ตอนที่ 30 วันนี้ข้าจะมาพาดวงใจของข้าไป โดย Ink Stone_Fantasy
“ศิษย์พี่จูฉิน ขอบคุณท่านยิ่งนักที่พาข้ามาที่นี่ ไม่เช่นนั้น ท่ามกลางคนเหล่านี้ คงจะ…”
เมื่อถูกห้อมล้อมด้วยฝูงชน เยวี่ยซินเหยาก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
แม้นางจะเกิดมาในตระกูลชนชั้นสูงของโลกเซียน ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าลูกหลานชนชั้นสูงของมนุษย์ปุถุชน แต่บรรยากาศในตอนนี้กลับทำให้นางรู้สึกอัดอัดใจเป็นอย่างมาก
ทว่ารัชทายาทจูฉินกลับผ่อนคลายกว่ามาก “เจ้าไม่ต้องเกรงใจนักหรอกศิษย์น้องหญิง นี่เป็นความผิดของทางเรา… หลังจากได้รับจดหมายทางการจากศิษย์น้องหญิง พวกเขากลับไม่ได้ตอบกลับภายในสิบวัน ประสิทธิภาพในการทำงานของวิหารประทีปเห็นทีต้องสางกันใหม่เสียแล้ว”
คำพูดเช่นนั้นทำให้สีหน้าของเจ้าหน้าที่ที่รอบล้อมพวกเขาอยู่เป็นกังวลกันไปมากบ้างน้อยบ้าง แน่นอนว่าคนที่ต้องกังวลมากที่สุดคือเจ้าหน้าที่จากวิหารประทีป แต่เจ้าหน้าที่บางคนที่จะได้เสียบแทนที่เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวกลับมีใบหน้าเปี่ยมความหวัง
ทว่าเยวี่ยซินเหยากลับขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิษย์พี่จูฉิน แม้ข้าจะไม่มีคุณสมบัติพอจะพูดเช่นนี้ แต่ในเมื่อเราเป็นผู้ฝึกเซียน ดังนั้นสถานะของเราในโลกปุถุชนนั้น…”
จูฉินยิ้ม “ศิษย์น้องหญิงจะสอนข้าว่าข้าไม่ใช่รัชทายาทของประเทศต้าหมิง แต่เป็นผู้ฝึกเซียนธรรมดาจากเขากระบี่วิญญาณใช่หรือไม่ แต่เจ้าก็รู้ กลับบ้านมาครั้งนี้ ข้ายังไม่มีเวลาไปพบท่านพ่อท่านแม่เลย สิ่งแรกที่ข้าทำคือมาลงชื่อพร้อมกับเจ้าที่วิหารประทีปนี่ต่างหาก”
เยวี่ยซินเหยายิ้มพลางพยักหน้า “เรียนศิษย์พี่ เรื่องนี้อาจฟังดูไร้สาระ แต่…เส้นทางของปุถุชนนั้นย่อมแตกต่างจากเส้นทางของผู้บำเพ็ญเซียน”
ระหว่างที่คนทั้งคู่สนทนากันอยู่นั้น เจ้าหน้าที่ที่ห้อมล้อมอยู่ต่างพากันเศร้าสร้อย หากรัชทายาทปฏิเสธอำนาจและมุ่งมั่นฝึกฝนการบำเพ็ญเซียน ย่อมเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อประเทศต้าหมิงอย่างใหญ่หลวงแน่นอน
