตอนนี้เหวินเป่ากลับเอาแต่นิ่งเงียบ

พอทั้งสองหันกลับไปมอง ก็พบว่าเหวินเป่ากำลังจ้องไปยังสองคนนั้นที่ยืนอยู่ไกลๆ ด้วยใบหน้าว่างเปล่า สายตาของเขาดูตื่นตะลึง แต่กลับแฝงไปด้วยความขมขื่นมากกว่าถึงล้านเท่า

มัน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่

ขณะนี้สองคนนั้นได้เดินเข้ามาใกล้จนสามารถได้ยินบทสนทนา

“ศิษย์น้องหญิงเยวี่ย ข้างหน้าเจ้าก็คือวิหารประทีป”

“อ้อ ขอบคุณศิษย์พี่จูฉินยิ่งนักที่พาข้ามาที่นี่ มิเช่นนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรแล้ว”

…………………………………