“โอ้ ข้าเกือบลืมไปเลย ศิษย์น้องหญิง จุดประสงค์ที่เจ้ามายังประเทศต้าหมิงคืออะไร มีใครที่เจ้าต้องติดต่อด้วยอย่างนั้นหรือ”
“มีสำนักตั้งใหม่สำนักหนึ่งที่ดูเหมือนจะรุกรานผู้คนจำนวนไม่น้อย ทว่าข้าก็ไม่รู้แน่ชัดหรอกว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ดังนั้นจึงอยากร่วมมือกับวิหารประทีปเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ สำนักนี้แปลกมาก พวกเขาพัฒนาสำนักได้รวดเร็ว แถมวิธีที่ใช้พัฒนาก็ประหลาดไม่เหมือนใคร ว่ากันว่าในเวลาไม่กี่เดือน ผู้ติดตามก็เพิ่มจำนวนขึ้นมากกว่าหนึ่งล้านคน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าหัวหน้าสำนักนี้เป็นใครกันแน่”
“โอ้ ประหลาดถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แล้วพวกเขาอยู่แค่ในประเทศต้าหมิงเท่านั้นหรือ จุ๊ๆๆ คนของวิหารประทีปมัวทำอะไรกันอยู่ พวกเขาไม่ควรให้คนนอกอย่างเจ้าต้องมาจัดการเรื่องนี้ด้วยซ้ำ… อ้อจริงสิ ศิษย์น้องหญิง ว่าแต่สำนักนี้มีชื่อว่าอะไร”
“เป็นชื่อที่แปลกมาก ชื่อว่าสำนักภูมิปัญญา”
——
เยวี่ยซินเหยากับจูฉินพูดคุยกันพลางเดินเข้าไปในวิหารประทีป เจ้าหน้าที่ที่เหลือรีรออยู่ที่หน้าประตูพักหนึ่งก่อนจะค่อยๆ สลายตัวไป พร้อมบ่นพึมพำถึงการจัดการที่ไม่เป็นระเบียบจนทำให้รัชทายาทจูฉินต้องเสด็จมาถึงที่นี่ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงในทุกรูปแบบที่อาจจะเกิดขึ้น
ไม่ไกลไปจากตรงนั้น สามสหายจากสำนักภูมิปัญญาที่ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ได้แต่นิ่งอึ้งไปพักใหญ่
“พี่เหวิน เราจะทำอย่างไรกันดี”
“ดูท่าว่ามีบางคนคิดจะรวมหัวกับประเทศต้าหมิงเพื่อจัดการเรา ฮ่า! เจ้าสำนักพูดถูกแล้ว ท่ามกลางกระแสแห่งคลื่นลูกใหม่ คลื่นลูกเก่าที่ไม่อยากตายจะพยายามโต้กลับอย่างรุนแรง ทว่าท่ามกลางจำนวนผู้ติดตามมหาศาล จะต้านทานอย่างไรก็คงไร้ผล!”
“พี่เหวิน… พี่เหวิน ท่านได้ยินข้าไหม”
โอ้ พี่เหวินที่น่าสงสาร จิตใจของเขายังคงจมอยู่ในช่วงเวลาไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ตอนที่จูฉินและเยวี่ยซินเหยาเดินเข้าไปในวิหารประทีปด้วยกัน โดยเฉพาะฉากที่จูฉินวางมือลงบนไหล่ของเยวี่ยซินเหยา!
——
“พี่เหวิน นี่เรา…จะกลับกันจริงหรือ”
บนโต๊ะอาหารเย็นในโรงเตี๊ยม กั๋วฮงถามขึ้นอย่างระมัดระวัง หยางเซียวเองก็มองมาด้วยสายตาสงสัย
ผู้ช่วยทั้งสองมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้านายของพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง จึงเข้าอกเข้าใจนิสัยเรียบง่ายของเหวินเป่าเป็นอย่างดี ทว่าเขามักมีปฏิกิริยาเชื่องช้าทั้งยังไม่อาจตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองได้ เมื่อครู่พวกเขาเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ผู้ช่วยทั้งสองจึงไม่มั่นใจนักว่าเหวินเป่าจะจัดการกับปัญญานี้ได้
เหวินเป่าเองก็สับสนไม่น้อย ปัญหาที่มีอยู่นั้นมากและซับซ้อนเกินกว่าความสามารถของเขา ศิษย์น้องหญิงมาที่ประเทศต้าหมิงทำไม เพราะอะไรนางจึงอยากจัดการสำนักภูมิปัญญา หลายเดือนก่อนตอนที่ออกจากสำนัก เขาได้ลอบสังเกตสถานที่ที่เยวี่ยซินเหยาจะไป หากเข้าใจไม่ผิด นางออกเดินทางไปยังทิศตะวันตกเพื่อร่วมในการสำรวจสุสานโบราณ ซึ่งน่าจะกินเวลาเกือบทั้งปี… หรือว่าการสำรวจนั้นจะจบลงเร็วกว่าที่คิด
ส่วนจูฉินนั้น การที่เขามาปรากฏตัวที่นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก อย่างไรเสียเขาก็เป็นรัชทายาทของประเทศต้าหมิง จึงเป็นเรื่องปกติที่จะใช้เวลาในการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์กลับมาเยี่ยมครอบครัว ทว่าเหตุใดเขาจึงมาอยู่กับเยวี่ยซินเหยาได้ พวกเขาสองคนเป็นเพียงศิษย์พี่ศิษย์น้องธรรมดา นอกจากตอนที่รวมกลุ่มกันเพื่อสั่งสมประสบการณ์ที่เขาเมฆาครามเล็กแล้ว ก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก แล้วนี่…
แน่นอนว่าตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องคิดคือความสัมพันธ์ของพวกเขา ในฐานะผู้อาวุโสของสำนักภูมิปัญญา หนึ่งในหัวหน้าของศูนย์ศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา เมื่อต้องจัดการปัญหาเกี่ยวกับสำนัก…
“ข้าอยากเข้าไปตรวจดูสถานการณ์สักหน่อย”
“หา!?” กั๋วฮงและหยางเซียวตกใจ “เข้าไป!?”
“ใช่แล้ว รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ข้าจะไม่ยอมให้จูฉินกับศิษย์น้องหญิงเยวี่ย… ไม่สิ ข้าจะไม่ยอมให้พวกเขาร่วมมือกับวิหารประทีปวางแผนป้ายสีสำนักเราหรอก ข้าอยากให้พวกเจ้าสองคนกลับไปรายงานเรื่องนี้กับเจ้าสำนัก ส่วนข้าจะอยู่จัดการเรื่องราวที่นี่”
“พี่เหวิน แต่นี่…” ดวงตาของกั๋วฮงเบิ่งกว้าง มองไปยังผู้อาวุโสที่เด็ดขาดผู้นี้อย่างไม่เชื่อสายตา
หยางเซียวเองก็มีทีท่าลังเลพลางคิดในใจ ‘พี่เหวิน แม้ท่านจะเป็นผู้อาวุโสที่ทุ่มเททำงานหนักแถมยังซื่อสัตย์จริงใจ แต่ก็มีบางเรื่องที่ท่านไม่ถนัดเลยสักนิด!’
“วางใจเถอะ อย่างไรเสียข้าก็เป็นผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณ… สำนักภูมิปัญญา” เหวินเป่ากัดฟัน “แม้ข้าจะไม่ถนัดเรื่องแบบนี้ ตราบใดที่ในใจข้ายังมุ่งมั่นอยู่กับการทำให้โลกเคลื่อนสู่สวรรค์ ข้าย่อมประสบความสำเร็จในทุกการพยายาม! นี่คืออาวุธทางจิตของสำนักภูมิปัญญา!”
ดวงตาของกั๋วฮงยิ่งเบิ่งโพลงเข้าไปใหญ่ “พี่เหวิน ข้อโต้แย้งเรื่องอาวุธทางจิตนั่นจบสิ้นแล้ว และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องจริง ดังนั้น…”
“ช่างเถอะ ข้าถนัดมือซ้าย”
“หา!?”
“ไม่ ข้าหมายถึง… ข้ามีอาวุธลับที่เจ้าสำนักให้มาอยู่ในแขนเสื้อซ้าย!”
พูดจบ เหวินเป่าก็ยัดซาลาเปาลูกสุดท้ายบนจานเข้าปาก จากนั้นก็ยืนขึ้นแล้วเดินตรงลิ่วไปยังวิหารประทีปด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น
——
อาวุธลับในแขนเสื้อที่ว่านั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
ขณะเดิน เหวินเป่าก็หยิบเอาถุงผ้าไหมออกมาจากกระเป๋าสีเหลืองหม่น หลังจากที่เปิดถุงออก เขาก็พบกระดาษใบหนึ่งที่หวังลู่ให้มา เป็นกระดาษที่หวังลู่อ้างว่าช่วยกระตุ้นศักยภาพของเขาเพื่อให้สร้างปาฏิหาริย์ที่ไม่น่าเชื่อให้เกิดขึ้นได้
เหวินเป่าไม่เคยสงสัยถึงศักยภาพของหวังลู่ในการสร้างปาฏิหาริย์ ดังนั้นแม้ภารกิจนี้จะเต็มไปด้วยรังสีของความหลอกลวง เหวินเป่าก็ยังถือว่าสิ่งนี้เป็นไพ่ใบสำคัญ
ทว่าหวังลู่ได้เตือนมาว่าหากไม่ใช่สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานจริงๆ เขาก็ไม่ควรเปิดถุงใบนั้น สถานการณ์ในตอนนี้เรียกว่าหน้าสิ่วหน้าขวานได้แล้วไหมนะ
ศิษย์พี่ โปรดช่วยข้าด้วย!
จากนั้นเหวินเป่าก็ค่อยๆเปิดคลี่กระดาษนั่นออกช้าๆ ด้วยมืออันสั่นเทา
สิ่งที่เขียนอยู่บนกระดาษมีบรรทัดเดียว เจ้าคือเหวินเป่าผู้รู้ตื่น …
เหวินเป่าถอนหายใจ สะบัดนิ้วชี้จนเกิดเป็นประกายไฟเผากระดาษแผ่นนี้
“ระยำ! ข้ารู้แต่แรกอยู่แล้วว่าหมอนี่มันเจ้าแห่งการหลอกลวง! เหวินเป่าผู้ตื่นรู้!? ตื่นรู้บิดาท่านสิ! ให้หมูข้ามาสักชิ้นแล้วเปลี่ยนข้าเป็นท่านบรรพบุรุษเต้อเฉิงยังจะดีกว่า!”
ทว่าไม่ว่าเขาจะโมโหสักเพียงไรแต่ก็ไม่มีทางเลือก หนำซ้ำเมื่อมาคิดใคร่ครวญดีๆ หากเทียบกับเหวินเป่าผู้เรียบง่ายซื่อตรง ไม่แน่ว่าเหวินเป่าผู้รู้ตื่นอาจมีศักยภาพมากพอจะทำการสำเร็จก็ได้…
“…เอาละ ข้าคือเหวินเป่าผู้รู้ตื่น ข้าคือเหวินเป่าผู้รู้ตื่น ข้าคือเหวินเป่าผู้รู้ตื่น!”
เหวินเป่าท่องซ้ำๆ เช่นนั้นไปตลอดทาง ในที่สุดสีหน้าเรียบง่ายซื่อตรงราวกับน้ำนิ่งของเขาก็ค่อยๆ ตื่นเต้นขึ้นอย่างไม่อาจปิดบังได้
ฮ่าๆๆ ศิษย์น้องหญิงเยวี่ย ข้ามาหาเจ้าแล้ว!
——
ตอนนี้เหวินเป่ากำลังยืนอยู่หน้าวิหารประทีป เผชิญหน้ากับยามที่ส่งสายตาระแวดระวังปนสงสัยกลับมา แต่เขาก็ยังคงยิ้มอย่างสุภาพจริงใจ
ทว่าภายในเขากลับกึ่งประหม่ากึ่งตื่นเต้น… แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าตัวตนของเหวินเป่าผู้รู้ตื่นเป็นอย่างไร แต่ภายใต้สถานการณ์ที่กดดันยิ่งยวด ตัวตนที่น่าทึ่งมักจะปรากฏออกมา
ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะสามารถสำแดงตัวตนที่น่าทึ่งนั้นออกมาได้ใสกสักเพียงไร
หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน ยามหน้าประตูก็เปิดปากถาม “ขออภัยด้วย ท่านคือ…”
ชายร่างอ้วนตรงหน้าพวกเขาดูปกติดี แต่ท่ามกลางคนนับล้านคนในเมืองหลวงแห่งนี้ ไม่นับรวมพวกที่สติไม่ดีหรือเบาปัญญา มีไม่กี่คนที่เต็มใจหยุดยืนอยู่หน้าวิหารประทีป ในสายตาของพวกชาวบ้าน ในวิหารประทีปนั้นเต็มไปด้วยอาคมอันตรายไม่ก็พ่อมดหมอผี… ดังนั้นเงินค่าจ้างของยามที่นี่จึงสูงกว่าที่อื่นๆ
ดังนั้นหากชายอ้วนผู้นี้ไม่ได้สติไม่ดีหรือเบาปัญญาละก็…
“เอ่อ ข้ามาหาคนน่ะ” ชายอ้วนยิ้มเซ่อ
“มาหาคน? ท่านมีญาติหรือสหายเป็นเจ้าหน้าที่ของที่นี่หรือ”
เหวินเป่ายิ้ม เขาไม่ต้องการเสียเวลาพูดคุยกับยามตรงหน้าอีก จึงใช้นิ้วจุดประกายไฟแล้วปล่อยให้ลอยขึ้นไปในอากาศ หลังจากที่เปลวไฟเผาไหม้หมด พลังอิทธิฤทธิ์แปลกตาก็กระจายออกเป็นคลื่นเบาๆ
ผ่านไปพักใหญ่ ประตูหน้าของวิหารประทีปก็เปิดออกจากด้านใน จากนั้นเยวี่ยซินเหยาที่มีใบหน้าสงสัยก็เดินออกมา เมื่อเห็นเหวินเป่า นางก็แปลกใจเป็นที่สุด
“ศิษย์พี่เหวินเป่า!?”
เมื่อได้เห็นใบหน้ากระจ่างงดงามของหญิงสาว เหวินเป่าเองก็ตกใจเช่นกัน เขารู้สึกว่าสมองครึ่งหนึ่งของเขาว่างเปล่า ส่วนอีกครึ่งตื่นเต้นอย่างหนัก ทำให้เผลอทักทายนางออกไป ทั้งๆ ที่ปกติเป็นคนเหนียมอายแท้ๆ
“ฮ่าๆ อรุณสวัสดิ์ศิษย์น้องหญิงเยวี่ย”
“อรุณสวัสดิ์ศิษย์พี่” หญิงสาวตอบกลับอย่างกระตือรือร้น จากนั้นจึงถามขึ้น “ศิษย์พี่ตามหาข้าอยู่หรือ”
“ใช่ ข้าอยากขอร้องเจ้าหน่อย”
“เชิญศิษย์พี่ว่ามาเลย”
เหวินเป่ายิ้มจากนั้นก็ชี้ไปที่ประตูด้านหลังเยวี่ยซินเหยา “ช่วยให้ข้าผ่านประตูบานนั้นเข้าไปที…”
เยวี่ยซินเหยาระเบิดหัวเราะออกมา “ประตูของวิหารประทีปก็ไม่ดีจริงๆ นั่นละ” จากนั้นนางก็ผินหน้าไปมองยามหน้าประตูด้วยสายตาตั้งคำถาม ยามทั้งสองรู้สึกราวกับว่าขาของพวกตนอ่อนแรงในทันใด แม้พวกเขายังไม่ได้ปรึกษาเรื่องนี้ผู้บังคับบัญชา แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ ——
“ศิษย์พี่เหวินเป่า ท่านมาที่นี่เพราะเรื่องของสำนักภูมิปัญญาด้วยหรือเปล่า”
ขณะที่พวกเขากำลังเดินเข้าไปยังวิหารประทีป เยวี่ยซินเหยาก็อดถามขึ้นด้วยความสงสัยไม่ได้
เหวินเป่าทำสีหน้าเลิ่กลั่กภายในใจตื่นตระหนก เขารู้ดีว่าหากทำตัวไม่เนียนพอ ความลับจะต้องถูกเปิดเผยแน่ๆ!
เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของเหวินเป่า เยวี่ยซินเหยาก็เข้าใจว่าศิษย์พี่ของตนยังไม่เคยได้ยินชื่อสำนักภูมิปัญญา ดังนั้นนางจึงอธิบายอย่างใจเย็น “สำนักนี้เป็นสำนักตั้งใหม่ในประเทศต้าหมิง
พวกเขาพัฒนาสำนักได้รวดเร็วแต่ก็สร้างปัญญาไว้มากมาย ดังนั้นข้าเลยเข้าใจไปว่าท่านมาที่นี่เพราะเรื่องนี้” จากนั้นนางก็ส่ายหัวและเปลี่ยนเรื่อง “เราสองคนไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือน ท่านดูเปลี่ยนไปมาก ศิษย์พี่ การบำเพ็ญเซียนของท่านก้าวหน้าไปรวดเร็วนัก”
เมื่อรู้ว่าหัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปแล้ว เหวินเป่าก็คลายใจไปอย่างมาก “ก็ไม่เลว อีกไม่นานข้าคงไปถึงขั้นฝึกปราณระดับหก
เยวี่ยซินเหยาประหลาดใจไม่น้อย “ศิษย์พี่กำลังจะเข้าสู่ระดับกลางแล้วหรือ รวดเร็วจริงๆ! ข้านึกว่าตอนอยู่ที่สุสานโบราณพฤกษ์ครามข้าก็พัฒนาขึ้นไม่น้อย แต่ดูท่าว่ายังห่างชั้นกับท่านอยู่โข ศิษย์พี่ ตอนนี้ข้ายังอยู่ที่ขั้นกลางของระดับเจ็ดอยู่เลย ยังอีกนานนักกว่าข้าจะทะลวงไประดับต่อไปได้”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากเบื้องหน้า “ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยช่างถ่อมตนนัก เพื่อที่จะฝึกพลังวิญญาณขั้นปฐม เจ้าจึงตั้งใจหยุดการบำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณเอาไว้ก่อน ทว่าความแข็งแกร่งของเจ้านั้นไม่ห่างจากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณระดับหกสักเท่าไรหรอก ในหมู่ศิษย์ด้วยกันเอง ข้าว่าเจ้าเองก็ไม่เป็นรองใคร”
ขณะพูด รัชทายาทจูฉินก็สืบเท้าเข้ามาด้านหน้า เมื่อเผชิญกับสายตาของเหวินเป่า เขาก็ยิ้มกว้างออกมา
“ศิษย์น้องเหวินเป่า ไม่คิดว่าจะได้พบเจ้าที่นี่”
เหวินเป่านิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดพร้อมรอยยิ้ม “อรุณสวัสดิ์ศิษย์น้องจูฉิน”
สีหน้าของจูฉินแข็งกระด้างขึ้นมาทันใด ศิษย์น้องหรือ!?
ก่อนหน้านี้ เจ้าอ้วนไม่ได้ความนี่เคารพนบนอบเขามาตลอด ปากก็มักจะเอ่ยว่า ศิษย์พี่จูฉินอย่างนั้น ศิษย์พี่จูฉินอย่างนี้ ทว่าหลังจากไม่ได้พบกันไม่กี่เดือน นอกจากความก้าวหน้าในการบำเพ็ญเซียนจะเพิ่มขึ้นอย่างน่ายกย่องแล้ว ความกล้าหาญก็เพิ่มขึ้นมากอีกด้วย!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มของจูฉินก็ค่อยๆ กระด้างขึ้น
เหวินเป่าเหยียดยิ้มอยู่ในใจพลางคิดว่า “สารเลว เจอกับเหวินเป่าผู้ตื่นรู้หน่อยเป็นไง!”
……………………………………..